บทที่ 470 มีพระชายาแล้ว ไม่ต้องมียางอาย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ระหว่างทางหนานกงเย่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว เขาพูดคุยกับฉีเฟยอวิ๋นถึงเรื่องของเจี่ยเป่าหยูกับหลินไต้หยู เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่ชอบหลินไต้หยู และเมื่อได้ยินก็กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า:“อย่าถามหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันไม่ชอบหลินไต้หยู”

“เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นชอบใคร?” หนานกงเย่ก็ไม่ชอบเจี่ยเป่าหยู แต่ก็น่าแปลกมากที่ยังอยากถาม

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ในหนังสือทั้งสองเป็นคนเสียสติ!”

“ใคร?”

หนานกงเย่เคยได้ยินฉีเฟยอวิ๋นเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับวรรณกรรมความฝันในหอแดง แต่ก็ไม่เคยอ่าน ดังนั้นเขาจึงอยากรู้มาก และแน่นอนว่าการบอกเล่าดีกว่าการเห็นด้วยตาของตนเอง

ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งพูดมาก หนานกงเย่ก็ยิ่งอยากรู้มาก

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่หนานกงเย่อย่างหงุดหงิดและกล่าวว่า:“รอให้หม่อมฉันกลับไปก่อน แล้วหม่อมฉันจะเอากลับมาให้พระองค์ชุดหนึ่งนะเพคะ

หญิงสาวชอบอ่านหนังสือเล่มนั้น แต่หากท่านอ๋องอยากอ่านก็อ่านเถอะเพคะ”

สีหน้าของหนานกงเย่ดูงุนงง แต่หากนางกลับไป เขาก็ต้องตามกลับไปด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและตอบว่าตกลง!

ด้านนอกตำหนักเฉาเฟิ่งได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และพื้นดินก็ได้รับการทำความสะอาดแล้ว จะเห็นได้ว่ามีผู้คนมากมายหลั่งไหลมาที่นี่และบางพื้นที่บนพื้นดินยังเป็นสีแดง

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่เข้าไปในตำหนัก พระพันปีนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบน และพระมเหสีหวาก็อยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล แต่อ๋องตวนไม่อยู่ที่นี่

ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่ไปถวายบังคมพระพันปีก่อน เมื่อลุกขึ้นมานางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางไม่เห็นอ๋องตวน

แต่เมื่ออยุ่ต่อหน้าพระพันปีและพระมเหสีหวา ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สามารถพูดอะไรได้

“การเปลี่ยนแปลงในวังคราวนี้ โชคดีที่มีอ๋องเย่และอ๋องตวน หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้ามาได้ทันก็ไม่รู้ว่าในวังจะกลายเป็นอย่างไร ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”

พระพันปีตรัสถามและหนานกงเย่ก็ตอบว่า:“ฝ่าบาทไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ทรงสบายพระทัยได้ แล้วฝ่าบาทจะมาคารวะเสด็จแม่ในภายหลังพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตอนนี้ในวังกลับมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ยังหาหนานกงเซวียนเหอที่เป็นกบฏไม่พบ อ๋องตวนเพิ่งออกไปเมื่อครู่ และบอกว่าจะไปตามหาเขา ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” พระพันปีมองไปที่พระมเหสีหวาอย่างวิตกกังวล:“เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเขาโตแล้ว และต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง

ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในวังต้าเหลียงจนถึงทุกวันนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับพร เจ้าจะกลัวอะไร?”

พระมเหสีหวาถอนหายใจด้วยความโล่งอก:“ท่านพี่ตรัสได้อย่างถูกต้องเพคะ”

สีหน้าของพระมเหสีหวาดูอีโหน่อีเหน่ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็ยิ้มไม่ออก

หนานกงเย่ได้ยินเสียงอีการ้องอยู่ข้างนอก และยรู้ว่าเข้าแห่งอีกากลับมาแล้ว เขาจึงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจฟังและพยักหน้า:“ท่านอ๋องตวนหาพบแล้ว……”

ยังไม่ทันๆด้พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้รับการบอกใบ้จากหนานกงเย่ และเปลี่ยนคำพูดว่า:“ท่านอ๋องตวนกลับมาแล้วเพคะ”

หนานกงเย่ตึงหันกลับไปกราบทูลว่า:“กราบทูลเสด็จแม่ อ๋องตวนกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงจะมา กระหม่อมจะอ๋องไปต้อนรับเขา!”

