ขณะที่เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เดินเข้าไป ซูจิ่นซีกำลังยืนหันหลังให้ประตูจึงไม่ทันได้เห็น ทว่าแม่นมฮวากับลวี่หลีต่างเห็นชัดเจนเต็มสองตา
ทั้งสองกำลังจะคำนับเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาพลันยกมือห้ามไว้และส่งสายตาให้ทั้งสองออกไป
แม่นมฮวาอมยิ้มเล็กน้อย นางมองซูจิ่นซีและดึงลวี่หลีให้เดินออกจากห้อง
ซูจิ่นซีรู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อหันกลับไปมอง นางเห็นร่างที่เยือกเย็นสุขุมในชุดสีดำราวกับเทพแห่งรัตติกาล คนผู้นั้นคือเยี่ยโยวเหยา เขาเดินเข้ามาหานางอย่างเชื่องช้า
“เยี่ยโยวเหยา… ” ซูจิ่นซีเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ต้องพูด! ”
เยี่ยโยวเหยาโผเข้าโอบกอดซูจิ่นซีแน่น จนศีรษะของเขาแนบอยู่ข้างลำคอของนาง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉพาะตัวที่แสนคุ้นเคยของซูจิ่นซี
ในวินาทีนี้ ราวกับการกอดซูจิ่นซีอย่างแนบแน่นเช่นนี้ จะทำให้โลกของเขาปลอดภัย เพียงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยจากร่างของซูจิ่นซี ทุกสิ่งในโลกใบนี้ล้วนเป็นความจริง
ไม่มีใครรู้ว่าการเดินทางไปยังแคว้นไหวเจียงในครั้งนี้ เขาหวาดกลัวมากเพียงไร
เขาไม่เคยหวาดกลัวศัตรูที่เป็นดั่งสัตว์ร้าย ไม่กลัวคมหอกคมดาบ ยิ่งไม่กลัวความตาย
สิ่งที่เขาหวาดกลัวคือ หากส่งสมุนไพรกลับมาที่ตำหนักฝูอวิ๋นช้าไปเพียงก้าวเดียว ซูจิ่นซีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เขากลัวว่าหากไม่มีซูจิ่นซี ต่อไปเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
เวลาผ่านไปนาน เยี่ยโยวเหยายังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ แสงแห่งรุ่งอรุณเคลื่อนผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง สาดส่องไปกว่าครึ่งบริเวณ
ซูจิ่นซียืนนิ่งอยู่เช่นนั้น นางไม่ต้องการผลักไสหรือขยับเขยื้อนให้โดนบาดแผลของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเจ็บปวดจนขมวดคิ้วมุ่น หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมา ทว่าเขาไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีรับรู้ ยิ่งไม่ต้องการให้ความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้า
ผ่านไปสักพัก เยี่ยโยวเหยาจึงปล่อยซูจิ่นซีและลูบผมเปียด้านข้างของนาง
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางผ่านแววตาของเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋องเหนื่อยหรือไม่เพคะ? ”
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันจะปรนนิบัติพาท่านอ๋องไปพักผ่อนนะเพคะ”
เยี่ยโยวเหยานึกสนุกคิดหยอกเย้าซูจิ่นซี จึงก้มตัวลงไปที่ข้างหูของนาง และพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พระชายาที่รักจะปรนนิบัติอย่างไรหรือ? ”
ซูจิ่นซีแก้มแดงก่ำในทันที นางหลบหน้าด้วยความเขินอาย พลางใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา “ท่าน… ท่านหน้าไม่อาย! ”
