ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 25 รอคอยโชคชะตาที่จะมาถึง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเวลานี้นางกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งไม่รู้ว่าในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ อารมณ์ของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หลังจากที่เขาเอาโอสถกระแสอัคคีเม็ดนั้นออกจากกล่องหยก ยื่นไปถึงริมฝีปากของนางโดยตรง จากนั้นอย่างรวดเร็ว ยัดเข้าไปอย่างหยาบกระด้างเล็กน้อย ริมฝีปากของสวีโหย่วหรงเผยอออก กำลังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะแสดงความขอบคุณของตัวเองต่อเขา รวมถึง…ความซาบซึ้ง แต่แล้วยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกเม็ดยาเม็ดนั้นดันกลับไป

“ในครึ่งชั่วยามก่อนหลังล้วนห้ามดื่มน้ำ มิฉะนั้นจะลดธาตุไฟในเม็ดยา” เฉินฉางเซิงมองนางที่ถูกอุดปากแล้วหน้าแดงเล็กน้อย พูดอย่างตั้งใจ ในใจกลับมีความไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย โอสถกระแสอัคคีเม็ดนั้นใหญ่มาก สวีโหย่วหรงไม่สามารถพูดจาได้โดยสิ้นเชิง ใช้เวลานานมากถึงกลืนลงไปได้ ลำบากมาก จากนั้นกระแอมขึ้นมา หลังจากนั้นสักพัก ดีขึ้นมาหน่อย นางมองเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงโมโหนิดๆ “แม้จะดื่มน้ำไม่ได้ ก็บอกล่วงหน้าก่อน เป็นทุกข์จากการไอ เจ้าไม่รู้หรือ?”

แม้จะพูดด้วยความโมโห เสียงกลับงึมงำเล็กน้อย เป็นการบ่น กลับเหมือนมีอาการอ้อนเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกถึง พูดด้วยความงุ่มง่ามเล็กน้อย “ขออภัย รีบเร่งไปหน่อย แต่ว่าไม่ต้องกลัวอาการไอ ไม่ได้เป็นเพราะติดคอ น่าจะเป็นสัญญาณปกติของการบำบัดพิษ”

ตัวสวีโหย่วหรงเองไม่ได้สังเกตว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ได้แสดงท่าทีของสตรีออกไป แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกกระดากเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยาหรือไม่ ง่วงนิดหน่อย”

เป็นสัญญาณปกติของการระบายพิษเสียที่ไหน เป็นการไม่มีอะไรพูดจึงหาอะไรพูดต่างหาก เป็นไปได้ที่ไหนว่าฤทธิ์ยาแสดงผลรวดเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ยังคงเป็นคำพูดที่ถังซานสือลิ่วเคยพูดในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ เขาและนางเป็นเจ้าสองตัวที่ทำให้คนอื่นพูดไม่ออก

……

……

ไม่ว่าเป็นฤทธิ์ยา หรือสาเหตุอื่น สวีโหย่วหรงง่วงจริงๆ

เขาพยุงนางไปที่บริเวณระเบียงทางเดินนอกห้องหินเพื่อหลบลม เอาเศษผ้าจากห้องหินที่เจ็ดออกมาห่มให้นาง อาภรณ์หม่อนไหมที่ล้ำค่ามากที่สุด รวมถึงผ้าห่มไหมหิมะที่หายากอย่างยิ่ง ล้วนกลายเป็นเศษเสี้ยวในเวลาหนึ่ง สิ่งที่น่าสนุกก็คือผ้าป่านที่ไม่มีราคามากที่สุดเหล่านั้นยังคงสมบูรณ์ดังเดิม สิ่งที่เขาห่มให้นางก็คือม่านผ้าที่ทำมาจากป่าน

มองหญิงสาวที่หลับสนิท เขาอวยพรในใจให้โอสถกระแสอัคคีเม็ดนั้นออกฤทธิ์เพียงพอ จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องหิน เปิดกล่องหยกกล่องนั้นอีกครั้งแล้วดมอย่างละเอียด ความไม่สบายใจในใจไม่ได้ลดลงหายไป กลับยิ่งมายิ่งรุนแรง

หายาสองสามประเภทที่ฤทธิ์ยายังหายไปไม่หมดแล้วเก็บไว้ให้ดี เวลานี้ ในที่สุดเขาถึงมีเวลาดูของที่ได้มาจากห้องหินเหล่านั้นสักปราดหนึ่ง จิตสัมผัสกวาดไปมาเล็กน้อย สิ่งที่ดูเป็นอย่างแรกคือเหล่าวิชาและตำราลับ

เขาอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าตั้งแต่เด็ก หลังจากไปที่จิงตู ตำราหลายหมื่นเล่มในหอตำราของสำนักฝึกหลวงก็ล้วนดูอย่างตั้งใจไปหมดแล้ว ตอนนี้ดูเหล่าวิชาตำราลับ เพียงแค่เห็นชื่อก็สามารถนึกถึงพรรคสำนักที่ตรงกันได้

จินตนาการไม่เหมือนผู้คนบนโลก วิชาตำราลับเหล่านี้ไม่หายาก แน่นอนว่าก็ไม่สามารถทำให้เขาสำเร็จวิชาในหนึ่งคืน พูดมาก็ดูจริง ตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เป็นคู่ต่อสู้ของโจวตู๋ฟู แน่นอนว่าต้องเกิดในพรรคสำนักที่มีชื่อเสียงในโลกหล้า พวกเขากลายเป็นดวงวิญญาณมรณะใต้ดาบของโจวตู๋ฟู แต่การสืบทอดของพรรคสำนักของตัวเองกลับไม่ได้ขาด

เหมือนกับตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซานที่ถูกตระกูลจักรพรรดิขาวเอาไป เขาหลีซานยังคงยิ่งใหญ่ แต่ว่า…ยังคงเหมือนกับตำรารวบรวมเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่แห่งเขาหลีซาน วิชาตำราลับเหล่านี้แน่นอนว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง อย่างน้อยสำหรับเหล่าพรรคสำนัก เพราะว่าพวกนี้ล้วนเป็นฉบับดั้งเดิม

ต่อมาเขาเริ่มตรวจสอบศาสตราเหล่านั้น เนื่องจากเงื่อนไขทางด้านเวลา อานุภาพศาสตราส่วนใหญ่ในห้องหินล้วนอันตรธานไป เหล่าศาสตราภายใต้การชี้แนะให้เขาเก็บขึ้นมาของสวีโหย่วหรงไม่กี่ชิ้นนั้นยังหลงเหลืออานุภาพบางอย่าง แต่ก็สู้ตอนนั้นไม่ได้ ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับเหล่าศาสตราวิเศษของการจัดลำดับร้อยศาสตราในตอนนี้ได้อย่างสิ้นเชิง มีเพียงศูนย์กลางจิตวิญญาณสีดำชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่สามารถยอมรับได้

เวลาถึงเป็นศาสตราวิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

เฉินฉางเซิงจู่ๆ ผุดความคิดบางอย่าง โจวตู๋ฟูเป็นผู้มหัศจรรย์ของดินแดนต้าลู่แห่งนี้ที่แท้จริง เป็นการมีอยู่ที่โดดเด่นมีหนึ่งไม่มีสอง สวนโจวเป็นโลกของเขา ที่นี่เป็นสุสานของเขา ตามเหตุผลแล้ว  สิ่งของที่มีสิทธิ์ถูกเขาเลือกมาฝังร่วม น่าจะเป็นสิ่งของที่ดีกว่านี้ถึงจะถูก สิ่งของเหล่านั้นถูกคนอื่นเอาไปหมดแล้วหรือ?

พื้นดินทางยาวก่อนห้องหินเก้าห้อง มีฝุ่นชั้นบางๆ กลบอยู่ ข้างบนมีร่องรอยที่วุ่นวาย แต่ร่องรอยเท้าเหล่านั้นล้วนเป็นเขาเองที่หลงเหลือลงมา ศาสตราวิเศษ ขุมทรัพย์ และตำราลับยังอยู่ ยืนยันว่าไม่เคยมีคนมาที่นี่

…หลายร้อยปีที่ผ่านมา มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จำนวนมากอยากหาสุสานของโจวตู๋ฟูให้เจอ เพื่อที่จะรับเอาสิ่งสืบทอดรวมถึงขุมทรัพย์ของเขา ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นอาจจะมีวิชาความรู้ล้นหลาม อาจทำการเตรียมพร้อมที่เต็มเปี่ยม ล้วนอย่างน้อยก็เป็นชั้นยอดของขั้นทะลวงอเวจี ถึงจะกล้าเดินเข้าที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลที่ลึกลับ แต่แล้วพวกเขาไม่สามารถมาถึงตรงนี้ ก็ตายไปในระหว่างทาง เขาสามารถหาทางเดินออกจากที่ราบทุ่งหญ้า มาถึงสุสานแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าเขายอดเยี่ยมกว่าผู้อาวุโส หรือแข็งแกร่งกว่า แต่เป็นเพราะว่าเขามีร่มคันหนึ่ง

