ตอนที่ 370 ความเงียบที่ผิดปกติ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากท่องไปทั่วดินแดนอ้างว้างนานสามวัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็มุ่งหน้ากลับสู่เมืองเฟิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว

ตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา ทั้งสองเพลิดเพลินกับความสงบและความสุขที่พบได้ยาก และผ่อนคลายอารมณ์อย่างมาก

ทันทีที่กลับถึงเมืองเฟิงอวิ๋น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พบว่าเมืองเฟิงอวิ๋นที่เคยคึกคักกลับดูเงียบสงบมากกว่าก่อน

ทั้งสองอดขมวดคิ้วเบาๆไม่ได้ ถึงแม้ว่างานชุมนุมวายุเมฆาจะสิ้นสุดลงแล้ว ทว่าก็ยังไม่มีการส่งมอบรางวัลสำหรับผู้เข้าแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงลานเล็กๆของเรือนตระกูลซู ทั้งสองก็มองเห็นภาพตรงหน้าที่เป็นสีแดงสว่างสดใส

เพียงแค่เหยียบก้าวลงบนลานกว้าง ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆก็รีบวิ่งออกมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทันที

“พี่อวี้โม่ ท่านไปกับพวกเราก่อนเถอะ”

ซูเสี่ยวจวิ้น เสี่ยวเหยียนและฉุ่ยเยว่ยิ้มกว้างให้กับนาง จากนั้นทั้งสามก็จับมือฉินอวี้โม่และดึงนางตรงไปในห้องพักที่ฉินอวี้โม่เคยพักอยู่ก่อนหน้านี้

ในขณะเดียวกันนั้น หานโม่ฉือก็ถูกเรียกไปที่อีกห้องหนึ่งโดยฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆ

“พี่อวี้โม่ ดูสิ นี่คือชุดแต่งงานที่เราเตรียมไว้ให้ท่าน”

ซูเสี่ยวจวิ้นหยิบชุดสีแดงงดงามออกมาและยื่นให้ฉินอวี้โม่สวมมัน

“ท่านลุงฉินเป็นคนทำชุดนี้ขึ้นเองเลยเจ้าค่ะ ลุงฉินเป็นช่างหลอมมีฝีมือ เขาจัดหาวัสดุมากมายเพื่อทำชุดแต่งงานนี้ให้กับพี่อวี้โม่ด้วยตัวเอง”

แรกเริ่มเดิมที ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆวางแผนที่จะหาช่างตัดเย็บในเมืองเฟิงอวิ๋นเพื่อเย็บชุดแต่งงานให้กับฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนไม่เห็นด้วยกับพวกนางโดยกล่าวว่าฉินอวี้โม่คือบุตรสาวที่เป็นดั่งดวงใจของเขา ไม่ว่าอย่างไรผลงานของช่างตัดเย็บเหล่านั้นก็ไม่คู่ควรกับนาง

เพราะเหตุนั้นเขาจึงตามหาวัสดุต่างๆด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นไหมและวัสดุอื่นๆอีกมากมายเพื่อหลอมชุดแต่งงานที่งดงามเช่นนี้ให้กับฉินอวี้โม่

แม้ว่ามันเป็นเพียงชุดแต่งงาน มันก็ไม่ใช่ชุดธรรมดา ชุดแต่งงานนี้มีการป้องกันที่แกร่งกล้ามากและอาวุธธรรมดาทั่วไปไม่สามารถสร้างความเสียหายได้กับมันแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าชุดของหานโม่ฉือก็ทำขึ้นโดยฝีมือของฉินเทียนเช่นกัน

แม้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกล่าวว่าต้องการจัดงานแต่งงานที่เรียบง่ายเท่านั้น ฉินเทียนก็ไม่ต้องการให้มันธรรมดามากเกินไป

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ ฉุ่ยเยว่ก็เป็นคนช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้ฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง

ฉินอวี้โม่คือนายหญิงของนางและหยินหึนและนางก็เต็มใจที่ได้มีนายหญิงที่มากพรสวรรค์เช่นนี้เหมือนกัน แม้ว่าแทบจะไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าฉุ่ยเยว่ก็มีความสุขและยินดีอย่างที่สุดที่นายหญิงของตนเองจะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา

ภายในเวลาเพียงไม่นาน คุณหนูคนงามก็กลายเป็นเจ้าสาวผู้เลอโฉม

“ว้าวว! พี่อวี้โม่ ท่านงดงามจริงๆเลย แม้แต่ข้าเองก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา”

เมื่อได้ยลโฉมความงดงามของฉินอวี้โม่ ดวงตาของซูเสี่ยวจวิ้นก็เป็นประกายราวกับดวงดาวเล็กๆทันที

