ตอนที่ 30 ต้องการอะไรกันแน่

หัวโจก

ผ่านไปสักพัก ข้อสอบก็ถูกนำไปตรวจในห้องพักครูต่อ เพราะถูกคนที่มายืนมุงทำเสียสมาธิ

ครูที่ตรวจข้อสอบเป็นระดับเทพในยวู่เต๋อ จึงตรวจได้รวดเร็วและแม่นยำมาก ก๋วยเตี๋ยวในมือมั่วลี่และเจ้าเขียวยังไม่ทันหายร้อนครูทั้งสามก็เดินออกมาพร้อมกระดาษคำตอบของโจวจิ้ง

ทุกคนต่างชะโงกมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายครูทั้งสามก็เดินไปหยุดตรงหน้าโจวจิ้ง

อาจารย์ฉี ครูคณิตศาสตร์สูงวัยร่างผอม ครูภาษาอังกฤษวัยกลางคนในกระโปรงลายนกยูง ต่างมองเธอด้วยสายตาอึดอัด ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง

“อาจารย์ฉี… ผลเป็นยังไงบ้าง?” เมี่ยเจวี๋ยโพล่งขึ้น

ทั้งห้องฝ่ายปกครองเงียบสงัด ทุกคนใจจดใจจ่อกับคำตอบนี้

อาจารย์ฉีกระแอมเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “พาร์ตแรกได้คะแนนเต็ม ส่วนพาร์ตที่สองและสามคะแนนโดยรวมดีมาก”

“อะไรนะ?” เจ้าอ้วนทำตาโต “พาร์ตแรกได้คะแนนเต็ม เธอตอบถูกทุกข้อเลยงั้นเหรอ!”

ทุกคนยังคงมองโจวจิ้งด้วยแววตาสงสัย ครูคณิตศาสตร์จึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “รอบนี้ไม่มีทางโกง เพราะวิธีเขียนคำตอบไม่เหมือนกับเฉลย อีกอย่างนี่เป็นข้อสอบสำรอง ผมยังไม่ได้ทำเฉลยไว้”

ครูห้องกิฟต์ชอบสรรหาโจทย์แปลกๆ มาทรมานเด็ก เพราะคาดหวังผลลัพธ์ที่เหนือกว่าเด็กห้องอื่น ข้อสอบจึงล้ำเกินเหตุ จนตัวเองยังหาคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้ โจวจิ้งจึงกลายเป็นตัวช่วยของพวกเขาไปโดยปริยาย

อาจารย์ฉีพูดกับโจวจิ้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลายมือของเธอสวยขึ้นนะ”

“หนูเป็นพยานได้ค่ะ” เฝิงเอี้ยนแทรกตัวออกจากฝูงชน “หนูเห็นโจวจิ้งเขียนไดอารี่เกือบทุกคืน ลายมือสวยแบบนี้เลย”

“ดี” อาจารย์ฉีพยักหน้า “สรุปได้ว่าโจวจิ้งไม่ได้โกงข้อสอบซ้ำยังเป็นเด็กเรียนดีอีกด้วย วัดจากคะแนนในข้อสอบชุดนี้ เธอเหมาะจะได้ที่สามแล้ว”

ทุกคนที่มามุงดู ต้องการรู้ว่าโจวจิ้งโกงข้อสอบหรือไม่ เธอจึงพิสูจน์ด้วยการทำข้อสอบท่ามกลางสายตาคนทั้งโรงเรียน ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับที่อาจารย์ฉีเป็นคนตรงไปตรงมา จึงไม่มีทางโกหกแน่นอน

หัวโจกเบอร์หนึ่งของยวู่เต๋อ คนที่เคยสอบได้ที่โหล่ของชั้น กลายเป็นคนใหม่เสียแล้ว!

คุณพ่อยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เห็นความสามารถของลูกผมหรือยัง?” แล้วก็หันไปลูบหัวโจวจิ้งด้วยความเอ็นดู “สมแล้วที่เป็นลูกของโจวฉีเทียน!”