มาถึงตรงนี้ เขามองไปที่ร่มกระดาษทองในมืออีกครั้ง

หลังจากที่เดินเข้าไปในสุสาน เขาก็ไม่ได้เก็บร่ม

ถ้าไม่มีร่มกระดาษทองคันนี้ชี้ทางให้พวกเขาไล่ตามเจตจำนงกระบี่ที่เบาบางสายนั้น พวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างสิ้นเชิง ความเป็นไปได้ที่มากกว่าก็คือ หลงทางอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าที่อันตรายแห่งนั้น จากนั้นกลายเป็นอาหารของฝูงสัตว์อสูร เพียงแต่ต่อไปจะออกจากที่นี่อย่างไร? ยังคงต้องพึ่งร่มกระดาษทองคันนี้? หรือว่าต้องหาเจตจำนงกระบี่สายนั้นให้เจอ?

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าร่มกระดาษทองพาเขามาถึงที่นี่ เป็นการร้องเรียกของโชคชะตา

ใช่ เขาเชื่อเรื่องโชคชะตา

นี่ฟังดูแล้วไร้สาระมาก เพราะว่าเขาจากวัดเก่าเมืองซีหนิงมาที่จิงตูมา เป้าหมายก็เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง แต่ในส่วนลึกสุดของโลกของสติปัญญา เขาเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของโชคชะตาจริง กระทั่งเชื่อเรื่องการมีอยู่ของโชคชะตามากกว่าอื่นใด

ที่ข้างหน้าต้องมีเทือกเขาแห่งหนึ่ง ถึงจะสามารถข้ามแม่น้ำสายนี้ได้

มีเป้าหมาย ถึงจะสามารถเดินหน้าไปตามเป้า

จำเป็นต้องมีโชคชะตา เขาถึงจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้

ด้านหลังสุดของสมุดบันทึกของหวังจือเช่อพูดว่า ‘ไม่มีโชคชะตา’

ห้าคำนี้เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แต่สำหรับเขาแล้ว กลับเป็นฟ้าดินผืนใหม่อีกแห่งหนึ่ง

มุมมองของเขาต่างจากหวังจือเช่อ จำเป็นต้องไม่เหมือน เขาอยากดูโชคชะตาของตัวเองให้ชัดเจน จากนั้นเปลี่ยนมัน

ถ้าจะบอกว่าโชคชะตาทำให้เขาได้พบเจอผู้คนจำนวนมากในจิงตู ประสบเรื่องราวมากมาย สุดท้ายนำพาเขาเข้ามาที่สวนโจว ฉะนั้นในสวนโจว จะมีโชคชะตาอย่างไรรอคอยเขาอยู่? ร่มกระดาษทองรู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่สายนั้น พาเขามาถึงตรงนี้ ในนั้นต้องแฝงเร้นความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่าง ถ้าอยากจะจากไปจากสวนโจว ฉะนั้นแปลว่าตัวเองจำเป็นต้องหาเจตจำนงกระบี่สายนั้นเจอใช่หรือไม่?

เจตจำนงกระบี่สายนั้นอยู่ในสระกระบี่ไหม? สระกระบี่อยู่ที่ไหน? เดินผ่านถนนสู่ใจกลางที่ทอดยาว มาถึงนอกสุสาน เขายืนอยู่บนแท่นสูง มือซ้ายพยุงหลังเอว มือขวาถือร่มกระดาษทอง มองไปยังที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่เบื้องหน้า

เวลานี้พลบค่ำแล้ว ตะวันที่บริเวณห่างไกลมาถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ในทุกคืน…ริมขอบที่ราบทุ่งหญ้า บนเส้นแนวราบ ที่ราบทุ่งหญ้าที่ไร้ขอบเขต ภายใต้เส้นแสงที่แดงอบอุ่น ราวกับกำลังแผดเผา แหล่งน้ำที่ซ่อนอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า เหมือนกับกระจกบานเล็กจำนวนมหาศาล ส่องสะท้อนปฏิกิริยาของท้องฟ้า ด้านหลังเขา เป็นสุสานของโจวตู๋ฟู ถ้าตอนนี้คนที่เห็นภาพฉากนี้เป็นนักปราชญ์ที่โศกฤดูใบไม้ผลิเศร้าฤดูใบไม้ร่วงท่านหนึ่ง น่าจะพอรู้สึกถึงความโศกเศร้าได้มากกว่านี้ ทอดถอนใจเรื่องราวทุกสิ่งอย่างบนโลก ชนะเวลาไม่ได้ แต่เขาไม่

ตะวันตกยังห้อยอยู่ที่ขอบที่ราบทุ่งหญ้าตรงบริเวณห่างไกล รอบสุสานสี่ทิศจู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา

เขายกร่มกระดาษทองขึ้น

แปะ แปะ แปะ หยาดฝนตกลงบนร่ม กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนมาก กระโดดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วตกลงมา

เขาปล่อยจิตสัมผัสออกมา แผ่ไล่ขึ้นไปข้างบนผ่านด้ามร่ม จนถึงส่วนหัวของร่ม จากนั้นก็กระโดดเหมือนกับหยดน้ำเหล่านั้น จากไป กระจายไปยังรอบๆ สุสานของที่ราบทุ่งหญ้า

เขาอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างถ่องแท้ มั่นใจว่าเจตจำนงกระบี่สายนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างจิตใต้สำนึกของตัวเอง ในเมื่อไม่มีจิตใต้สำนึกของตัวเอง ฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสภาพของตนเองด้วยตัวเอง ตอนแรกสุด เขาสามารถรับรู้ได้จากข้างสระ เป็นเพราะมีเจตจำนงกระบี่อยู่ตลอด รอคอยการถูกสังเกตเห็น ฉะนั้นเจตจำนงกระบี่ตอนนี้ไม่น่าจะ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหายไป

หากไม่อาจหาสิ่งของชิ้นหนึ่งพบ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันหายไปด้วยตัวเอง ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องถูกคนซ่อนเอาไว้

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน กระจายจิตสัมผัสออกไปในที่ราบทุ่งหญ้า ค้นหาเป้าหมายของตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็เริ่มจัดการความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบริเวณใกล้สุสานแห่งนี้…ตอนที่สวีโหย่วหรงเห็นสุสานแห่งนี้ เจตจำนงกระบี่พลันหายไป ในตอนนั้นเขาคิดว่าเจตจำนงกระบี่ได้เสร็จภารกิจในการนำพาร่มกระดาษทองมาถึงตรงนี้ จึงหายไป ในตอนนี้ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์หลังจากเขาจิตใจสงบลงมาแน่นอนว่ายืนยันว่าไม่ใช่แบบนี้…เจตจำนงกระบี่สายนั้น น่าจะถูกคนบาง ‘คน’ ซ่อนเอาไว้

‘คน’ คนนั้นน่าจะเป็นสุสานแห่งนี้

เขาหันศีรษะมองไปยังสุสานที่อยู่ด้านหลัง

สุสานที่สร้างมาจากกองหินก้อนใหญ่ ยิ่งขึ้นข้างบนยิ่งชัน สูงจนเหลือเชื่อ

เขายืนอยู่ใจกลางสุสาน สุสานในตายิ่งสูงราวกับจะทิ่มแทงชั้นเมฆในท้องฟ้า

สายตาของเขาคล้อยตามยอดของสุสาน ตกลงบนชั้นเมฆที่มืดมนก้อนนั้น เห็นเพียงบริเวณเมฆดำ บริเวณส่วนลึกมีฟ้าแลบสว่างขึ้นเป็นครั้งคราว เห็นแล้วน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง แม้จะห่างไกลหลายพันจั้ง เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ไอพลังปราณยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะทลายชั้นฟ้าทำลายผืนปฐพีในชั้นเมฆสายนั้น…สุสานเป็นใจกลางสำคัญของสวนโจว ไอพลังปราณนี้น่าจะเป็นรูปธรรมของกฎระเบียบสวนโจว

สายฝนยิ่งมายิ่งหนัก ศิลามหึมาทั้งหมดในสุสานถูกรดจนเปียก ระหว่างก้อนหินทุกระดับขั้น มีน้ำตกที่เล็กละเอียดจำนวนหลายสายกำลังไหลโกรก ถ้ามีคนอยู่นอกสุสานมองเข้ามา ต้องรู้สึกว่าภาพฉากนี้อลังการตระการตาอย่างยิ่งแน่นอน เป็นความสวยงามที่สะเทือนขวัญชนิดหนึ่ง แต่เขาผู้ยืนอยู่ในสุสาน รู้สึกถึงได้แค่ความสะเทือนขวัญ แน่นอนว่าไม่รู้สึกถึงความสวยงาม

‘ถ้ามีเวลาน่าจะออกจากอาณาเขตของสุสาน ลองดูว่าเจตจำนงกระบี่สายนั้นจะปรากฏอีกครั้งหรือไม่’

เขาคิดอย่างเงียบขรึม จากนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงกำลังเพรียกหาตัวเองอยู่ จึงถือร่มกระดาษทอง เดินเข้าไปในสุสานอีกครั้ง

สวีโหย่วหรงตื่นแล้ว สีหน้ายังคงขาวซีด แต่มองดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย สติฟื้นฟูบ้าง

เขาถามว่า “เจ้าตะโกนเรียกข้าหรือ?”

ฝนนอกสุสานหนักเกินไป แม้จะมีร่ม เขาก็ยังเปียกอยู่ดี มองดูมีความอนาถเล็กน้อย

สวีโหย่วหรงไม่ได้หัวเราะเยาะเขา ส่ายหัวไปมา พูดด้วยเสียงเบาว่า “เจ้าฟังผิดแล้ว”

เฉินฉางเซิงใจคิดน่าจะเป็นเพราะกังวลสภาพบาดเจ็บของนางมากเกินไป จึงเกิดเสียงหลอน

สวีโหย่วหรงมองเขาอย่างเงียบๆ มือสองข้างใต้ผ้าป่านหยาบกำแน่นเล็กน้อย

ตอนที่นางตื่นขึ้นมาในก่อนหน้านี้ เห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ข้างกาย รอบด้านสี่ทิศมืดมนอนธการ นางกลับมีความหวาดกลัวเล็กน้อย ถ้าพูดให้แม่นยำกว่านี้คือลนลาน

ตั้งแต่รู้ตื่นเป็นต้นมา นางไม่เคยลนลานมาก่อน

นางรู้ว่า นี่ไม่เกี่ยวข้องกับการพึ่งพิงเขา ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ เหล่านั้น

นี่เป็นการแสดงออกจากการลดหย่อนความแน่วแน่ นางยิ่งมายิ่งอ่อนแอ แม้จะเป็นเส้นทางจิตใจที่ปลอดโปร่งก็เริ่มค่อยๆ หม่นหมอง

นี่เป็นสัญญาณของความตาย

เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ ที่ข้างกายนาง ยื่นมือจับชีพจร หลังจากเงียบขรึมเป็นเวลานาน พูดพลางหัวเราะว่า “อืม ฤทธิ์ยากำลังกระจายออก แม้พิษร้ายจะล้างไม่หมด แต่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

คำโกหกเน้นเรื่องจริงเก้าปลอมหนึ่ง

แต่ในประโยคนี้ของเขาไม่มีคำไหนที่เป็นจริง

สวีโหย่วหรงมองตาของเขา พูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้ารู้ไหมว่ารอยยิ้มของตนเองปลอมมาก?”

ร่างกายเฉินฉางเซิงแข็งค้างเล็กน้อย หัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “รอยยิ้มจะปลอมได้อย่างไร?”

สวีโหย่วหรงพูดพลางยิ้มนิดๆ ว่า “ไม่ปลอมจริง แต่โง่เง่า”

เฉินฉางเซิงทำเป็นไม่ค่อยพอใจ พูดว่า “ไม่ชอบน้ำเสียงที่เย็นชาทะนงตนเช่นนี้ของเจ้า”

“ข้าจะระมัดระวัง…อย่างน้อย ก็ต่อหน้าเจ้า” สวีโหย่วหรงพูดประโยคหนึ่งที่เขาคาดไม่ถึง

เฉินฉางเซิงชะงัก สวีโหย่วหรงยิ้ม พูดต่อไปว่า “แต่ว่าเมื่อครู่เจ้าแย้มยิ้มราวกับร้องไห้ โง่เง่ามากจริงๆ อีกทั้งใครก็มองออกได้ว่ามันปลอม”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ก้มหัวลง ยื่นมือดึงขอบของม่านผ้าป่านหยาบลงไปด้านล่างเล็กน้อย ห่มเท้าให้กับนาง

“ยานั้นไม่มีประโยชน์ ถูกไหม?”

นางมองตาของเขา สีหน้าสงบมาก ราวกับไม่รู้ว่าคำตอบของเขาจะเป็นการตัดสินโชคชะตาของตัวเอง