ตอนที่ 226 คนของคุณชาย นายก็กล้าแย่ง / ตอนที่ 227 เจ็บปวดใจทีเดียว

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 226 คนของคุณชาย นายก็กล้าแย่ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินยืนอยู่ประตูห้องแปดศูนย์เจ็ด เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รีบรูดคีย์การ์ดเปิดประตูห้อง เสียงประตูถูกเปิดออก เขาถีบประตูเข้าไปทันที 

 

 

           ฉากที่เห็นชัดๆ เต็มสองลูกตา ม่านตาเจียงมู่เฉินหดตัวลงฉับพลัน 

 

 

           เลือดขึ้นหน้าในพริบตา แม้กระทั่งเส้นเลือดบนหน้าผากก็แทบจะระเบิดออกมาแล้ว 

 

 

           ขณะที่ซูเตอร์กำลังถอดกางเกงของซือเหยี่ยนอยู่ เจียงมู่เฉินก็เดินเข้าไปดึงกระชากตัวซูเตอร์ออกแล้วเหวี่ยงลงไปด้านข้างโดยไม่ลังเลเลยสักนิด 

 

 

           “นาย! นายเข้าได้ยังไง” เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้  

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหน้าเห็นเจียงมู่เฉิน ก็โล่งใจบ้างไปเปราะหนึ่ง 

 

 

           ยามที่เจียงมู่เฉินเดือดดาลถึงขีดสุด ไม่ตอบกลับไปสักคำ แต่ถีบใส่อีกฝ่ายเต็มๆ ถึงอย่างไรซูเตอร์ก็เป็นผู้สืบทอดของแก๊งมังกรคราม หลายปีมานี้ถึงแม้จะไม่ได้เก่งมากมาย แต่คนทั่วไปก็ทำให้เขาเจ็บตัวไม่ได้ 

 

 

           เขาหลบเท้าของเจียงมู่เฉินอย่างรวดเร็ว เอียงตัวพุ่งไปอัดเจียงมู่เฉิน 

 

 

           ดวงตาเจียงมู่เฉินแดงก่ำ เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รับเท้าของซูเตอร์ไว้แล้วจับบิดทันที ได้ยินแค่เสียงกระดูกลั่น ซูเตอร์เจ็บจนร้องกรีดร้องโหยหวน 

 

 

           ราวกับความทรงจำในร่างกายพรั่งพรูออกมาอย่างช้าๆ หลายๆ ท่าทางเขาแทบจะไม่ต้องคิด จิตใต้สำนึกสั่งร่างกายให้มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เดือดดาลเช่นนี้ ซูเตอร์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียงมู่เฉินมาตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

           โดนเขาจัดการไม่พอ แม้แต่โอกาสจะตอบโต้ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ 

 

 

           เขาโยนซูเตอร์ทิ้งลงด้านข้าง “คนของคุณชาย นายก็กล้าแย่งเหรอ” 

 

 

           ซูเตอร์ถลึงตาใส่เขา “เจียงมู่เฉิน วันนี้นายกล้าทำกับฉันแบบนี้ วันหลังฉันจะตามไปเอาคืนนายแน่!” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วเหยียบเขาไว้ “คุณชายอย่างฉันเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่[1]นายมีความสามารถก็มาหาฉันเลย” 

 

 

           เมื่อเห็นว่าซูเตอร์แม้จะยืนก็ยืนไม่ขึ้นแล้ว เขาถึงเพิ่งได้หันกลับมาพร้อมเดินเข้าไปหาซือเหยี่ยน พอเห็นซือเหยี่ยนในสภาพที่ไม่ปกติ ก็รีบประคองร่างอีกฝ่ายขึ้นมา 

 

 

           “เป็นยังไงบ้าง ยังเดินได้ไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนส่ายหัวไปมา เขาฝืนยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปาก “ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณยุ่งยากกว่าเดิม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเขา สอดแขนกอดประคองร่างของซือเหยี่ยนเดินออกจากห้องไป 