กำปั้นนั้นทุบโดนบาดแผลที่ทั้งลึกและยาวบนหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาซึ่งเกิดจากคมดาบ บาดแผลพลันปริแตกและมีเลือดไหลซึมออกมา แม้รอยเปื้อนบนผ้าสีดำจะทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็นได้ยาก ทว่ามันกลับเปื้อนมือของซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีกำลังหลบสายตาอย่างเขินอาย นางจึงมองไม่เห็น
เยี่ยโยวเหยาคว้ามือของนาง กระชากนางเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะเช็ดคราบเลือดบนมือของซูจิ่นซีด้วยท่าทีเรียบเฉยโดยไม่เผยพิรุธใดๆ
เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย “พระชายาที่รักเป็นคนพูดเองว่าจะปรนนิบัติข้าพักผ่อน ทำไม? ตอนนี้มากลับคำเสียแล้วหรือ? ”
แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่ใช่สตรีโง่ แคว้นไหวเจียงอยู่ห่างจากแคว้นจงหนิงกว่าพันลี้ การเดินทางกว่าพันลี้นี้ เยี่ยโยวเหยาใช้เวลาเดินทางไปกลับเพียงไม่กี่วัน เขาต้องควบม้าห้อตะบึงโดยไม่หยุดพักแน่นอน
ซูจิ่นซีจึงพูดคล้อยตามเยี่ยโยวเหยา “จะกลับคำได้อย่างไรเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาเห็นท่าทางของซูจิ่นซีเช่นนี้ ภายในใจยิ่งมีความสุข ทว่าใจพร้อม กายกลับไม่พร้อม ร่างกายของเขาไม่อาจทานทนได้แล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจับมือซูจิ่นซีพาเดินไปทางเตียงนอน
เยี่ยโยวเหยาขยับเข้าไปนอนด้านใน เหลือพื้นที่ด้านข้างให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่มีท่าทีอิดออด ล้มตัวลงไปนอนเช่นกัน
ไม่นานนัก เสียงลมหายใจหนักแน่นของเยี่ยโยวเหยาก็ดังขึ้นที่ข้างใบหูของซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีไม่ง่วงแม้แต่น้อย นางลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เวลานี้ดวงตางดงามมีเสน่ห์กลับปรากฏความเจ็บปวด
นางไม่กล้าทำให้เยี่ยโยวเหยาตกใจตื่น จึงพลิกตัวแผ่วเบาด้วยความระมัดระวังและหันหน้าไปทางเขา เมื่อมองดูอย่างละเอียดจึงพบว่า เสื้อผ้าสีดำของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด
เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดว่าซูจิ่นซีเป็นสตรีโง่หรือ?
วิชาแพทย์และวิชาพิษมาจากแขนงเดียวกัน ระบบถอนพิษสามารถตรวจพบสารพิษที่เข้าใกล้นางได้ แน่นอนว่ามันสามารถตรวจพบสมุนไพรที่อยู่ใกล้นางได้เช่นกัน
เวลานี้ แม้บนร่างกายของนางจะมีบาดแผล ทั้งแผลนั้นยังได้รับการทายา ทว่าโชคดีที่ระบบถอนพิษสามารถแยกแยะได้ว่าตัวยาชนิดใดเป็นของนาง และสมุนไพรชนิดใดเป็นของเยี่ยโยวเหยา
สมุนไพรอันล้ำค่า รวมถึงวิธีการใช้สมุนไพรที่ยอดเยี่ยมและมหัศจรรย์เช่นนี้ ในใต้หล้านอกจากจิ่วหรงแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีก?
เยี่ยโยวเหยา ท่านมีเรื่องปกปิดหม่อมฉันมากน้อยเพียงใดกัน?
การเดินทางไปแคว้นไหวเจียงในครั้งนี้ ท่านทำให้ตนเองต้องบาดเจ็บไปเท่าไร?
หากไม่ทำเช่นนี้ คงไม่อาจนำสมุนไพรกลับมาให้หม่อมฉันได้ทันเวลา ทั้งยังให้ซูอวี้นำสมุนไพรมามอบให้แทน ส่วนตนเองแอบไปรักษาอาการบาดเจ็บที่เรือนพักของจิ่วหรงเพียงลำพัง?
