บทที่ 94
ความเมา
ชูอี้เสิ่นรับกล่องมาและเปิดออกช้าๆ ภายในกล่องแหวนทำจากหยกหลากสีซึ่งสวยมากจริงๆ

เพียงแค่แวบแรกที่เห็นเขาก็ชอบมันอย่างมาก โดยเฉพาะราชาเสือที่ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆแต่เทคนิคการแกะดูจะแปลกไปซะหน่อยไม่เหมือนช่างแกะที่มีชื่อเสียง ทันใดนั้นชูอี้เสิ่นก็สังเกตรอยแผลหลายรอยที่มือของมู่หรงเสวี่ยซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นรอยจากมีด เขาประหลาดใจมาก จึงถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“มู่หรงเสวี่ยนี่…นี่เธอแกะเองงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเขาเห็นจากรอยแกะสลักที่ไม่ค่อยสวยเท่าไรและหน้าของเธอก็แดงเล็กน้อย จึงพูดออกไปด้วยความอาย “นี่เป็นการแกะสลักครั้งแรกของฉัน…ฝีมือเลยยังไม่ดีเท่าไร…ถ้าพี่ไม่ชอบ ฉันจะหาช่างฝีมือดีมาแกะให้ใหม่นะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดและอยากที่จะเอื้อมมือออกดึงกล่องออกมาจากมือของชูอี้เสิ่น
ชูอี้เสิ่นยกมือหลบมือของมู่หรงเสวี่ย “ให้ฉันเถอะ ฉันชอบมันมากเลย” เพราะเธอเป็นคนแกะมันเอง ทำให้เขายิ่งชอบเข้าไปอีก เขาถูนิ้วตัวเองเล็กน้อยและสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วโป้งข้างซ้าย แหวนใส่ได้พอดี แหวนยิ่งดูวิบวับขึ้นไปอีกเมื่ออยู่บนนิ้วเรียวยาวของเขา

“ถ้าพี่ชอบนะคะ” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม “อีกเรื่อง พี่เอาสัญญามาด้วยหรือเปล่า?”
“เอ้านี่ เธออยากจะเพิ่มอะไรอีกหรือเปล่า? ถ้าไม่มีอะไรโต้แย้งก็เซ็นต์ได้เลย” ชูอี้เสิ่นยื่นเอกสารข้อมูลมาให้มู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยลองอ่านอย่างละเอียดและถามชูอี้เสิ่นเกี่ยวกับข้อสงสัยในสัญญาบางเป็นครั้งคราว นับจากก้าวนี้ อ้ายเสวี่ยก็ประสบความสำเร็จไปแล้วอีกขั้น

“เสี่ยวเสวี่ย ครั้งนี้เธอจะอยู่ที่เมืองหลวงนานแค่ไหนเหรอ?” ชูอี้เสิ่นรินไวน์แดงใส่แก้วแล้วยื่นให้มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยแทบจะไม่ดื่มไวน์แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ดื่มบางเป็นครั้งคราวก็ไม่น่าจะเป็นอะไร อีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นคนที่เธอรู้จักดี มู่หรงดื่มเข้าไปอึกใหญ่แล้วจึงตอบออกไป “การแข่งขันวิชาการจะใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้วอีกสองวันให้หลังพวกเราถึงจะกลับกัน พี่ชูเห็นได้ชัดว่าพี่อยู่ที่เมืองหลวง แล้วจะมีอะพาร์ตเมนต์ที่เมือง Aไว้ทำไมล่ะ? ตอนที่ฉันเห็นพี่ครั้งแรก ฉันคิดว่าพี่เป็นพวกไม่สนกฎหมาย…” เธอรู้สึกแปลกใจเสมอ ใครกันที่อยู่ดีๆก็ชอบโผล่มาพร้อมรอยแผลเต็มตัวไปหมด

“ฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้โตที่เมืองหลวง สำหรับฉัน ฉันคุ้นเคยกับเมือง A มากกว่าเมืองหลวงซะอีก ฉันไม่คิดว่าเสี่ยวเสวี่ยจะมาเปิดบริษัท ฉันชอบผลิตภัณฑ์ของเธอมากเลยนะ มันดีมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเธอจะสามารถชวนพวกผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ให้มาศึกษาและผลิตผลิตภัณฑ์จนสำเร็จแบบนี้ นอกจากนี้ชุดผลิตภัณฑ์ที่เธอให้ตัวแทนของบริษัทได้ถูกเอาไปทดสอบแล้วนะและมันเป็นธรรมชาติสุดๆเลย…”

“ฮ่าฮ่า ไม่หรอกค่ะ ฉันพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ด้วยตัวเองเลยประหยัดเรื่องเงินทุนในการวิจัยไปได้เยอะเลย ฉันจะพึ่งครอบครัวไปตลอดไม่ได้หรอก…”

“อะไรนะ?!!! เธอเป็นคนพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้เองงั้นเหรอ?”
“มีอะไรให้แปลกใจล่ะคะ? พี่ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นแพทย์จีนแผนโบราณนะคะแล้วก็ยังเข้าใจเรื่องคุณลักษณะของสมุนไพรพื้นฐานอย่างดีด้วย งั้นก็ไม่มีอะไรให้แปลกใจหรอกค่ะ ฉันมีแผนที่จะสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์ของเมืองหลวงเพื่อเรียนเรื่องการแพทย์ต่อ…”

“จริงเหรอ? มันคงจะดีมากเลยนะถ้าเธอได้มาอยู่ที่นี่ เราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น…”
“…”
ยิ่งพวกเขาคุยกันมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองดื่มไปกี่แก้วแล้ว ในที่สุดเธอก็ดื่มที่เหลือจนหมด มู่หรงเสวี่ยเผยอปากเล็กน้อยและส่ายหัวเพราะรู้สึกมึนๆ เธอมองไปที่หน้าชูอี้เสิ่นและพูดออกมาว่า “พี่ชู อย่าหันไปหันมาสิคะ…ทำฉันเวียนหัวหมดแล้ว…”

ชูอี้เสิ่นเองก็เมานิดหน่อยด้วยเหมือนกัน แต่ยังไงซะเขาก็เข้าสังคมบ่อยและดื่มบ่อยจนชินแล้ว เธอเพิ่งจะมองไปที่แก้วไวน์เปล่าของมู่หรงเสวี่ยและขมวดคิ้วเพราะตอนนี้หน้าเธอแดงขึ้นมาแล้ว พวกเขาคุยกันอย่างสนุกมากจนเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอเริ่มจะเมามากแล้ว “นี่แย่แล้ว…”
“มู่หรงเสวี่ย เธอเมาแล้วนะ…” ชูอี้เสิ่นช่วยพยุงร่างที่เดินไม่ตรงของเธอ

มู่หรงเสวี่ยผลักเขาออกและพูดว่า “ฉันไม่ได้เมา…”
ใช่เลย! คำพูดติดปากของคนเมา
ชูอี้เสิ่นเรียกพนักงานเพื่อจ่ายค่าอาหาร หลังจากที่ช่วยพยุงมู่หรงเสวี่ยที่แขน เขาก็พร้อมที่จะพาเธอกลับไปพักแล้ว มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรที่จะมาเมาที่นี่

เขาไม่ได้ไปที่โรงแรมเพื่อเปิดห้องแต่กลับพามู่หรงเสวี่ยตรงกลับไปที่วิลล่าของเขาซึ่งปกติแล้วเขาจะอยู่คนเดียว
หลังจากไปถึงที่วิลล่า ชูอี้เสิ่นก็พยุงมู่หรงเสวี่ยและพวกเขาก็เดินเซเข้าไปที่วิลล่า

“ที่นี่ที่ไหน…” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างมึนๆ
ไม่ง่ายเลยที่จะพามู่หรงเสวี่ยที่เอาแต่พูดพร่ำไปตลอดทางเพื่อไปที่เตียงในห้องนอนของเขา เขามองเสื้อที่ยับยู่ยี่ของตัวเองแล้วมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่อยู่บนเตียง แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ที่นี่บ้านฉัน เธอพักให้สบายเถอะ…” ไม่ว่า มู่หรงเสวี่ยจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม
อย่างน้อยชูอี้เสิ่นก็เช็ดหัวให้เธอด้วยผ้าเช็ดตัว หลังจากนั้นก็ให้เธอจิบน้ำสักหน่อย

มู่หรงเสวี่ยที่กำลังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง ชูอี้เสิ่นถึงกับพูดไม่ออกได้แต่หัวเราะออกมา “เด็กเอ๊ย…” เขาค่อยๆพลิกตัวเธอแล้วจึงเช็ดหน้าเธอด้วยผ้าขนหนู

เขามองใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของมู่หรงเสวี่ยด้วยความหลงใหล นิ้วของเขาอดไม่ได้ที่จะไล้ไปตามดวงตา, จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากบางของเธอ

“ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้…” ดูเหมือนมู่หรงเสวี่ยจะละเมอจากฝันร้ายและเริ่มที่จะร้องไห้ออกมาเบาๆ

ชูอี้เสิ่นตกใจและคิดว่าเขาทำให้มู่หรงเสวี่ยตื่น แต่หลังจากที่มองใกล้ๆ เขาก็เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยยังไม่ได้สติ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อยและน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมาจากตาเธอ
เธอกำลังเจ็บปวด เธอดูไม่มีความสุขเลย ชางกวนโม่ไม่ดีกับเธองั้นเหรอ
“ฉันทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้…หื้อหื้อ…” ราวกับว่าเธอถูกปีศาจแห่งความเจ็บปวดกักขังไว้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยออก

ชูอี้เสิ่นอดไม่ได้ที่จะตบที่หลังเธอเบาๆ “ไม่เป็นไรนะเสี่ยวเสวี่ย…ต่อไปฉันจะปกป้องเธอเอง…” เขาเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะไปหาชางกวนโม่…มู่หรงเสวี่ยเป็นคนเพียงคนเดียวในโลกนี้นอกจากแม่ของเขาที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้…เขาเพียงแค่อยากให้เธอมีความสุข

“อย่า…อย่าตีฉันเลย…” ดูเหมือนมู่หรงเสวี่ยจะยังอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านฟาง ร่างของมู่หรงเสวี่ยที่ถูกเสี่ยวเข่อลี่ทำร้ายมีโซ่เหล็กเย็นๆล่ามไว้พร้อมด้วยรอยแผลเน่า มันเจ็บ…เจ็บมากเลย
ตีเธองั้นเหรอ?!! ดวงตาของชูอี้เสิ่นเปล่งประกายความเยือกเย็น…เขาคิดว่าชางกวนโม่จะทะนุถนอมเธออย่างดี…เพราะเขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมแพ้

“อย่า…อย่า…” อย่าทำร้ายพ่อแม่เธอ กล้องที่อยู่บนหัวเธอเปิดขึ้นมาและหยุดที่ภาพตอนที่เสี่ยวเข่อลี่บอกพ่อแม่เธอว่าเธอฆ่าตัวตายแล้ว…เธอเริ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ลัสีหน้าก็เริ่มที่จะซีดเผือด เธอขดตัวเพื่อเก็บกดความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้

ชูอี้เสิ่นไม่สามารถช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดในหัวใจเธอได้ เขาอุ้มมู่หรงเสวี่ยที่ยังไม่ได้สติขึ้นมาและค่อยๆลูบที่หลังเธอเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะ มันจะต้องโอเค…เสี่ยวเสวี่ย ไม่ต้องกลัวนะ…” มู่หรงเสวี่ยราวกับว่าเจอเชือกที่จะช่วยชีวิตได้ จึงกอดความอบอุ่นนั้นไว้แน่น

เขาตัวแข็งและมองเธออย่างไม่แน่ใจ ริมฝีปากเธอซีดแต่หน้ายังแดงระเรื่อด้วยความเมา เขาถอยออกมาเพื่อมองให้ชัดเจน จนถึงกับจ้องเลยก็ว่าได้

“นี่มันอะไรกันเนี่ย…” เขาเอื้อมมือออกไปแตะที่มุมปากของเธออย่างไม่รู้ตัว
เขาเริ่มที่จะหายใจไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจร้อนและรัวรดลงไปที่แก้มแดงระเรื่อของเธอ ประกายในตาของเขาเริ่มที่จะเข้มขึ้นๆราวกับว่าเป็นเปลวไฟที่กำลังแผดเผา นิ้วเขาไล้ไปตามริมฝีปากเธอด้วยความแรงและความปรารถนา
ภาพมู่หรงเสวี่ยที่กำลังเมาและไม่ได้สติเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ในหัวของเขาสับสนไปหมดและเขาก็บอกความจริงไม่ได้ด้วย

ทันทีที่เขากำลังจะเข้าใกล้ริมฝีปากของเธอ มู่หรงเสวี่ยก็ละเมออะไรไร้สาระออกมา ทันใดนั้นเขาก็ได้สติและอยากที่จะตบหน้าตัวเองจริงๆ เขานี่มันเลวจริงๆ จะเอาเปรียบผู้หญิงที่กำลังเมาได้ยังไง เขาค่อยๆวางมู่หรงเสวี่ยลงแล้วก็ช่วยห่มผ้าให้เธอ เปิดประตูระเบียงแล้วเดินออกไปสูบบุหรี่

เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยจับที่หัวตัวเองและรู้สึกปวดมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาการของคนเมาค้าง เธอรีบกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจและรีบเช็กตามร่างกายตัวเอง พอเห็นว่าเสื้อผ้าเธอเหมือนกันชุดที่ใส่มาเมื่อวาน ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จำได้ว่าเมื่อวานเธอเมาจนน่าขายหน้าจริงๆและไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำเรื่องน่าขำอะไรไว้หรือเปล่าหลังจากที่เมาแล้ว เธอกัดริมฝีปากและทุบไปที่หัวตัวเองซึ่งยังคงปวดอยู่ “โง่จริงๆเลย…”

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประจึงรีบวิ่งมาเปิดทันที
“พี่ชู เมื่อคืนฉันรบกวนพี่…” มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่าเขินๆ
“ดื่มชานี่ก่อนจะได้ช่วยให้สร่างเมาขึ้น จะได้ไม่ทรมานมาก” ชูอี้เสิ่นยื่นถ้วยชาช่วยให้สร่างเมามาตรงหน้ามู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยทรมานจากการปวดหัว เธอดื่มชาเข้าไปอึกหนึ่งและสุดท้ายก็ถามออกมา “พี่ชู เมื่อคืนฉันทำเรื่องน่าขายหน้าอะไรหรือเปล่า?” พร้อมสายตาที่จริงจังของเธอ คงไม่มีใครอยากจะให้คนอื่นเห็นความอับอายของตัวเองหรอก

ชูอี้เสิ่นยิ้มอย่างมีเลศนัย “เมื่อคืน อ่า…มีเรื่องตลก…แต่ฉันไม่บอกเธอหรอก…” แล้วเขาก็ตบเบาๆลงที่หัวของเธอ