 

 

           ร่างกายของซือเหยี่ยนร้อนจัดจนน่าตกใจ เจียงมู่เฉินกดหน้าลง ไม่พูดจาตลอดทางที่เดินจากมา เขาพยุงร่างอีกคนพาเข้ารถไป แล้วขับรถออกจากที่นั่นทันที 

 

 

           เขาลดกระจกลงเล็กน้อย เพื่อให้ซือเหยี่ยนสบายตัวขึ้นมาหน่อย 

 

 

           เขาขับรถไปด้วย เอ่ยถามไปพลาง “เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกัดฟันสู้ระดับความร้อนในร่างกาย ฤทธิ์ยาตัวนี้แรงเกินไปแล้ว เขาอดทนอดกลั้นมาได้จนถึงตอนนี้ก็เก่งมากแล้ว เขาค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเจียงมู่เฉินอย่างช้าๆ  

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกถึงแค่ความร้อนจัดที่หลังมือพร้อมกับได้ยินเสียงซือเหยี่ยนพูด “เหมือนผมจะอดทนไม่ค่อยไหวแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินชะงักงัน อีกครึ่งทางนี้อดทนไม่ไหวแล้วต้องทำยังไง… 

 

 

           เขาเอียงหน้ากำลังจะเตรียมพูดกับซือเหยี่ยนให้ทนต่ออีกสักหน่อย แต่พอเห็นเส้นเลือดบนหน้าผากเขาปูดขึ้นมาก็เข้าใจได้ในพริบตาเดียว 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูข้างทาง บริเวณใกล้เคียงนี้ก็ไม่มีโรงแรม เขากัดฟันจอดรถข้างทางในซอย 

 

 

           ที่นั่นไม่มีใครสักคน เวลาปกติก็ไม่มีใครเดินผ่านมาได้ ยังถือว่าปิดบังอำพรางได้อยู่ 

 

 

           เจียงมู่เฉินหาสถานที่ที่ลับตาคนมาจอดรถเอาไว้ หลังจากถึงได้ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วมองซือเหยี่ยน เขายื่นมือไปตบเรียกซือเหยี่ยนเบาๆ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังไหวไหม”  

 

 

           ซือเหยี่ยนพยายามดิ้นรนมองไปทางเจียงมู่เฉิน เปลวไฟแผดเผาในดวงตาสีดำขลับราวกับเก็บกดเอาไว้ต่อไปไม่อยู่แล้ว เขาพลิกร่างมาคร่อมทับเจียงมู่เฉินไว้  

 

 

           พื้นที่ในรถเล็กเกินไป บวกกับที่รถของเจียงมู่เฉินเป็นรถสปอร์ต พื้นที่ข้างในจึงยิ่งเล็กลงไปอีก 

 

 

           ขยับตัวไม่ค่อยถนัดเลยสักนิด 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงพนักที่นั่งโดนเขาจูบจนเจ็บขึ้นมานิดหน่อย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยอยากให้ซือเหยี่ยนควบคุมการกระทำของตัวเองสักหน่อย 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่อดทนอดกลั้นอย่างขื่นขมให้ตัวเองยังเหลือสติอยู่นิดหนึ่งต่อหน้าซูเตอร์เมื่อครู่นี้ พอมาเผชิญหน้ากับเจียงมู่เฉินก็เหมือนกับสิงโตที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาจากกรงขังไม่มีผิด ปฏิกิริยาอะไรก็ไม่ตอบสนองกลับมาแล้ว 

 

 

           ในใจมีแค่เพียงความคิดเดียว คือจะต้องกลืนกินเจียงมู่เฉินทีละนิดทีละน้อยจนเกลี้ยงอย่างไม่ให้ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

                                                                                                                   

 

 

