บทที่ 402 ถอนหายใจสามครา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 402 ถอนหายใจสามครา
ตราช่างอันเล็กเป็นเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง ถาดขาวดำขยับขึ้นลงสลับกันไปมา แต่ไม่นานก็หาจุดสมดุลได้ ฉับพลันนั้น บรรยากาศรอบกายเบเยอร์ก็เกิดความแปลกประหลาดขึ้นอย่างยิ่ง

เชือกสายลมที่เหนี่ยวรั้งเบเยอร์เอาไว้พลันขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใยแมงมุมใหญ่หนาก็หายลับไป และสนามแม่เหล็กบิดเบี้ยวก็ผ่อนกำลังลงเช่นกัน อีกทางด้านหนึ่ง สายฟ้าที่ติดอยู่กับดาบของเดนิซพลันดับมอดลง และแสงดาวสุกใสที่ล้อมรอบอาร์เธนก็หายวับไปเช่นเดียวกัน

กลางห้องโถงนั้น โซเฟียสะบัดปีกทั้งหกคู่ ก้อนเมฆที่เรียกออกมาพร้อมกับพลังแห่งความตายอันแข็งแกร่งถูกขับไล่ออกไปทันทีที่มันเข้าใกล้เบเยอร์

เดนิซขบริมฝีปาก เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังสายฟ้าอีกต่อไป

ภายในรัศมีพลังของ ‘ตราชั่งตุลาการ’ พลังระดับยอดเยี่ยมใดก็ตามควรต้องกราบกรานให้ความเคารพตามลำดับชั้น!

เบเยอร์รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลาย เขายกดาบสีเขียวที่ชื่อ ‘เขามาร’ ขึ้น ก่อนจะเอ่ยกับศัตรูด้วยเสียงดังก้อง “จงดาหน้าเข้ามาและแสดงพลังที่แท้จริงของเจ้า! แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าเก็บงำสิ่งใดไว้บ้าง!”

เบเยอร์ขยับปีก แล้วเขาก็เข้าประชิดอาร์เธนพร้อมกับเงื้อดาบขึ้น

“หากไร้ซึ่งของวิเศษทั้งหมด เจ้ามันก็ไร้ค่า!” เบเยอร์เยาะหยัน

จนถึงตอนนี้ พลังของตราชั่งถูกใช้ไปหมดแล้ว

อาร์เธนเร่งร้อนยกโล่ขึ้นป้องกันตนเอง แต่ทันทีที่โล่ของเขาสัมผัสกับใบดาบ เบเยอร์ก็หายวัยไปต่อหน้าต่อตาอาร์เธน

อาร์เธนไม่อาจทราบได้ว่าเป้าหมายของตนอยู่ที่ใด! ทันใดนั้น หัวใจเขาก็หล่นวูบ แต่หนึ่งวินาทีถัดมา เขาก็รีบเหวี่ยงดาบไปทางด้านหลัง

เคร้ง!

อาร์เธนมิอาจต้านแรงพลังอันมหาศาลได้ เขาสูญเสียสมดุล จึงล้มกลิ้งไปบนพื้น แล้วดาบของเบเยอร์ก็ตวัดมาอยู่เหนือศีรษะเขาพอดี!

สายฟ้าแล่นปลาบมาขัดขวางการโจมตีของเบเยอร์ เป็นเดนิซ ผู้กำดาบด้วยสองมือ ทว่า การเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียวนี้กลับกินพลังส่วนใหญ่ของเขาไป

ในสายตาเบเยอร์ เดนิซที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นมหาอัศวินและยังห่างไกลจากอัศวินอาภา หาใช่ภัยอันตรายใดๆ ต่อตัวเขา

เบเยอร์มั่นใจอย่างมาก เขาขยับกายว่องไว ปะทะดาบกับเดนิซหลายครั้งติดต่อกันภายในไม่กี่วินาที เดนิซสัมผัสได้ว่าดาบสีเขียวที่เบเยอร์ใช้นั้นทำให้ความเร็วของเขาตกลง และทำให้เขาอ่อนกำลังลงเช่นกัน

