บทที่ 142 ซูเหลียนหยู

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 142

ซูเหลียนหยู

แม้ว่าซูจุ้นจะเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านหมู่บ้านบุปผาสวรรค์ แต่ว่าอนาคตและหน้าที่การงานของพวกเขาขึ้นอยู่กับ ลิ่วฉาน จึงไม่มีใครกล้ายืนหยัดเคียงข้างชายหนุ่มแม้แต่คนเดียว

เมื่อลิ่วฉานเห็นดังนั้นเขาก็ยิ่งได้ใจ ชายเจ้าเล่ห์เพทุบายก็ได้พูดยั่วยุซูจุ้นอีกครั้ง

“ซูจุ้น เจ้ามันเป็นคนจำพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ! ย่อมได้ข้าไล่เจ้าออก นอกจากนี้เจ้าต้องส่งพี่สาวของเจ้ามานอนกับข้า มิเช่นนั้นครอบครัวของเจ้าได้ลำบากแน่”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ร่างกายก็สั่นสะท้าน เขากำมือแน่นด้วยความโกรธ ทันทีที่เขากำลังจะหันกลับไปตอบโต้ เย่เย่ก็ได้ออกตัวแทนเขาไปแล้ว

เย่เย่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาตบหน้าลิ่วฉานอย่างรุนแรงด้วยพลังและความเร็วระดับเทพอสูร

เปรี้ยงงงงงง

เสียงตบอันทรงพลังดังสนั่นกึกก้องราวกับอสนีบาต นอกจากจะทำให้ร่างของชายเจ้าเล่ห์กระเด็นไปไกลแล้ว ยังทำให้ชาวบ้านตกตะลึงอีกด้วย

สำหรับเหล่าชาวบ้าน สำนักกระบี่ประหารเทพของ ลิ่วฉานนั้นคือบ่อเงินบ่อทองที่เลี้ยงปากท้องของพวกเขา พวกเขาจึงไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้ามีปากมีเสียงกับผู้มีอำนาจ ถึงแม้จะมีบางส่วนที่รู้สึกสะใจ แต่ส่วนมากกลับรู้สึกเป็นกังวลกับอนาคตของหมู่บ้าน

ซูจุ้นเมื่อเห็นเย่เย่ตอบโต้ดังนั้น สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงในทันที แม้ว่าเขาจะโกรธเกลียดลิ่วฉานมากแค่ไหน แต่เขารู้ดีว่าวรยุทธ์ของลิ่วฉานนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปเช่นเขามาก

ผลลัพธ์จากการกระทำของเย่เย่อาจส่งผลเสียเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการ หากเย่เย่ไม่ได้เป็นคนพาเสี่ยวหยูกลับมาละก็ เขาคงถีบไสไล่ส่งไปแล้ว

“แกนะแก! ถ้าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ในวันนี้ละก็ ข้าขอไม่ใช้แซ่ลิ่วอีกต่อไป!” หลังจากโดนเย่เย่สั่งสอนไปหนึ่งกระบวนท่า เขาโกรธจัดจนถึงขนาดที่เส้นเลือดสองเส้นปุดขึ้นเด่นชัดที่หน้าผากอันขาวซีด แม้ว่าลิ่วฉานจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาที่ยอมเสียหน้าไม่ได้ก็ลุกขึ้นและพุ่งกระโจนเข้าหาศัตรูอย่างไร้ความปรานี

เย่เย่ที่ตั้งท่าเตรียมตั้งรับก็ต้องประหลาดใจทันทีเมื่อเห็นเสี่ยวหยูปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าเขาและลงมือสั่งสอนอริด้วยตัวนางเอง

เปรี้ยงงงงงงงง

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”

ร่างของชายเจ้าเล่ห์หงายหลังลงกับพื้น และร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของชาวบ้าน

“เทพยุทธ์…เจ้าคือเทพยุทธงั้นรึ!?”

ลิ่วฉานจ้องหน้าเสี่ยวหยูด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นจ้าววรยุทธ์ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพยุทธ์ขั้นสูงอย่างเสี่ยวหยูแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างไปจากคนธรรมดาที่เขาเคย ข่มเหงรังแกเลยแม้แต่น้อย

เมื่อซูจุ้นและชาวบ้านได้ยินสิ่งที่ชายเจ้าเล่ห์พล่ามออกมา พวกเขาต่างรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่พวกเขาต้องอัดอั้นตันใจจากการถูกลิ่วฉานกดขี่ข่มเหงมานานนับปี เมื่อมีคนที่มีวรยุทธ์ที่สูงกว่าลิ่วฉานปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็รู้สึกราวกับได้รับการปลดปล่อยออกจากโซ่ตรวน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูจุ้นที่ดีใจกว่าใครเพื่อน เดิมทีเขาวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของนาง และตั้งใจจะปกป้องนางเอาไว้ด้วยชีวิต แต่เมื่อเขาพบว่านอกจากที่เสี่ยวหยูจะปกป้องตัวเองได้แล้ว วรยุทธ์ระดับนางนั้นสามารถปกป้องคนทั้งหมู่บ้านจากการคุกคามของสำนักดาบประหารเทพได้เลย เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวพี่สาวคนสวยของเขามาก

“อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้นเจ้าได้ไม่ตายดีแน่”

เสี่ยวหยูที่มีชัยเหนือลิ่วฉาน นางเดินเข้าหาศัตรูอย่างช้าๆ ก่อนเตือนเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เหวอออ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ!” ลิ่วฉานเอามือยันพื้น ก่อนจะลุกขึ้นหนีไปอย่างเตลิดเปิดเปิง