ยิ่งบอดี้การ์ดทุกคนพากันปรบมือแสดงความยินดี โจวจิ้งก็ยิ่งรู้สึกอับอาย

เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงชอบทำตัวเว่อร์วังเพราะสืบกรรมพันธุ์จากผู้เป็นพ่อนี่เอง

เมี่ยเจวี๋ยอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน จึงแย่งกระดาษคำตอบจากอาจารย์ฉีมาพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง ส่วนคนอื่นๆ ที่เคยด่าทอโจวจิ้ง ก็พากันหลบฉากถอยหลัง เพราะนอกจากจะได้รู้ความจริงว่าโจวจิ้งไม่ได้โกงข้อสอบ คะแนนของเธอยังทำให้พวกเขาอับอายที่สู้เด็กไม่เอาไหนไม่ได้

หลินเกาและเถาม่านยังคงยืนสงบนิ่ง ใบหน้าที่เคยผ่องใสหม่นหมองและดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาคือศัตรูที่โจวจิ้งพ่ายแพ้มาตลอด เมื่อได้เห็นเธอติดปีกบินข้ามหัวไปอย่างไม่แยแส เป็นใครก็ไม่สบายใจทั้งนั้น

“เหลือเชื่อ!” หยวนคังฉีอุทาน

“ดูพวกมันสิ หน้าถอดสีไปเลย!” มั่วลี่ดีใจสุดขีด

เมื่อมีคนยินดี ย่อมมีคนหมั่นไส้เช่นกัน

เมี่ยเจวี๋ยไมเกรนจับ ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้ต่อยังไง เพราะคนที่ควรต้องยอมรับผิดกลับพิสูจน์ตัวเองได้เป็นอย่างดี

เธอหันมองผู้อำนวยการเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับยิ้มอย่างใจเย็น

“สรุปก็คือเด็กคนนี้ไม่ได้โกง” พูดจบก็หันไปตบบ่าโจวจิ้งเบาๆ “พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ เป็นแบบอย่างที่ดีมากๆ”

บรรดานักเรียนที่ยืนมุงอยู่หน้าห้องส่งเสียงโห่ด้วยความผิดหวัง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับห้อง

ไม่มีอะไรทำร้ายจิตใจพวกเขาเท่าคนอย่างโจวจิ้งสอบได้ที่สาม เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามสติปัญญาของทุกคนที่นี่ รวมถึงสถาบันการศึกษาด้วย

พ่อของโจวจิ้งค่อนข้างยุ่ง จึงพูดทิ้งท้ายก่อนกลับว่า “เสาร์นี้วันเกิดเสี่ยวหยี กลับบ้านด้วยล่ะ” พูดจบก็หันไปอีกฝั่ง “ม่านม่านด้วยนะ”

“ดูก่อนแล้วกันค่ะ” เถาม่านตอบอย่างเย็นชาแล้วหันหลังเดินจากไป

เสี่ยวจิ้ง ม่านม่าน งั้นเหรอ? สรุปว่าพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ หรือคนละพ่อแต่แม่เดียวกัน หรือพ่อแม่เดียวกัน?

ดูจากความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตร สองข้อแรกจึงไม่น่าเป็นไปได้

แล้วเสี่ยวหยีล่ะคือใคร?

แม้จะยังงงๆ แต่โจวจิ้งก็ไม่กล้าแสดงออก กลัวถูกจับได้ว่าเป็นตัวปลอม

“ดูก่อนแล้วกัน” เธอตอบแบบเดียวกับเถาม่าน

“งั้นเย็นวันศุกร์ พ่อจะให้คนมารับนะ” เขามองโจวจิ้งอย่างภาคภูมิใจ “คะแนนสอบของลูกดีมาก จัดโต๊ะจีนฉลองเลยดีไหม?”

“เอ่อ… ไม่เป็นไรค่ะ”

“พ่อขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลา ต้องไปต่างจังหวัดตลอด เห็นป้าเฉินบอกว่าลูกไม่ได้ขอเงินค่าขนมนานแล้ว” โจวฉีเทียนหยิบบัตรเติมเงินออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้เธอ “เติมเงินเรียบร้อย จะได้เอาไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ไปล่ะ”

โจวฉีเทียนและบอดี้การ์ดของเขากลับไปพักใหญ่แล้ว แต่โจวจิ้งยังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ตั้งแต่มีโจวเค่อเข้ามาในชีวิต วัยเด็กของเธอก็ไม่ได้รับการใส่ใจอีกเลย

น้องชายของเธอได้เงินค่าขนมโดยไม่ต้องทำงาน ส่วนเธอต้องทำงานเสริมเพื่อหาค่าเทอมเอง แม้แต่ตอนแต่งงานกับซููเจียงไห่ ก็ไม่ได้เงินขวัญถุงจากครอบครัวเลยสักเหรียญ

เธอไม่ได้เสียใจเรื่องเงิน แต่น้อยใจเรื่องที่พ่อแม่ลำเอียงมากกว่า

ถึงโจวฉีเทียนจะสอนลูกสาวไม่เป็น สปอยล์จนเสียนิสัยเพราะไม่มีเวลาดูแลและใช้เงินเป็นตัวชดเชย แต่จากหลายๆ อย่างที่เห็น เขาก็รักลูกสาวคนนี้พอตัว

นี่คือความรักจากครอบครัวที่เธอโหยหา ตอนได้รับบัตรเติมเงินจากผู้เป็นพ่อ ต่อมน้ำตาของโจวจิ้งก็แทบจะระเบิด

เจ้าเขียวยืนมองอยู่นาน สักพักจึงเดินเข้ามาถาม “ลูกพี่ยืนเหม่อทำไม ไม่หิวข้าวเหรอ?”

พอได้สติ โจวจิ้งก็แทบล้มทั้งยืน—คุณพ่อขา หนูไม่รู้รหัสบัตรเติมเงิน!

 

เหตุการณ์ที่โจวจิ้งทำข้อสอบหน้าเสาธงดังมากในเพจของโรงเรียน

ผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างหนาหู บ้างก็ว่าเธอเป็นคนมีความสามารถอยู่แล้ว แต่แกล้งทำเป็นโง่เพื่อให้คนอื่นตายใจ บ้างก็ว่าเธอเป็นหญิงร้ายกาจเจ้าเล่ห์ ชอบไปบนบานศาลกล่าวและเล่นของที่วัดอยู่เป็นประจำจนได้ดี บ้างก็หาว่าเธอเสียสติเพราะถูกหลินเกาทิ้ง เลยประชดรักด้วยการลากเขามาตบกลางสี่แยกแบบนี้

“โจวจิ้งคบอยู่กับเฮ่อซวินไม่ใช่เหรอ? เขาอาจติวให้เธอก็ได้นะ”

“เฮ่อซวินสมควรไปตัดแว่นใหม่ คิดยังไงถึงมาคบกับยัยนี่ต่ำตม!”

“ติวให้ฉันยังจะดีกว่าอีก ให้ยืมดูชีตสรุปก็ได้”

เอาอีกแล้ว เฮ่อซวินอยู่เฉยๆ ก็โดนอีกแล้ว…

ไม่ว่าห้องอื่นจะวุ่นวายแค่ไหน เด็กห้องกิฟต์ก็ยังคงตั้งใจเรียนเหมือนเดิม

เห็นได้ชัดว่าเด็กห้องนี้ควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเด็กห้องอื่น สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเรียน

ในห้องเรียนเงียบสงบจนเหลือแต่เสียงขีดเขียนกระดาษหยวนคังฉีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเฮ่อซวินกำลังทำแบบฝึกหัดอย่างขะมักเขม้น กระทั่งอาจารย์ฉีเดินเข้ามาในห้อง

“เฮ่อซวิน ออกมาพบครูหน่อย”

หยวนคังฉีรีบกระซิบถาม “เกิดไรขึ้น?”