ในขณะที่เบเยอร์กับเดนิซกำลังประมือกันอยู่นั้น โซเฟียไม่ได้ทำอะไรเพราะนางไม่อาจเล็งเป้าหมายไปที่เบเยอร์ได้เลย แม้ว่าจะมีเวทมนตร์เหมาะสมที่โซเฟียรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ในตอนนี้ นางกลับไม่อาจใช้พวกมันได้เพราะเวทมนตร์เหล่านั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่นางจะใช้ได้ด้วยพลังโลหิต

นี่คือชะตากรรมของผู้ร่ายเวท เวทมนตร์ที่ผู้ร่ายเวทจะใช้ได้นั้นจะถูกตัดสินด้วยพลังโลหิตในกาย และการพยายามอย่างหนักก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เบเยอร์ฟาดฟันดาบรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้น เบเยอร์ก็กระโดดออกจากการต่อสู่พัวพันกับเดนิซแล้วตรงมาหาโซเฟีย

“ผู้ร่ายเวทคิดว่าจะสังหารข้าได้งั้นรึ!” เบเยอร์ตะโกนก้อง

โซเฟียประหลาดใจอย่างที่สุด ณ ช่วงเวลานั้น นางลืมเลือนที่จะกระโดดหนีด้วยสายลม!

ภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ที่แผ่มาจากดาบสีเขียวของเบเยอร์ โล่สายลมของโซเฟียเริ่มแตกร้าวออกเป็นเสี่ยงๆ!

อาร์เธนรีบร้อนวิ่งกลับมาหาเจ้าหญิงของเขาและสกัดกั้นการโจมตีถัดไปของเบเยอร์ โซเฟียรีบหลบให้ห่างจากเบเยอร์เพื่อเตรียมร่ายบทเวทอีกครั้ง

เมื่อไร้ซึ่งพันธนาการใด เบเยอร์ก็สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ และการโจมตีเป็นชุดของเขาก็ทำให้โซเฟีย เดนิซ และอาร์เธนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันรุนแรง เมื่อเขามีโอกาส เบเยอร์ยังสังหารหนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูงที่สู้อยู่กับแคลร์ ทำให้ความเคร่งเครียดของแคลร์ลดลงไป

ในตอนนี้ลูเซียนเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้น หลังจากที่เห็นพลังของเบเยอร์ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมโซเฟียถึงตัดสินใจวางแผนการแสนซับซ้อนถึงเพียงนี้เพื่อสังหารพี่ชายตนเอง ในขณะเดียวกัน เขายังได้เรียนรู้ทักษะในการต่อสู้จากการเฝ้ามองเบเยอร์อีกด้วย

ข้างกายลูเซียน เรล์ฟกำลังประหม่ากลัวขณะเฝ้ามองการต่อสู้ มือทั้งสองข้างของเขากำเป็นหมัดแน่น ลูเซียนมองว่าเรล์ฟไม่ใช่นักเวทที่ดีเลยสักนิด เมื่อเป็นเรื่องของการตั้งสติเพ่งสมาธิในฐานะนักเวทผู้หนึ่ง จิตใจของเรล์ฟยังห่างไกลจากคำว่าแข็งแกร่งนัก หากเทียบกันแล้ว โซเฟียยังสงบจิตใจระหว่างการต่อสู้ได้ดีกว่ามาก

ลูเซียนพอจะรู้ทิศทางไปยังห้องลับแล้วคร่าวๆ แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเขาจะหาตำแหน่งได้แม่นยำกว่านี้

“เจ้ามีดีแค่นี้น่ะหรือ โซเฟีย” เสียงตะโกนของเบเยอร์ดังปานสายฟ้าคำราม

ทั้งเดนิซและอาร์เธนมิอาจหยุดยั้งเขาได้

เมื่อเห็นเช่นนนั้น โซเฟียก็ลอบถอยหลังไปสองสามก้าว

ในตอนนั้นเอง ลูเซียนที่กำลังจดจ้องแผ่นกระเบื้องสีเทาตรงกลางห้องโถงอยู่นั้นเองก็รู้วิธีเข้าไปยังห้องลับแล้วเช่นกัน

ทว่า สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของลูเซียนก็คือ ก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือทำอะไร โซเฟียก็กระทืบเท้าไปบนกระเบื้องแผ่นนั้นอย่างไม่ลังเล เมื่อก้าวถอยหลังมา นางก็มาถึงปากทางทางเข้าห้องลับแล้ว!

เสียงแผ่วเบาแต่ก้องสะท้อนดังมาจากข้างใต้ห้องโถง ผนังหินด้านหนึ่งกลายเป็นประตู ก่อนที่มันจะแง้มออกช้าๆ

เรล์ฟไม่ได้ประหลาดใจที่เห็นว่าห้องลับอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่าทำไมเจ้าหญิงถึงเลือกที่จะเปิดประตูในเวลานี้

เหล่าอัศวินยังคงต่อสู้กันโดยไม่วอกแวก แต่เบเยอร์กลับเร่งความเร็วในการฟาดฟันยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเร่งรัดสังหารมหาอัศวินทั้งสองให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเกิดความพลิกผลันอันใดขึ้นอีก

บนพื้นดิน ดยุกอุลริชกับเหล่าผู้นำตระกูลคนอื่นๆ ต่างสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ภายในปราสาทแล้ว แต่ประตูสีเข้มกลับไม่ยอมเปิดให้พวกเขาเข้าไป

“เราต้องฝ่าเข้าไป! หากว่าเจ้าชายกับเจ้าหญิงเสียชีวิตในนั้น องค์จักรพรรดิย่อมเดือดดาลจนมิอาจรู้ได้ว่าพระองค์จะทำอะไรบ้าง! นั่นอาจเป็นจุดจบของตระกูลกอร์สก็เป็นได้!” เคานต์นูเรมเบิร์กเอ่ยอย่างวิตกกังวลยิ่ง ด้านหลังเขานั้นปรากฏกลุ่มก้อนอากาศสีเข้ม ซึ่งภายในนั้นมีดวงดาวอับแสงจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่

นูเรมเบิร์กยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วดวงดาวทั้งหลายก็ทำตามคำสั่งของเขา พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ประตูสีเข้มและกระแทกอย่างรุนแรง!

ตูม! เสียงระเบิดดังก้องจนหูอื้อ

ทว่า ปราสาทของผู้วิเศษระดับตำนานนั้นย่อมมิอาจทำลายได้ง่ายดายนัก!

ท่านเคานต์อีกคนเห็นดีเห็นงามด้วยโทสะที่เดือดพล่าน “เมื่อใดที่ข้ารู้ว่าผู้ใดมันกล้าทำเรื่องนี้ ข้าจะค่อยๆ ถลกมันออกมา!”

เขาหาได้พูดเกินจริงไปไม่ เขาถลกผิวหนังมนุษย์จริงๆ! ท่านผู้นี้ก็คือเคานต์วูล์ฟกัง ‘โลหิตต้องคำสาป’

“เหตุใดเซอร์เมทาทรอนจึงไม่ควบคุมแก่นพลังของปราสาทเพื่อเปิดใช้การวงแหวนเวทอีกครั้งกันเล่า” ท่านดยุกพึมพำด้วยความเคร่งเครียด ขณะจดจ้องประตูสีเข้ม เขากลับไม่เร่งร้อนลงมือทำอะไร

นูเรมเบิร์กและขุนนางที่เหลือต่างตกตะลึง หนึ่งในนั้นรีบถาม “ท่านกำลังบอกว่า… เซอร์เมทาทรอนมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือไร มีหลายคนข้างล่างนั่นที่มาจากตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นอยู่นะ!”