“ไปเถอะ ระวังตัวด้วย อวิ๋นอวิ๋น เจ้าถือโอกาสไปดูพระสนมเอกเซียวและพระสนมเอกเต๋อเถอะ”

“เพคะ”

พวกเขาออกมาพร้อมกัน ฉีเฟยอวิ๋นตามไปพบอ๋องตวนก่อน และอ๋องตวนก็อุ้มอวิ๋นหลัวฉวนที่สลบกลับมา เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่านางสลบก็รีบไปตรวจดูอาการในทันที นางใช้สมาธิตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ปล่อยมือ

“นางไม่เป็นอะไร เพียงแค่กินยาสลบเข้าไปเท่านั้น และในอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะฟื้นขึ้นมา”

“นานขนาดนั้นเลยหรือ?” อ๋องตวนเป็นกังวลเล็กน้อย

“ดื่มน้ำแล้ว ไม่นานก็จะฟื้น”

“อืม”

อ๋องตวนกล่าวว่า:“ข้าเดินตามฝูงอีกาไป ฉวนเอ๋อร์ถูกใส่ไว้ในโลงศพและกำลังถูกส่งออกไปจากนอกเมือง โชคดีที่ฝูงอีกาพบได้ทันเวลา มิเช่นนั้นก็ยากที่จะคาดคิด ครั้งนี้ข้าคิดค้างพระชายาเย่

พระชายาเย่ เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่?”

ฉีเฟยอวิ๋นทำอะไรไม่ถูก คนมีเงินมักจะเอาแต่ใจตนเอง นางไม่ได้ต้องการ แต่อ๋องตวนก็อยากจะให้

จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็พูดตัวเลข และทำให้อ๋องตวนต้องตกใจ

“ห้าแสนตำลึงแล้วกัน” ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าในเมื่ออ๋องตวนเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนหากไม่รับไว้ก็คงจะเปล่าประโยชน์

ใบหน้าของอ๋องตวนดำคล้ำ:“ตกลง ห้าแสนตำลึง!”

หลังจากพูดจบ อ๋องตวนก็เดินเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นนึกเรื่องหนานกงเซวียนเหอขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปถามว่า:“พบหนานกงเซวียนเหอแล้วหรือไม่?”

“ไม่พบ เขาอยู่กับพวกเจ้ามิใช่รึ ยังจับไม่ได้หรือ?” เมื่อได้ยินว่ายังจับหนานกงเซวียนเหอไม่ได้ อ๋องตวนก็หันกลับมาในทันที

หนานกงเย่จึงกล่าวว่า:“เขาหนีไปแล้ว!”

“หนีไปในมือของเจ้า?” ท่าทางของอ๋องตวนดูเคร่งขรึม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีไอพิฆาตปรากฏขึ้นมา

ฉีเฟยอวิ๋นจึงอธิบายว่า:“เพื่อที่จะช่วยหม่อมฉัน จึงปล่อยให้เขาหนีไปเพคะ”

อ๋องตวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาเหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็อุ้มอวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่ในอ้อมแขนจากไป

“บางทีเขาอาจจะยังอยู่ในวัง เขารู้จักในวังเป็นอย่างดี พวกเจ้าลองหาดู ข้าต้องดูแลฉวนเอ๋อร์ก่อน”

หลังจากที่อ๋องตวนจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็มองไปที่หนานกงเย่:“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงรู้สึกหรือไม่เพคะว่าท่านอ๋องตวนอ่อนโยนมาก แม้ว่าหม่อมฉันจะรีดไถเงินจากเขาและเขาจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ให้ และแม้ว่าจะโกรธมากเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่มีแววตาว่าอยากจะฆ่าคนเลย แต่คราวนี้หม่อมฉันเห็นเขาเย็นยะเยือกไปทั้งตัว และสายตาอาฆาตของเขาก็น่ากลัวมาก ท่านอ๋องตวนคงจะเกลียดชังจงชินอ๋องมากจริง ๆ ”