เฮ่อซวินส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”

เมื่อเดินออกนอกห้องเรียน อาจารย์ฉีที่ยืนกุมแก้วน้ำอยู่มองเฮ่อซวินหัวจรดเท้า

“มีอะไร?” เฮ่อซวินถาม

“เธอติวหนังสือให้โจวจิ้งจริงเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“ครูก็คิดอย่างนั้น แค่คุยกับคนอื่นสองสามคำยังยากเลย”

“ต้องการอะไรกันแน่?”

อาจารย์ฉีถอดแว่นกรอบทองออกแล้วหยิบผ้าขึ้นเช็ด “ครูอ่านกระทู้บนเพจของโรงเรียนหลายอันแล้ว เธอกับโจวจิ้ง… ไม่ธรรมดาเลยนะ”

“ไม่เกี่ยวกับผม”

“แล้วอุ้มโจวจิ้งไปส่งห้องพยาบาลทำไม?” อาจารย์ฉีใส่แว่นกลับเข้าไปใหม่ “เรื่องบางเรื่อง รอให้โตกว่านี้ก่อนค่อยทำก็ได้นะ”

เฮ่อซวินถอนหายใจยาว “เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด”

“เอาเป็นว่า… ครูจะย้ายโจวจิ้งเข้าห้องกิฟต์”

เฮ่อซวินไม่เชื่อหูตัวเอง “ล้อเล่นหรือเปล่า?”

“ดูจากการพัฒนาและความสามารถของโจวจิ้ง ครูและท่านผู้อำนวยการเห็นพ้องต้องกันว่าจะให้เรียนห้องกิฟต์”

“แต่ว่า…”

“และจะให้นั่งข้างเธอด้วย”

“ไม่เอา!” เฮ่อซวินปฏิเสธเสียงแข็ง

“จะได้กลบข่าวเรื่องคู่จิ้นระหว่างเธอกับหยวนคังฉีไงล่ะ”

“คุณน้า… ผม…”

“พี่สาวฉันมีลูกชายแค่คนเดียว” อาจารย์ฉีตบบ่าหลานชายเบาๆ “ถ้าเธอสืบทอดวงศ์ตระกูลไม่ได้ ฉันคงตายตาไม่หลับ” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “กลับไปเรียนได้แล้ว”

อาจารย์ฉีถือเดินถือแก้วน้ำจากไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก—น้องคงช่วยพี่ได้เท่านี้แหละนะ

เมื่อถูกเพื่อนนักเรียนมองด้วยสายตาชื่นชม โจวจิ้งก็ถึงกับขนลุก พอกลับห้องได้ก็โทรหาสวรรค์เซอร์วิสทันที

“อากาศเย็นขึ้นเหรอ?” เธอบ่น “ไม่สิ น่าจะเป็นลางร้ายมากกว่า!”

หลังไปนั่งทำข้อสอบหน้าเสาธง สายตาของคนรอบข้างก็เปลี่ยนไป ราวกับโจวจิ้งเป็นดาราใหญ่ของยวู่เต๋อ

ขนาดซื้อข้าวในโรงอาหาร ยังถูกซุบซิบนินทาเกี่ยวกับสติปัญญาที่เปลี่ยนไปของเธอ

“ลูกพี่เรียนเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เจ้าเขียวถามเสียงเบา “แอบไปติวที่ไหนมา?”

โจวจิ้งวางตะเกียบในมือลง “อยากติวเหรอ? ฉันติวให้ได้นะ”

“ไม่ๆๆ” เจ้าเขียวปฏิเสธ “ผมไม่ขยันขนาดนั้น”