“หลายคนอยู่ข้างล่างนั้น แต่… ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” อุลริชเอ่ยด้วยสีหน้าอับเฉา

“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรกันเล่า” เคานต์วูล์ฟกังถาม พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

อุลริชคิดตรึกตรอง “หากว่าแผนการของเซอร์เมทาทรอนเป็นไปด้วยดี ตระกูลกอร์สจะกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของจักรพรรดิองค์ถัดไป และทั้งตระกูลก็จะได้รับประโยชน์จากการนี้ แต่หากว่าเขาล้มเหลว เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนการนี้ทั้งนั้น เราควรจะพยายามช่วยทุกคนออกมาให้ถึงที่สุด เผื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็จะเป็นการที่องค์จักรพรรดิสังหารเซอร์เมทาทรอนและสมาชิกในครอบครัวของเขา แต่คนในตระกูลส่วนใหญ่อาจจะยังอยู่รอดปลอดภัย”

“เข้าใจแล้วขอรับ เราควรจะเรียกผู้ช่วยเหลือของท่านมาที่นี่ เขาเป็นถึงนักเวทระดับสูง และเขาก็มีไหวพริบมากกว่าเรานัก หากว่าเขายังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เราก็คงจะต้องให้องค์จักรพรรดิมาที่นี่ด้วยองค์เอง เราไม่อาจปล่อยให้พวกบุคคลระดับตำนานรู้เรื่องนี้ได้ ควรจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้!” นูเรมเบิรกที่มองอุลริชด้วยสีหน้าจริงจังเป็นผู้เอ่ยขึ้น

อัศวินทองคำคนอื่นๆ ของตระกูลกอร์สต่างถูกจักรพรรดิส่งตัวไปยังต่างมิติที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิ ในฐานะผู้สืบสายเลือด ‘ราชันย์แห่งสุริยา’ ตระกูลกอร์สที่ครอบครองตำราและบันทึกเวทมนตร์อันล้ำค่าหลายเล่ม จึงดึงดูดเหล่านักเวทจากระบบเวทมนตร์โบราณให้มาหาอย่างลับๆ ได้อย่างง่ายดาย

อุลริชพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจง

เสียงเอียดอาดดังขึ้นเมื่อประตูหินเก่าแก่โบราณค่อยๆ เปิดออก

ลูเซียนรีบยั้งตัวเองไม่ให้พุ่งตัวเข้าไปในห้องลับ เพราะเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมทาทรอนอยู่ในนั้นหรือไม่ แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้กลิ่นเลือดโชยออกมาจากห้องลับ

‘เกิดอะไรขึ้น’ ลูเซียนขมวดคิ้วมุ่น

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เรล์ฟเองก็ได้กลิ่นนั้นเช่นกัน เขาสูดจมูกฟุดฟิด ก่อนจะเอ่ยด้วยความมึนงง “เลือด… มากมาย… เลยงั้นรึ”

โซเฟียยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ และคอยช่วยเดนิซกับอาร์เธนต่อกรกับเบเยอร์

เมื่อประตูแง้มออกกว้างกว่าเดิม ลูเซียนและคนที่เหลือก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องลับในที่สุด โลหิตสาดกระจายเต็มผนัง และรูปวาดของคนในตระกูลต่างเปรอะเปื้อนชุ่มโชก บนพื้นนั้นมีเศษกระดูกและชิ้นเนื้อกระจัดกระจายอยู่เต็ม ยังมีบางส่วนติดอยู่บนผนังอีกด้วย

ห้องลับนั้นดูราวกับโรงฆ่าสัตว์!

ภายในโรงฆ่าสัตว์ มีเงาร่างสีดำที่ค่อยข้างคุ้นตาลูเซียน เงาร่างนั้นกระตุกและบิดไปมาราวกับกำลังรู้สึกคันคะเยอะ เมื่อมันสัมผัสได้ถึงแสงสว่าง เงาร่างนั้นก็รีบหันกลับมา

มันมีใบหน้าซีดเซียว เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงที่โป่งพอง

เงาร่างนั้นมองไปรอบๆ ห้องโถงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “โบลัค ข้ากลายเป็นอัศวินอาภาแล้ว! อัศวินอาภาเชียวนะ! ในที่สุด… ข้าก็ได้… เป็นอัศวินอาภาแล้ว!” เงาร่างนั้นเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยความตกตะลึงต่อภาพชวนสะอิดสะเอียนที่เห็น ทั้งเบเยอร์ เดนิซ และแคลร์ต่างหยุดต่อสู้และจ้องไปทางชายแปลกหน้าด้วยความตื่นตัวอย่างยิ่ง

“…เฟรเดอริกหรือ” ลูเซียนจำเขาได้แล้ว เฟรเดอริกคือผู้อารักขาลับๆ ของโบลัค แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่กัน

ในตอนนั้นเองที่โซเฟียแย้มยิ้ม “ใช่แล้ว… เจ้าได้เป็นอัศวินอาภาแล้ว เจ้าสมควรได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งดยุก ทรัพย์สินไร้ที่สิ้นสุด และการแต่งงานกับเจ้าหญิงอย่างข้า”

“ใช่แล้ว… ตอนนี้ข้าคืออัศวินอาภา และข้าก็ควรจะได้ทุกอย่างที่ข้าไม่เคยกล้าคิดฝัน ฝ่าบาท สุดที่รักของข้า บอกข้าเถิด เหตุใดท่านจึงขมวดคิ้วเช่นนั้น” เฟรเดอริกหัวเราะอย่างหนัก

ขณะเฝ้ามองภาพตรงหน้า ความคิดแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวลูเซียน

“เป็นเขา! เขาอยากจะสังหารข้า!” โซเฟียชี้ไปทางเบเยอร์และแทบจะร้องไห้ออกมา

เฟรเดอริกได้ยินคำพูดของโซเฟียก็พยักหน้า “เป็นเช่นนี้… เขาคือเจ้าชาย… หากข้าสังหารฝ่าบาท ข้าจะได้เป็นจักรพรรดิหรือไม่”

ดูเหมือนว่าตอนนี้เฟรเดอริกจะกลายเป็นคนโรคจิตอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ทันใดนั้น เขาก็หันมาทางลูเซียนแล้วส่งยิ้มให้ “ขอบคุณเจ้าสำหรับพิธีกรรมนั้น กับปีศาจความโลภ”

ถ้อยคำนั้นเป็นเหมือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมายังสมองลูเซียน เขาพลันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขามิอาจรู้ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!

ทันทีที่เฟรเดอริกกล่าวจบ เขาก็พุ่งเข้าใส่เบเยอร์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ภายในหมัดเดียว เฟรเดอริกก็ซัดกำปั้นเข้าปะทะดาบสีเขียวตรงหน้าเจ้าชาย บังคับให้เจ้าชายต้องถอยไปสองสามก้าวเพราะพละกำลังมหาศาลนั้น

เมื่อเห็นเช่นนั้น โซเฟียก็ถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ “ความโลภ…”

ที่เหนือปราสาท ท่านดยุกสัมผัสได้ถึงบางอย่างในตอนที่เขาพยายามจะทำลายประตูเข้าไป เขาหันกลับมามองไปยังเหล่าผู้นำตระกูลคนที่เหลือ ในดวงตาเขาฉายวาบถึงความเมตตาและเยาะหยัน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ความโลภ…”

ลูเซียนล้วงมือขวาเข้าไปในกระเป๋ามิติทันทีที่เห็นว่าเบเยอร์กำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เมื่ออยู่ต่อหน้าเฟรเดอริก ลูเซียนเองก็ถอนหายใจออกมา “ความโลภ…”

เรล์ฟไม่อาจทราบได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขาหันกลับมา ก็เห็นว่าโบลัคกำลังหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างง่ายดาย แม้ว่าจะถูกเวทมนตร์ของเขาพันธนาการไว้อยู่ก็ตาม

มันคือเหรียญตราสีดำที่มีดวงดาวสีเงินเจิดจ้าอยู่บนนั้น

หนึ่ง สอง สาม… หก! หกดาว!

ลูกตาของเรล์ฟแทบจะถลนออกมา ชนชั้นสูงส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในฐานะนักเวทคนหนึ่ง เรล์ฟรู้ว่านั่นคือเหรียญตราทันทีที่เขาเห็นดาวพวกนั้น!

นี่มัน… เหรียญตราอาร์คานา! สำหรับจอมเวทระดับสูง!

นี่คือเหรียญตราของจอมเวทระดับสูงที่แฝงไว้ด้วยผลเวทมนตร์ถาวรของ ‘เวทเคลื่อนไหวเสรี!’