“ความเกลียดชังที่ไม่สั่นคลอน หากเขาไม่เกลียดชัง จึงจะเป็นเรื่องแปลก”

“ท่านอ๋อง หากมีคนต้องการแย่งภรรยาของพระองค์ล่ะเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นสงสัยอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้คิดอะไรมาก แต่หลังจากที่พูดออกไปแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่ดุร้ายของหนานกงเย่

หนานกงเย่หรี่ตามองเล็กน้อยและเดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกลัวและก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ หนานกงเย่ถึงโกรธจนยากที่จะสงบลงเช่นนี้

“อวิ๋นอวิ๋น เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“ไม่ได้พูดอะไรเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่พูดว่าหากมีคนมาแย่งภรรยาของท่านอ๋องไป ท่านอ๋องจะทรงทำอย่างไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นพูดซ้ำอีกรอบ

หนานกงเย่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจและกล่าวว่า:“ใครจะกล้ามาแย่งพระายาของข้า?”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นก้าวถอยหลังไปสองก้าว:“ไม่มีก็ไม่มีเพคะ แล้วพระองค์จะโกรธทำไม?เรื่องเร่งด่วนคือท่านอ๋องต้องอยู่ในวัง หม่อมฉันจะไปดูพระสนมเอกเซียวและพระสนมเอกเต๋อ”

หลังจากที่พูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังจะจากไป แต่ก็ถูกหนานกงเย่หยุดไว้:“พูดถึงเรื่องจริงแล้วก็จะจากไป เห็นว่าข้าโง่เขลาหรืออย่างไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่อย่างโกรธเคือง:“ท่านอ๋อง แล้วเช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรเพคะ?”

“ไม่ต้องการอะไร?คืนนี้เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ และอวิ๋นอวิ๋นต้องให้ความร่วมมือด้วย ขยันหมั่นเพียรหน่อย อย่าให้ข้าต้องเป็นฝ่ายรุกมากนักก็พอ!”

ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์:“ท่านอ๋องช่างไร้ยางอายเสียจริง กลางวันแสก ๆ ยังจะพูดเรื่องเช่นนี้!”

“ข้าไม่มียางอายตั้งแต่ได้รู้จักกับอวิ๋นอวิ๋น แค่มีอวิ๋นอวิ๋นก็เพียงพอแล้ว จะต้องมียางอายไปทำไมกัน?”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกใจคอห่อเหี่ยว จึงทำได้เพียงถอยออกไปก่อนและไม่พูดอะไร

ฉีเฟยอวิ๋นไปดูมู่เหมียนก่อน มู่เหมียนเป็นหวงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าจวินเซียวเซียวหนึ่งขั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กฎระเบียบจะกดขี่ผู้คน

หนานกงเย่ไปส่งฉีเฟยอวิ๋นที่ตำหนักหรงเต๋อและรออยู่ข้างนอก จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปดูมู่เหมียนในตำหนักหรงเต๋อเพียงลำพัง

ในเวลานี้มู่เหมียนตื่นแล้วและกำลังแต่งตัว เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป มู่เหมียนก็ลุกขึ้นยืน

การแต่งหน้าที่สวยงามทำให้ผู้คนหลงไหล เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วก็เคลิ้บเคลิ้ม

หากบอกว่าใครเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในวังหลัง ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เข้าข้างมู่เหมียน แต่มู่เหมียนเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แต่เกรงว่าจะไม่มีใครรู้

พระพันปีทรงมีพระประสงค์ของพระองค์ แต่พระพันปีไม่ใช่คนธรรมดา

ผู้ที่สามารถนั่งในตำแหน่งฮองเฮาได้อย่างมั่นคงในวัง และช่วยฝ่าบาทปกครองจนได้เป็นพระพันปี แน่นอนว่าย่อมมีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา!