อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 439 จอมมารมาถึง
กู้ชูหน่วนถอดอานม้าทั้งหมดออก ครั้นกระโดดก็ขึ้นหลังม้าโดยตรง การเคลื่อนไหวพลิ้วไหวคล่องแคล่ว ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนไม่เคยขี่ม้า แต่กู้ชูหน่วนกลับเอ่ยพึมพำ “เห็นคนอื่นขึ้นมาสบายอย่างนั้น ทำไมข้าเกือบปีนไม่ขึ้นแล้วเล่า ยังดีที่เจ้าเตี้ยหน่อย มิเช่นนั้นข้าตกลงมาต้องแย่แน่”

ถ้อยคำนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาด

นางขี่ม้าเป็นหรือไม่กันแน่?

กู้ชูหน่วนถือคันศร นำลูกธนูสิบดอกออกมาทดสอบ ลองหลายครั้งแต่ก็หาจุดเหมาะมือไม่ได้

ลูกธนูสิบดอกมากเกินไป มือน้อยๆ ของนางกุมไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยิง

ทุกคนเห็นแล้วจิตใจตุ้มๆ ต่อมๆ นี่จะยิงอย่างไร?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางถอดอานม้าทำไม?

มีเพียงองค์หญิงตังตังกับไทเฮาที่มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น

“เหมือนจะยิงยาก เจ้าม้าๆ เรามาสู้ด้วยกันเถอะ”

อย่างไม่ทันตั้งตัว ครั้นกู้ชูหน่วนดึงเชือก จู่ๆ ก็ขี่ม้านิลตัวน้อยมุ่งไปทางวงล้อเพลิง ความเร็วทั้งว่องไวทั้งแม่นยำ ราวกับลูกศรพ้นสาย พริบตาก็พุ่งข้ามวงล้อไปวงแล้ววงเล่า

ขณะเดียวกัน กู้ชูหน่วนก็หยิบลูกธนูสิบดอก เล็งไปที่เป้า ฟิ่วหนึ่ง พุ่งไปทางใจกลางเป้า

เข้าทั้งสิบดอก!

อีกอย่าง หลังจากยิงเข้าเป้าแล้ว ความเร็วนางยังไม่หยุด ขี่ม้านิลตัวน้อยวิ่งไปทางวงล้อไฟอีกสิบที่สอง ด้วยท่วงท่าเดียวกัน รั้งสายขึ้นธนู ฟิ่วหนึ่ง เข้าเป้าทั้งหมดอีกครั้ง

ซี้ด…

ทั้งสนามล้วนเป็นเสียงสูดลมเย็น

เจ้าม้านิลตัวน้อยนี้เป็นวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือจริงหรือ?

วงล้อไฟลุกโชน มันก็ไม่กลัว?

แล้วยังกู้ชูหน่วน ทั้งที่มือนางเล็กเช่นนั้น แล้วทำไมถึงสามารถกุมลูกธนูทั้งสิบ แล้วยังยิงออกไปพร้อมกันเข้าใจกลางเป้าได้อีก?

มองกู้ชูหน่วนหนึ่งคนหนึ่งม้าอีกครั้ง มุ่งไปทางวงล้อไฟทั้งสิบที่สาม วงล้อไฟโหมกระหน่ำ แทบมองเห็นนางไม่ชัด แต่ท่าทางห้าวหาญแข็งแกร่งของนาง กลับตราตรึงในหัวใจของทุกคน

หญิงงามเมืองร่างแดงฉานทั้งตัว ขี่อาชานิลตัวน้อย ไร้ความหวาดหวั่น ข้ามวงล้อไปวงแล้ววงเล่า สิบศรออกตัว แต่ละดอกปักเข้าใจกลางเป้า

นัยน์ตาขาวดำตัดชัดของนาง ที่สะท้อนนอกจากเพลิงลุกโชนและใจกลางเป้าแล้ว ยังมีความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง ความเชื่อมั่นที่แน่วแน่อย่างหนึ่ง

แม้แต่ฮ่องเต้เย่ยังถูกนางทำให้หลงใหลโดยไม่รู้ตัว

หลิวเยว่กับอวี่ฮุยตื้นตันจนโผเข้ากอดกัน “เจ้าดูสิ ลูกพี่เก่งกาจนัก สวรรค์ นางเป็นเทพสวรรค์มาจุติหรือ? ทำไมถึงมีคนยิงธนูได้ดีเช่นนี้?”