ฉินอวี้โม่มีความสง่างามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าเมื่อกอปรกับการแต่งหน้าอ่อนๆและสวมชุดสีแดงที่ตัดกับผิวขาวผ่อง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาในตอนนี้ทำให้นางน่าหลงใหลและดึงดูดใจยิ่งกว่าเดิม ความสง่างามและความสูงส่งของนางทำให้ผู้คนต้องรู้สึกต้อยต่ำยอมจำนนและตื่นตา

“ปากเล็กๆของเจ้านี่พูดจาหวานหูอยู่เรื่อย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข กลิ่นอายความเยือกเย็นของนางอันตรธานหายไปอย่างสิ้นเชิง บัดนี้นางเป็นเหมือนสตรีทั่วไปที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่พิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยความสุขเปี่ยมล้น

“พี่อวี้โม่ เสี่ยวจวิ้นพูดถูก เราก็เคยพบจงอู๋หยานมาก่อน ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ท่านต่างหากที่ควรจะเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของดินแดนนี้ ต่อให้มีจงอู๋หยานสิบคนรวมกันก็ยังเทียบท่านไม่ได้เลยสักนิด”

เสี่ยวเหยียนยิ้มพร้อมกล่าวอย่างมีความสุขเช่นกัน

นางยังจำวันแรกที่ได้พบกับ ‘พี่สาวแสนดี’ ผู้นี้ได้ดี ไม่คิดเลยว่าเมื่อเวลาล่วงเลยมา ฉินอวี้โม่จะได้แต่งงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์แต่งตัวเสร็จรึยัง?”

ทันใดนั้น เสียงของฉินเทียนก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตู

“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เสี่ยวเหยี่ยนยิ้มพร้อมวิ่งออกไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“ท่านลุงฉิน เข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

สตรีทั้งสามยิ้มให้ฉินเทียนก่อนเดินออกไปข้างนอกอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกนางรู้ดีว่าฉินเทียนและฉินอวี้โม่น่าจะมีเรื่องคุยกันเป็นการส่วนตัว

“เอ่อ…”

เมื่อได้เห็นบุตรสาวผู้งดงามไร้ที่ติ ฉินเทียนก็ถอนหายใจเบาๆ บุตรสาวในเวลานี้ทำให้เขานึกถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นในอดีต เขาและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มีงานแต่งงานที่เรียบง่ายเช่นนี้ แม้ว่าเป็นเพียงงานเล็กๆธรรมดา มันก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและทั้งสองมีความสุขอย่างที่สุด

“ท่านพ่อคิดถึงท่านแม่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ แน่นอนว่านางเข้าใจสายตาและความหมายของการถอนหายใจของบิดา นางเดินเข้าไปหาฉินเทียนและจับมือหนาของเขาไว้

“ในตอนนั้นแม่ของเจ้ากับข้าก็จัดงานแต่งงานเล็กๆเช่นกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและกำลังจะแต่งงานออกเรือน”

ฉินเทียนยิ้มพร้อมแตะหลังมือฉินอวี้โม่เบาๆและกล่าวอย่างมีความหมาย

“ท่านพ่อ อีกไม่นานพวกเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างอบอุ่น แน่นอนว่านางเข้าใจความเศร้าโศกของบิดาได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม นางเชื่อว่าครอบครัวของนางจะได้อยู่กับพร้อมหน้าในไม่ช้า

“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ให้กับเจ้าและโม่ฉือ”

ฉินเทียนพยักศีรษะพร้อมรอยยิ้มและหยุดคิดเรื่องเศร้าต่างๆ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว แม้ว่ามีข้าเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเจ้า ข้าก็หวังว่าเจ้าจะมีความสุขและพบแต่สิ่งดีๆในอนาคตต่อไป ข้าเห็นแล้วว่าหานโม่ฉือดีกับเจ้ามาก การที่เจ้าได้เป็นภรรยาของเขา ข้าก็รู้สึกโล่งใจมาก ทว่าพ่อยังมีบางอย่างต้องบอกเจ้า..”