[1] เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เป็นสำนวนเปรียบเปรย คนจริงทำอะไรก็ไม่กลัวว่าใครจะรู้จักหรือจำได้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 227 เจ็บปวดใจทีเดียว 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยายามผ่อนคลาย ตอนนี้จะให้ซือเหยี่ยนรู้จักหนักเบา ไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว สุดท้ายก็มีแค่เขาที่ต้องพยายามเอง ทำให้ตัวเองบาดเจ็บน้อยที่สุด 

 

 

           เขายื่นมือไปปรับพนักที่นั่งให้เอนไปข้างหลัง ทำให้พื้นที่เดิมที่คับแคบกว้างขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง 

 

 

           ในซอยที่เงียบวังเวง ในรถสปอร์ตคันสีแดงร้อนแรงดุจดั่งไฟแผดเผา ผ่านไปนานแสนนาน อุณหภูมิข้างในถึงค่อยๆ ผ่อนลงเรื่อยๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นอัมพาตนอนอยู่บนเบาะที่นั่งขยับตัวไม่ได้ เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มีแล้ว 

 

 

           หลังจากกำจัดฤทธิ์ยาออกไปได้ ในดวงตาแดงฉานก็ค่อยๆ สว่างชัดเจนมากขึ้น เขามองเจียงมู่เฉินแล้วก็เจ็บปวดใจทีเดียว 

 

 

           เขาก้มลงจูบอีกฝ่าย “ขอโทษนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าพูดอะไรพวกนี้เลย กลับบ้านกันก่อน ฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินก็รีบย้ายเจียงมู่เฉินมาวางลงบนที่นั่งข้างคนขับอย่างระมัดระวัง ทั้งยังหยิบเสื้อผ้ามาคลุมห่มร่างกายของเขาด้วยท่าทีอ่อนโยน สุดท้ายก็จูบหน้าผากเขาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงต่ำถึงเพิ่งเอ่ยต่อ “ผมจะพาคุณกลับเดี๋ยวนี้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกเขินนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก จู่ๆ มาได้รับการดูแลที่อ่อนโยนขนาดนี้ก็ชักจะเขินๆ แม้แต่ใบหูก็แดงระเรื่อขึ้นมา 

 

 

           รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ ราวกับว่าซือเหยี่ยนอยากให้เจียงมู่เฉินได้นั่งสบายๆ ขึ้น ตั้งใจขับช้าเป็นพิเศษ 

 

 

           เขามุ่งหน้าไปยังคอนโดมิเนียมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เจียงมู่เฉินพิงอยู่ตรงนั้นไปพร้อมกับร่างกายที่โรยแรง เขาเงียบไม่พูดจาสักพัก เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “เปิดกระจกลงหน่อยสิ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอียงหัวมองเขา 

 

 

           ใบหูเจียงมู่เฉินขึ้นสี “ข้างในกลิ่นแรงไปหน่อย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเปิดหน้าต่างรถที่ข้างตัว ทั้งยังดึงเสื้อผ้าที่ให้เจียงมู่เฉินไว้ขึ้นสูงอีก ให้แน่ใจว่าลมจะไม่พัดเข้าไปใส่แล้ว ถึงได้ขับรถต่อ 

 

 

           เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ตรงนั้น หลังจากผ่านกิจกรรมอันดุเดือดมา เขาไม่มีแรงอะไรเหลือแล้วจริงๆ 

 

 

           ตั้งแต่ออกเดินทางตามหาซือเหยี่ยน ไหนจะต่อสู้กับซูเตอร์ แล้วตอนนี้ยังมาโดนซือเหยี่ยนจับกดอยู่ในรถอย่างเอาแต่ใจตัวเองราวกับกำลังจี่ขนมเปี๊ยะไปกับกระทะ 

 

 

           เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับปลาตายตัวหนึ่งเลย 

 

 

           ในรถเงียบสงัด เจียงมู่เฉินอิงแอบอยู่ตรงนั้นเพียงไม่นานก็หรี่ตาลงแล้วผล็อยหลับไป 

 

 

           รถค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดใต้ตึกคอนโดมีเนียม ซือเหยี่ยนจอดรถสนิทดีแล้ว เจียงมู่เฉินก็ยังไม่ตื่น ใต้แสงไฟในรถ ซือเหยี่ยนสอดแขนช้อนตัวอุ้มเขาออกมาจากรถอย่างระมัดระวังแล้วเดินขึ้นตึกไป 

 

 

           คงเพราะเหนื่อยเกินไป เจียงมู่เฉินจึงหลับลึกเป็นพิเศษ แม้กระทั่งโดนซือเหยี่ยนอุ้มขึ้นคอนโดมีเนียมแบบนี้ตลอดทางก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่น 

 

 

           เขาบรรจงวางร่างของเจียงมู่เฉินลงบนเตียง แต่เจ้าตัวกลับขยับตัวไปมาอย่างไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก คิ้วขมวดผูกปมขึ้นมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากมองเขาอย่างขำๆ ไอ้หมอนี่นอนหลับอยู่ก็ยังไม่ลืมนิสัยรักสะอาดของตัวเอง ผ่านกิจกรรมมาจนเหนื่อยกลายเป็นสภาพแบบนี้แล้ว ยังจำได้อีกว่าถ้าตัวเองไม่ได้อาบน้ำก็จะไม่ยอมนอน 

 

 

           เขาจึงจำเป็นต้องอุ้มอีกคนเข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำล้างตัวให้เขาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรเรียบร้อยแล้ว ถึงได้วางร่างนี้ลงบนเตียง 

 

 

           ครั้งนี้เจียงมู่เฉินนอนยืดเหยียดแขนเหยียดขาอย่างสบายๆ ขึ้นมากกว่าในตอนแรก ราวกับได้นอนเอ้อระเหยบนเตียง หลับฝันหวานอยู่อย่างนั้น 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขายิ้มเบาๆ แบบนี้ ก็อดจะเข้าไปใช้ปากงับเข้าที่มุมปากคนตรงหน้าไม่ได้ พะเน้าพะนออยู่นานสองนาน ถึงได้ห่มผ้าห่มให้เขาเสียที ซือเหยี่ยนหมุนตัวเดินเข้าห้องหนังสือไป 

 

 

           …… 

 

 

           ณ ห้องหนังสือ ซือเหยี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้ มองดูคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า ในนั้นคือไมเคิลที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน 

 

 

           “รีบร้อนขนาดนี้ หาฉันมีเรื่องอะไร”  

 

 

           “ฉันคิดจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามสิ้นซาก” 

 

 

           ไมเคิลตกใจจนสะดุ้งตัวโหยง “เชี่ยแม่ง! นายไม่มีปัญหาใช่ไหม ตัวนายอยู่ถานโจว นายจะจัดการอะไรแก๊งมังกรคราม” 

 

 

           “วันนี้ฉันไม่จัดการเขา วันหลังเขาก็จะมาจัดการฉัน” 

 

 

           ไมเคิลขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง” 

 

 

           “ไม่มีอะไรหรอก ฉันตัดสินใจแล้ว พอดีกับที่เมื่อก่อนฉันรวบรวมจัดการหลักฐานเกี่ยวกับแก๊งมังกรครามอยู่ไม่น้อย ตอนนี้จะลงมือทำก็ไม่ยากขนาดนั้นหรอก” 

 

 

           “ฉันรู้สึกว่านายจะผิดหวังกับเขาบ้างแล้วล่ะ นั่นเป็นที่นายจัดการเมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า อีกอย่าง แก๊งมังกรครามก็จะเปลี่ยนคนแล้ว อีกไม่นานซูเตอร์ก็ต้องรับช่วงต่อแล้ว” 

 

 

           “งั้นฉันจะกวาดล้างแก๊งมังกรครามให้สิ้นซากก่อนที่ซูเตอร์จะได้รับช่วงต่อ”