“ข้าบอกแต่แรกแล้ว ลูกพี่เราต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”

คนอื่นๆ ที่ร่วมงานเลี้ยง ทั้งตื่นเต้น ทั้งตื้นตัน ทั้งนับถือ “สวรรค์ พระชายาหานแทบจะเป็นตำนานอัศจรรย์ นับแต่วันนี้ ชื่อของนางต้องดังกระฉ่อนทั่วปฐพีแน่”

“ก็นั่นนะสิ มีบุตรีเช่นนี้ ชีวิตนี้ไม่เสียใจแล้ว เสียดายแต่กู้เฉิงเซี่ยงไม่รู้คิดอย่างไร ถึงกับตัดขาดความสัมพันธ์กับลูกสาวที่ประเสริฐเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ตัดความสัมพันธ์กัน อย่างน้อยความรุ่งโรจน์ของจวนเฉิงเซี่ยงต้องดำรงอีกร้อยปี”

“ถ้าลูกสาวข้าเก่งเยี่ยงนางก็ดีสิ”

ถ้อยคำนี้พูดจนจิตใจของกู้เฉิงเซี่ยงที่ขุ่นเคืองอยู่แล้ว ยิ่งอยากตายไปกันใหญ่

สมัยก่อนเขาเห็นกู้ชูหน่วนขัดหูขัดตาอย่างไร ยามนี้เห็นกู้ชูหยุนก็ไม่สบอารมณ์อย่างนั้น

ในบรรดาบุตรสาว ที่เขาคาดหวังมากที่สุดก็คือกู้ชูหยุน แต่กู้ชูหยุนกลับธรรมดาไม่โดดเด่น ถึงสมัยก่อนนางจะโดดเด่นมาก แต่ยามนี้ก็ถูกกู้ชูหน่วนสลัดออกไปไกลร้อยโยชน์

เขาเสียใจบ้างแล้ว

เสียใจที่ไม่ควรตัดความสัมพันธ์กับนาง

แค่ครั้นนึกถึงมารดาของนาง เขาก็มีไฟสุมอยู่เต็มอก

ฟิ่ว…

เข้าเป้าสุดท้ายทั้งหมด ทั้งสนามเงียบกริบ

มีคนอิจฉา มีคนชื่นชม มีคนเลื่อมใส สายตาที่มองกู้ชูหน่วนต่างกันออกไป

จุดไม่ไกล

เย่จิ่งหานในชุดหรูหราสีม่วง เห็นทุกอย่างของกู้ชูหน่วนอยู่ในสายตาทั้งหมด หัวใจที่เสน่หาในเมื่อแรก ไม่รู้ว่าบานสะพรั่งเมื่อไร ที่บรรจุอยู่เต็มไปหมด นอกจากกู้ชูหน่วนแล้วยังคงเป็นกู้ชูหน่วน

เดิมทีเขาได้ยินว่าพวกไทเฮากลั่นแกล้งนาง คิดมาให้ท้ายนาง

แต่ไม่จำเป็นต้องให้เขาให้ท้าย นางสามารถกอบกู้หน้าตาของตัวเองได้

ชายาของเขาควรเป็นเช่นนี้

มีชีวิตอย่างสง่างามตามอารมณ์หมาย ท่วงท่าองอาจกล้าหาญ

เย่จิ่งหานรู้สึกว่าหน้าของตัวเองเพิ่มมาอีกเท่าตัว แต่งกับชายาเช่นนี้ เขาได้หน้า

ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้น้อยก็เอาแต่หาเรื่องเขา

ครั้งนี้ถือว่าได้ทำเรื่องดีแล้วเรื่องหนึ่ง

เห็นแก่ที่ฮ่องเต้น้อยมอบกู้ชูหน่วนให้เขา วิกฤตแคว้นฮั่ว เขาจะช่วยสักหน่อยแล้วกัน

นอกจากเย่จิ่งหาน

อีกมุมหนึ่งยังมีบุรุษอ่อนโยนสุภาพในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ เขาเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา

สีหน้าซ่างกวนฉู่ซับซ้อน ในใจมีความรู้สึกมากมาย

ในดวงตาอบอุ่นคู่นั้น ที่สะท้อนอยู่ก็คือทุกการขมวดคิ้วทุกรอยยิ้มของกู้ชูหน่วนเช่นกัน

ไม่รู้ว่านึกถึงอะไร ใบหน้าเขาแดงระเรื่อเล็กน้อย มองกู้ชูหน่วนมีความเก้อเขิน ความรัก ความนับถือ สารพันร่วมอยู่ด้วยกัน

ณ มุมหนึ่งของชั้นบนสุด

ยังมีบุรุษในชุดแดงชวนมองม้วนเส้นผมของตัวเองอย่างเนือยๆ อีกคนหนึ่ง บุรุษชุดแดงมีดวงหน้าปีศาจที่เพียงพอสยบทุกคนได้ ระหว่างชูมือย่างเท้ามีเสน่ห์อย่างที่พูดไม่ถูก

เขาเป็นบุรุษ แต่เขางดงามจนไม่อาจแยกบุรุษสตรี

โดยเฉพาะริมฝีปากเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย ขณะเผยรอยยิ้มสบายใจ แม้แต่ร้อยบุปผาที่บานสะพรั่งในวังหลวงยังเทียบหนึ่งในหมื่นของเขาไม่ติด

“พี่สาวของข้าก็ร้ายกาจนี่แหละ ทั่วแดนพิภพ มีสตรีนางไหนเทียบนางได้ เสวียซา เจ้าว่าจริงไหม?”

เสวียซาก็ถูกเกลี้ยกล่อมหูตูบ ครั้งนี้ เขายอมแล้วจริงๆ “ขอรับ คุณหนูกู้ครบครันทั้งบุ๋นบู๊ วิชายิงธนูร้ายกาจ ความกล้าไร้ใดเทียม ร้ายกาจมากจริงๆ ข้าน้อยสู้นางไม่ได้เลยขอรับ”

“เจ้าก็ต้องสู้นางไม่ได้อยู่แล้ว หากเจ้าเก่งกว่านาง ข้าจะเรียกเจ้าเป็นพี่ชายเลย”

“ท่านจอมมาร ข้าน้อยมิกล้า” เสวียซาพรั่นพรึง

จอมมารคือเจ้าแห่งเผ่าปีศาจ เขาเป็นแค่ตัวอะไร จะกล้าเป็นพี่ชายของจอมมารได้อย่างไร?

“มีเพียงนาง ถึงคู่ควรเป็นฮูหยินของข้าซือโม่เฟย เจ้าไปเตรียมสักหน่อย ข้าจะสู่ขอนาง”

“หา…แต่นางเป็นพระชายาหานแล้วนะขอรับ หากจะสู่ขอนาง มิต้อง…”

“เย่จิ่งหานเก่งมากหรือ? พี่สาวถูกเขาบีบต่างหาก จนใจถึงได้แต่งกับเขา ท่านน้าชายข้ายังยอมรับข้าเป็นพี่เขยเขาแล้วเลย”

“ท่านน้าชาย?”

เสวียซาฉงนใจ

ไม่เคยได้ยินว่ากู้ชูหน่วนมีน้องชาย

“วันหลังจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก ท่านน้าชายของข้าดีมากเลย วันหน้าพบเขา ต้องดื่มกับเขาสักจอกแน่”

เสวียซาฟังจนมึนงงไปหมด

กลับไม่ได้ถามมากความอีก

ท่านจอมมารมักคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ใครจะรู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่

ณ อุทยานหลวง

องค์หญิงตังตังแทบจะเป็นลม

หัวข้อยากขนาดนี้ นางยังทำได้อย่างไร?

นางเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจริงหรือ?

แล้วยังม้าตัวนั้นทั้งที่ทั้งผอมทั้งเล็ก ทำไมถึงไม่กลัวไฟเลย?

สีหน้าไทเฮาแย่ กริ้วจนไม่อยากพูดสักคำ

ขันทีตะโกนดัง “เข้าเป้าทั้งหมด พระชายาหานชนะ”

กู้ชูหน่วนลูบหัวของม้านิลน้อย หัวเราะเอ่ย “ขอบใจนะ พวก”

คนพวกนี้นึกว่าตัวเองเป็นนักดูม้า ม้าเหงื่อโลหิตดีเช่นนี้กลับไม่รู้

หากนางดูไม่ผิด นี่คือม้าเหงื่อโลหิตสุดยอดแห่งราชา

เพียงแต่ไม่รู้ว่ายังไม่เจริญเติบโตหรืออย่างไร โดยรวมดำจนอัปลักษณ์เกินไปแล้วกระมัง?