เวลานี้ ซูจิ่นซีไม่ต้องการครุ่นคิดหรือทำอันใดทั้งนั้น นางเพียงเลิกเสื้อของเยี่ยโยวเหยาขึ้นเพื่อตรวจดูให้ชัดเจน ทันใดนั้นนางก็กำหมัดและกัดริมฝีปากแน่น พยายามอดกลั้นไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนเยี่ยโยวเหยา
ทว่าสุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ เนื่องจากสัญชาตญาณที่ระเบิดออกมา นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเปิดเสื้อตรงหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ซูจิ่นซีพลันยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น น้ำตารินไหลออกมาราวกับสายน้ำ พลางยกมือปิดปากตนเอง
เยี่ยโยวเหยาถูกปลุกให้ตื่นจากการกระทำของซูจิ่นซี ถึงได้รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยโยวเหยารู้ดีว่าไม่มีทางปกปิดซูจิ่นซีได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีสงบนิ่ง ก่อนจะกุมมืออีกข้างของซูจิ่นซีและตบอย่างแผ่วเบา
“จิ่นซี ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังเจ้า เพียง… ไม่ต้องการให้เจ้าเป็นกังวลเท่านั้น”
ซูจิ่นซีไม่ต้องการฟัง และไม่ต้องการได้ยินคำพูดของเยี่ยโยวเหยาแม้แต่คำเดียว
นางสะบัดมือเยี่ยโยวเหยาออกด้วยความเจ็บปวดและขุ่นเคือง พลางกระชากเสื้อเยี่ยโยวเหยาอย่างรุนแรง
เยี่ยโยวเหยาไม่คิดหลบหลีกและไม่คิดห้ามปราม เพียงปล่อยให้ซูจิ่นซีกระทำตามใจ
จนกระทั่งบาดแผลทั้งหมดบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ซูจิ่นซีก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
หากพูดว่าบาดแผลที่นางถูกเว่ยเหม่ยเจียทำร้ายก่อนหน้านี้ดูน่าเวทนาแล้ว เช่นนั้นในตอนนี้ควรใช้คำพูดว่า บาดแผลบนร่างของเยี่ยโยวเหยาแทบไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว
มือของนางข้างหนึ่งยังคงปิดปาก ส่วนมืออีกข้างค่อยๆ ยื่นออกไปลูบบาดแผลบนร่างของเยี่ยโยวเหยา ทว่าขณะที่นิ้วของนางอยู่ห่างจากบาดแผลของเยี่ยโยวเหยาไม่ถึงหนึ่งชุ่น นางกลับหยุดชะงักด้วยความลังเล ทันใดนั้น นางก็ก้าวลงจากเตียงและวิ่งออกไปด้านนอกตำหนักฝูอวิ๋น
ซูจิ่นซีรู้สึกว่า หากนางยังนั่งมองบาดแผลอยู่ตรงนั้นต่อไป หัวใจของนางต้องแตกสลายอย่างแน่นอน
ซูจิ่นซีออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋นและวิ่งกลับไปที่เรือนอวิ๋นไค
นางเปิดประตูเรือนดัง ‘ปัง’ ทันใดนั้นก็ต้องตกตะลึง
แม่นมฮวากับลวี่หลีที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดคราบเลือดในเรือนอวิ๋นไค หันไปมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าซีดเผือด
“พระชายา! ”
“คุณหนู! ”
ไม่ต้องพูดอันใดให้มากความ ซูจิ่นซีมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ทันทีว่าคราบเลือดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
“พระชายา ท่านฟังบ่าวอธิบายก่อน! ”
แม่นมฮวาวางผ้าถูลงบนพื้น และรีบเดินเข้าไปเพื่ออธิบายให้ซูจิ่นซีฟัง
ลวี่หลีเป็นบ่าวรับใช้ของซูจิ่นซี นางไม่เคยมีเรื่องปกปิดซูจิ่นซีอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้กลับถูกแม่นมฮวาดึงลงน้ำตามไปด้วย ทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรก นางจึงไม่รู้ว่าควรพูดกับซูจิ่นซีอย่างไร
ลวี่หลีทำได้เพียงดึงผ้าถูพื้นในมือ ราวกับจะดึงมันให้ขาด พลางมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางหวาดกลัว