ภาคที่ 1 บทที่ 97 เทือกเขาสีเลือดครั้งที่ 3

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 97 เทือกเขาสีเลือดครั้งที่ 3

 

 

เมื่อเห็นหินพลังต้นกำเนิดที่ซูเฉินโยนลงบนโต๊ะ ซูฉางเช่อก็พูดไม่ออกไปครู่

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ในที่สุดซูฉางเช่อก็พูดออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดเรื่องนี้มานานเกินกว่าวันสองวันแล้ว การที่เจ้าสามารถหยิบหินพลังต้นกำเนิด 30,000 ก้อนออกมาพลังต้นกำเนิดได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าคงทำเงินมาได้มากมายจริง ๆ”

 

 

หินพลังต้นกำเนิด 30,000 ก้อน !

 

 

แม้จะรวมรายได้ของซูเฉิงอัน ซูเค่อจี่ กับซูเฟยหูเข้าด้วยกัน การจะทำเงินได้มากมายขนาดนี้ก็ยังต้องใช้ถึง 2-3 ปี แต่เด็กคนนี้กลับสามารถดึงเงินก้อนโตขนาดนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย

 

 

การแสดงออกภายนอกของซูฉางเช่อยังคงสงบ ทว่าหัวใจของเขากลับตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

 

 

ซูเฉินตอบกลับ “บทลงทัณฑ์สีเลือดนั้นอันตรายและน่ากลัว แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน”

 

 

ซูฉางเช่อพยักหน้า “ด้วยการเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดเพียงสองครั้ง เจ้าถึงกับสามารถหาหินพลังต้นกำเนิด 30,000 ก้อนและทักษะต้นกำเนิดมาได้อีกมากมาย แม้ขาดการสนับสนุนจากตระกูลทว่าก็ยังยืนอยู่ในจุดสูงสุดของรุ่นที่ 3 ได้ ทุกคนตัดสินตัวเจ้าผิด ตัดสินผิดจริง ๆ !”

 

 

การแสดงออกของซูเฉินเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและประชดประชัน “ท่านหัวหน้าตระกูลรู้สึกเสียใจกับการกระทำก่อนหน้านี้งั้นหรือ ? ”

 

 

ซูฉางเช่อไม่ได้โกรธ เขายิ้ม “ใช่ ข้ารู้สึกเสียใจมากที่ทำผิดต่อเจ้า เจ้าพูดถูก ในสายตาของข้าสมาชิกในตระกูลซูทุกคนมีคุณค่าในระดับที่แตกต่างกัน เจ้าสามารถตำหนิว่าข้าเป็นคนเลือดเย็น เจ้าสามารถเกลียดข้าที่โหดเหี้ยมได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่ผู้นำของตระกูลใหญ่ต้องทำ ในตระกูลใหญ่มีผู้คนมากมาย ข้าไม่สามารถจะทำสิ่งต่าง ๆ ตามอารมณ์ได้ หากข้าทำตามความชอบส่วนตัว และมอบทรัพยากรทั้งหมดให้ผิดคน ตระกูลซูก็คงจะไม่มีอยู่อีก หากข้าพูดแบบนี้เจ้าเข้าใจไหม ? ”

 

 

“ข้าเข้าใจ หากท่านเพียงแค่ไม่ให้ทรัพยากรพิเศษแก่ข้า ข้าก็คงจะไม่ผิดหวัง ไม่โกรธและไม่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่สิ่งที่ตระกูลซูทำกับข้ามันคือการระงับทรัพยากรไม่ใช่หรือ ? พวกท่านเอาสิ่งที่ข้าควรจะได้รับไป ! ” ซูเฉินกล่าวด้วยความโกรธ

 

 

ใช่ หากเป็นเพียงเรื่องของการไม่จ่ายทรัพยากรพิเศษให้ ซูเฉินก็คงจะปล่อยมันไป

 

 

ปัญหาคือรางวัลของการประเมินสิ้นปี มันไม่ได้ถูกมอบให้ด้วยความชอบส่วนบุคคล หรือนับเป็นของขวัญจากใครบางคน มันเป็นสิ่งที่ซูเฉินพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ได้มา !

 

 

แต่ซูเค่อจี่กลับยังวางแผนเพื่อขโมยทรัพยากรเล็กน้อยนี้ไป !

 

 

ซูฉางเช่อตระหนักดีถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังอยู่เงียบ ๆ และปล่อยให้มันเกิดขึ้น

 

 

เพราะเขารู้สึกว่าการมอบแก่นไม้วิญญาณเขียวให้กับซูเฉินนั้น ถือเป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไป ดังนั้นซูฉางเช่อจึงยอมรับในการเคลื่อนไหวของผู้ที่อยู่เบื้องใต้เขาอย่างเงียบ ๆ

 

 

ในกระบวนการทั้งหมดนี้ ซูฉางเช่อมองเพียงคุณค่าของทรัพยากร แต่กลับมองข้ามความอยุติธรรมและความยุติธรรม เขามองข้ามความรู้สึกของซูเฉินไป

 

 

พูดตามตรง ซูฉางเช่อก็ยังคงสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระทำที่ตามมาหลังจากนั้นของซูเค่อจี่หรือหยานหวู่ชวงเลย

 

 

ซูฉางเช่อถอนหายใจ “เจ้าพูดถูก เรื่องนี้ตระกูลซูทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว หากข้ากล่าวขอโทษเจ้า เจ้าจะยอมรับมันได้หรือไม่ ? ”

 

 

ซูเฉินไม่ตอบ แต่เมื่อมองจากท่าทางของเขา ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาไม่ได้คิดที่จะยอมรับมัน

 

 

ซูฉางเช่อขมวดคิ้ว “ซูเฉิน ในเมื่อเราเป็นคนตระกูลเดียวกันก็ควรจะให้อภัยซึ่งกันไม่ใช่หรือ ? จะมีอะไรมีค่ามากกว่าสมาชิกในครอบครัว ? พวกผู้หลักผู้ใหญ่ทำผิดและกล่าวคำขอโทษไปแล้ว มันยังไม่เพียงพอหรือ เหตุใดเจ้าถึงยังคงดื้อรั้นอยู่อีก ? เจ้าจะให้อภัยพวกข้าไม่ได้จริง ๆ หรือ ? ”

 

 

ซูเฉินตอบว่า “หากท่านกล่าวเช่นนี้กับข้าก่อนหน้านี้ ก่อนที่คุณจะพบว่าดวงตาของข้าหายดีแล้ว ข้าก็คงจะดีใจมาก ข้าคงจะสามารถละทิ้งความเกลียดชังทั้งหมดได้โดยไม่มีเงื่อนไข แต่ตอนนี้……”

 

 

ซูเฉินหัวเราะในลำคอ

 

 

เขาส่ายหัว “คนที่ท่านต้องการคือซูเฉินผู้ที่ได้การมองเห็นกลับคืนมาแล้ว แต่ข้าก็เป็นแค่ซูเฉินผู้ตาบอด”

 

 

เมื่อกล่าวจบเขาก็หันกลับและเดินจากไป

 

 

————————————

 

 

บทสรุปเรื่องที่ซูเฉินได้ทุบตีหลานจื่อจนตายนั้นได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และเกินความคาดหมายของทุกคน

 

 

ซูเฉินทุบตีหลานจื่อจนตายและทำลายใบหน้าของหยานหวู่ชวง กระทำการเกินอำนาจของเขา ซูเฉินอาสารับบทลงทัณฑ์สีเลือดเป็นเวลา 150 วัน หยานหวู่ชวงแพร่ข่าวลือร้ายแรงทำร้ายท่านหญิงคนแรก ตามกฎแล้วนางควรถูกประหารชีวิต อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่านางยังมีลูกชายอยู่ นางจึงรอดไปได้ แต่ก็ถูกลงโทษด้วยการโบ้ย 30 ที และถูกลดขั้นไปเป็นแม่บ้านทั่วไป

 

 

ซูเฉิงอันถูกเสน่ห์ผู้หญิงบังตา เขาละเลยการดูแลครอบครัวและตัดสินถูกผิดอย่างไม่เป็นธรรม ทรัพย์สินทั้ง 32 ของซูเฉิงอัน 9 กิจการถูกริบไป และได้รับอนุญาตให้จัดการกิจการที่ไม่ได้อยู่ในท้องถิ่นเพียง 3 แห่งเท่านั้น ซูเฉิงอันถูกวางไว้นอกสายตาและถูกลืมไป ความรุนแรงของบทลงโทษของเขานั้นเกินความคาดหมายของทุกคนอย่างมาก

 

 

ไม่ใช่แค่ซูเฉิงอันเท่านั้น แม้แต่ซูฉางชิง ซูเค่อจี่และคนอื่น ๆ ก็ถูกซูฉางเช่อตำหนิและลงโทษ ส่วนทางด้านซูเยว่เองก็ได้รับบทลงโทษโบ้ยไป 60 ทีและถูกส่งตัวไปทำงานที่เหมืองเป็นเวลา 1 ปี

 

 

ซูเฟยหูเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับประโยชน์จากความวุ่นวายนี้ ธุรกิจของซูเฉิงอันที่ริบคืนทั้งหมดถูกมอบให้เขาดูแลแทน นอกจากนี้เขายังกลายเป็นที่รู้จักของสาธารณชน ในฐานะผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะได้สืบทอดตระกูลซูมากที่สุด

 

 

ซูฉางเช่อยังได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อเชิญแพทย์มารักษาอาการป่วยของถังหงรุ่ย

 

 

ซูเฉินรู้ดีว่านี่คือการชดใช้หนี้ที่ซูฉางเช่อจ่ายให้เขา

 

 

ตระกูลซูทำให้เจ้าผิดหวังงั้นหรือ ?

 

 

ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ต้องมีบางคนที่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีอยู่บ้าง

 

 

ข้าจะกวาดล้างสิ่งไม่ดีให้แก่เจ้าและมอบตระกูลให้กับผู้ที่ดีต่อเจ้า เจ้าคงไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม ?

 

 

ชายชราผู้กร้านโลกก็ยังคงเป็นชายชราผู้กร้านโลก วิสัยทัศน์และวิธีการของเขานั้นโหดร้าย การกระทำของเขาช่างเต็มไปด้วยความกล้าหาญและเด็ดขาด

 

 

อย่างไรก็ตามนี้ทำให้ซูเฉินสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

 

ปรากฏว่าความรักคือสิ่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในตระกูลใหญ่

 

 

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมูลค่า

 

 

สิ่งที่ซูเฉินพูดนั้นถูกต้องที่สุด ซูฉางเช่อให้ความสำคัญกับผู้ที่ได้การมองเห็นกลับคืนมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีประโยชน์ในสายตาของอีกฝ่าย

 

 

หากสายตาของซูเฉินไม่ได้ฟื้นกลับคืนมาซูฉางเช่อก็คงจะไม่ปกป้องเขา หากซูเฉินไม่ได้นำหินพลังต้นกำเนิด 30,000 ก้อนออกมาทั้งหมดในคราวเดียว หากเขาไม่ได้แสดงความพิเศษของตน ซูฉางเช่อก็คงจะไม่ลดขั้นซูเฉิงอัน ส่งเสริมซูเฟยหูและคงจะไม่ลงมือเด็ดขาดเช่นนี้

 

 

มันเป็นไปตามที่ซูเฉินพูด ซูฉางเช่อเป็นเหมือนเครื่องจักรที่เข้มงวดทำทุกอย่างบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของตนเอง เมื่อซูเฉินไม่มีค่า แม้ว่าของบางสิ่งที่ควรจะเป็นของซูเฉินโดยชอบธรรม พวกมันก็จะยังคงถูกริบเอาไปอยู่ดี และเมื่อซูเฉินแสดงให้เห็นถึงความพิเศษของตน แม้แต่ลูกชายหรือน้องชายของตัวเอง ซูฉางเช่อก็ยังกำจัดพวกเขาทิ้งไปได้ง่าย ๆ ดุจตัวหมากรุกไร้ค่า