เย่เย่ได้เห็นเช่นนั้นแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและใจหายในเวลาเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เสี่ยวหยูสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว หลังจากนี้เขาก็คงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงนางอีกต่อไป

เสี่ยวหยูเห็นความอ้างว้างในดวงตาของเย่เย่ นางก็หลบตาเขาและไม่ได้พูดอะไร

ซูจุ้นที่เห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง เขาก็รีบไล่ไทยมุงออกไป เหลือไว้เพียงพวกเขาสองคน

“เสี่ยวหยู…ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปแล้ว”

เย่เย่ที่เงียบมาได้สักพัก เขาก็ยิ้มเจื่อนๆให้เสี่ยวหยูและพูดร่ำลานางด้วยความอาลัยอาวรณ์

เมื่อเสี่ยวหยูได้ยินดังนั้น ร่างของนางที่หันหลังให้เขาก็ สั่นระริก ดูเหมือนนางจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้พูดออกไป นางได้แต่พยักหน้าทั้งๆที่ยังหันหลังอยู่อย่างนั้น

เย่เย่เอาแต่จ้องมองแผ่นหลังที่สั่นเทิ้มอยู่นาน ก่อนจะตัดใจและจูงม้าของเขาเดินจากไป

เมื่อร่างของเย่เย่ควบม้าไปจนแทบจะลิบตา เสี่ยวหยูก็ได้หันกลับมาและตะโกนไล่หลังเขาไปอย่างสุดเสียง จนทำให้เกินเสียงสะท้อนระหว่างช่องเขา

“ซูเหลียนหยู ข้าชื่อซูเหลียนหยู หยู หยู หยู”

เย่เย่ชักบังเหียนม้า และหันกลับไปมองสาวน้อยที่ร้องไห้อยู่ด้วยความรู้สึกที่ยากจะหยั่งถึง ชื่อจริงของนางดังกังวานอยู่ในโสตประสาทของเขา ทันใดนั้นเองประสบการณ์และความทรงจำต่างๆร่วมกับนางที่หลับใหลในตัวเขาก็ผุดขึ้นมา

“ซูเหลียนหยู? ทำไมข้าจำไม่ได้กันนะ?” เย่เย่ถอนหายใจและโบกมือร่ำลาหญิงสาวอันเป็นที่รักแล้วเขาก็ควบม้ามุ่งหน้ากลับไปยังหลิงเฉิง

ระหว่างทางเขาก็ได้ชมทัศนียภาพสองข้างทาง และแวะเวียนเมืองต่างๆเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ที่เศร้าหมอง

เมื่อเขามาถึงเมืองซูเจิ้นก็เป็นเวลามื้อเย็นแล้ว เขาลงจากม้าเพื่อแวะหาอะไรกินที่โรงเตี๊ยมชื่อดังในเมือง ระหว่างที่เขากำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นเอง ก็ได้มีชายหนุ่มและหญิงสาวรูปงามคู่หนึ่งกำลังพูดคุยเกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่

ทั้งสองเสวนาเกี่ยวกับกิตติศัพท์ของประธานหอการค้าที่สามารถกำราบมูหลงที่เป็นถึงมังกรสวรรค์อันดับที่ 72 ลงได้ และพูดถึงว่ามีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตามหาความสำเร็จแห่ไปยังเมืองหลิงเฉิงเพื่อเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่

สองพี่น้องคู่นี้คือลี่เฉียนเฟิงและลี่อิง ทั้งสองมีวรยุทธ์อยู่ในระดับจ้าววรยุทธ์ และกำลังเดินทางไปยังหลิงเฉิงเพื่อตามหาความฝัน

“ถึงหลิงเฉิงเมื่อไหร่ เราจะพักในโรงเตี๊ยมและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่ให้ได้มากที่สุดก่อน” ลี่เฉียนเฟิงผู้พี่เป็นคนรอบคอบ เขาไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตนเอง

อย่างไรก็ตามลี่อิงผู้น้องนั้นเป็นคนมักง่าย ไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยากต่างจากผู้เป็นพี่โดยสิ้นเชิง

“ไม่ สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ทันที เชิญท่านรอไปคนเดียวเถอะ” แม้ว่านางจะพูดเช่นนี้ แต่นางก็มีเหตุผลของนาง นางคิดว่าหากมัวแต่ชักช้าอาจจะไม่ทันการณ์ เพราะมีคนอีกมากที่มีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเขาทั้งสอง

“เจ้าเด็กดื้อ ข้าเริ่มเหลืออดกับเจ้าแล้วนะ! เจ้าจะยอมฟังข้าดีๆหรือจะให้ข้าพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย?”

ก่อนที่สองพี่น้องจะออกเดินทาง พวกเขาได้ทำสัญญาใจกันเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลี่อิงต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นพี่ หากผิดข้อตกลงเขาจะลากนางกลับบ้านทันที แต่ทว่าลี่อิงเป็นเด็กเหลี่ยมจัด แม้ว่านางจะยอมรับข้อตกลงของลี่เฉียนเฟิง แต่เมื่อได้ออกเดินทางสมปรารถนาแล้วนางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“บลาๆๆ ข้าเบื่อที่จะฟังแล้ว ท่านมีเรื่องอื่นพูดบ้างไหมเนี่ย” ลี่อิงใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นมาอุดหูเอาไว้ด้วยความรำคาญ

ลี่เฉียนเฟิงที่เห็นดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ คิ้วกระตุกเป็นระยะๆด้วยความหงุดหงิด…