 

 

แม้ว่าซูเฉินจะมองชายชราคนนี้ออก แต่การกระทำของซูฉางเช่อก็ยังคงมีผลต่อเขา

 

 

แม่ของเขายังอยู่ที่นี่ ซูเฟยหูเองก็ยังอยู่ที่นี่ ทุกคนที่ดีกับเขาก็ยังคงอยู่ที่นี่ ซูเฉินไม่สามารถทิ้งตระกูลไปทั้ง ๆ แบบนี้ได้

 

 

วันต่อมาซูฉางเช่อได้ส่งคนมาคืนหินพลังต้นกำเนิด 30,000 ก้อนให้กับซูเฉิน

 

 

อย่างไรก็ตามซูเฉินบอกให้บุคคลผู้นั้นเอาหินพลังต้นกำเนิดกลับไป โดยที่ตัวเขารับมาเก็บไว้เพียง 2 ก้อนเท่านั้น

 

 

ซึ่งซูฉางเช่อเข้าใจดีว่าซูเฉินหมายถึงอะไร

 

 

อย่าคาดหวังว่าซูเฉินจะฟื้นคืนความรักเก่าแก่ของเขาทั้งหมดที่มีต่อตระกูลซู เพียงแค่เพราะการกระทำของซูฉางเช่อ

 

 

ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เคยร้าวฉานไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่สามารถต่อกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

 

 

แต่ตราบใดที่ 2 คนนั้นยังคงอยู่ในตระกูลซู เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตระกูลซูก็จะยังคงผูกติดกัน และซูเฉินจะไม่จากไป

 

 

แน่นอนว่า มันหมายความว่าเขาเพียงแค่จะยังไม่จากไปเท่านั้น

 

 

ซูเฉินไม่ได้มีความรักให้ตระกูลซูอีกต่อไปแล้ว ท่าทีของเขาในอนาคต มันก็จะขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ของตระกูลจะเปลี่ยนไปอย่างไร

 

 

แม้ว่ามันจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการมากที่สุด ทว่าด้วยคำตอบนี้ซูฉางเช่อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

 

 

ตราบใดที่คน ๆ นั้นยังคงอยู่ ความรู้สึกอาจจะกลับคืนมาอย่างช้า ๆ

 

 

ดังนั้นเรื่องคราวนี้ ผ่านไปเช่นนั้น

 

 

2 วันต่อมาซูเฉินก็เข้าสู่เทือกเขาสีเลือดอีกครั้ง

 

 

เด็กหนุ่มพากังเหยียนไปด้วย และยังคงแสร้งว่าตนเป็นคนตาบอด

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าซูเฉินกลับมามองเห็นได้อีกครั้งแล้ว ชายชรายังคงยุ่งอยู่กับการพยายามเอาอกเอาใจเขา แล้วอีกฝ่ายจะเปิดเผยความลับนี้ของเขาได้อย่างไร

 

 

ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่กังวลไปกับเรื่องซูเฉิน

 

 

เมื่อตอนที่เขายังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ซูเฉินเข้าและออกจากเทือกเขาสีเลือดถึง 2 ครั้ง ตอนนี้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไปแล้ว และยังมีกังเหยียนอยู่กับเขาด้วย มันจึงกลายเป็นว่าซูเฉินจะมีอิสระอย่างมากในเทือกเขาสีเลือด

 

 

เทือกเขาสีเลือดที่เต็มไปด้วยอันตราย ได้กลายเป็นยันต์ป้องกันที่ซูเฉินสามารถใช้เพื่อหลบหนีจากการถูกลงโทษไปเสียแล้ว นี่คือความมั่นใจที่ผู้แข็งแกร่งมี

 

 

ก่อนที่จะเข้าเทือกเขาไป ซูเฉินยังได้ไปพบกับเยี่ยเม่ยและทำการซื้อทักษะการดูดซับมาสอนให้หมิงชูกับโจวหง เพื่อให้พวกเขาสามารถฝึกฝนการบ่มเพาะได้ด้วยตนเองได้