ฉินเทียนสบตาบุตรสาวก่อนกล่าวต่อ “ถ้าหากวันหนึ่งหานโม่ฉือรังแกหรือทำให้เจ้าเสียใจ จงจำไว้ว่าเจ้ายังมีพ่อและสหายญาติมิตรคนอื่นๆอีก และเมื่อเกิดเช่นนั้นขึ้นจริงๆ ข้าก็จะไปหาหานโม่ฉือและสอนบทเรียนให้เขารู้สำนึกด้วยตัวเอง”

“ท่านพ่อ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ หานโม่ฉือไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”

เมื่อได้ยินวาจาของบิดา ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาบ่งบอกถึงความรักอย่างแท้จริงที่บิดามีต่อตนเอง

ในชีวิตก่อนของนักฆ่าสาว นางเป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้จักความรักจากคนในครอบครัว ทว่าในชีวิตใหม่นี้ แม้ว่านางไม่เคยพบมารดามาก่อน นางก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักที่ลึกซึ้งที่มีต่อนางแล้ว

หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่นี่ ฉินอวี้โม่เชื่อว่ามารดาต้องรักนางไม่น้อยไปกว่าฉินเทียนอย่างแน่นอน

“เฮ้อ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ไม่เคยคิดเลยว่าภายในพริบตา เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบยี่สิบปีแล้ว”

ฉินเทียนถอนหายใจเบาๆ

เมื่อสวมกอดบุตรสาว ฉินเทียนก็รู้สึกไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

“ท่านพ่อ อย่าปลงตกไปเลยเจ้าค่ะ ข้าก็แค่แต่งงานเท่านั้น ข้าไม่ได้ทิ้งท่านไปไหน ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ยังเป็นบุตรีคนเดิมของท่านเสมอ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและทำหน้าทำตาเหมือนเด็กน้อย

“ใช่ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อเสมอ”

ฉินเทียนหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาวซึ่งปัดเป่าความเศร้าใจไปจนสิ้น

“ออกไปข้างนอกกันเถอะ ข้าว่าโม่ฉือคงรออยู่แล้ว”

ฉินเทียนยิ้มเบาๆในขณะที่ฉินอวี้โม่เกาะแขนของเขาและเดินออกไปนอกประตู

เมื่อมาถึงลานด้านหน้า ทั้งสองก็ได้พบกับหานโม่ฉือและคนอื่นๆที่กำลังรออยู่ก่อนแล้ว

เมื่อสตรีชุดแดงผู้งดงามมาถึง ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายขึ้นทันที

“โอ้.. ข้าเสียดายจริงๆ ทำไมข้าไม่ได้พบกับอวี้โม่ก่อนหน้านี้กันนะ”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวอย่างขบขัน ในความเป็นจริง เมื่อได้พบสตรีอย่างฉินอวี้โม่ นับว่าเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไม่ชื่นชอบ เพียงแต่พวกเขาควบคุมความรู้สึกของตนเองได้และไม่แสดงมันออกมาให้เห็น

แต่เมื่อเทียบกับหานโม่ฉือผู้แกร่งกล้า พวกเขาก็รู้ ไม่ว่าพยายามฝึกฝนเพียงใดก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนข้างกายฉินอวี้โม่ได้อย่างหานโม่ฉือ

ฉินอวี้โม่ผู้นี้เก่งกล้าสามารถอย่างที่สุดและพวกเขาก็พึงพอใจแล้วที่ได้เป็นสหายของนาง

“เอาเถอะน่า ต่อให้พบกันก่อน มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”

ฉินจ้านอดเอ่ยออกมาไม่ได้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆๆ ถึงอย่างไรแล้วข้าก็ถือว่าเป็นพี่ชายของนาง ข้าอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้จริงๆที่จะได้เห็นน้องสาวแต่งงาน”

“ใช่ว่าเจ้าแต่งงานเองสักหน่อย เจ้าจะตื่นเต้นไปทำไมเล่า?”

ฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็หยอกล้อออกไปอย่างขบขัน

ขณะนี้ หานโม่ฉือเดินตรงไปหาฉินเทียนและฉินอวี้โม่ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งทันทีและยื่นมือไปหาฉินอวี้โม่

“โม่ฉือ จากนี้ไป ลูกสาวของข้าจะอยู่ในการดูแลของเจ้าแล้ว หากเจ้ารักนางก็จงดูแลนาง รักนางให้มากและห้ามทอดทิ้งนางเป็นอันขาด ทว่าหากเจ้ากล้าทำให้นางเสียใจ อย่ากล่าวโทษว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”

ฉินเทียนจับมือฉินอวี้โม่วางลงบนมือหนาของหานโม่ฉือ แม้ว่าเขาเชื่อมั่นในตัวบุรุษผู้นี้ เขาก็ยังกล่าวเชิงข่มขู่ออกไป

“ท่านพ่อตา ไม่ต้องห่วงเลยขอรับ ข้ายอมสูญเสียโลกทั้งใบดีกว่าสูญเสียนาง หากข้าทำสิ่งใดให้โม่เอ๋อร์ต้องเสียใจ ข้าก็ขอให้จิตวิญญาณของข้าสูญสลายและไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีก”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

นี่คือความคิดอันแน่วแน่ของเขา แม้ว่าฉินอวี้โม่รู้ดีอยู่แล้ว เขาก็ยังอยากประกาศให้โลกได้รู้

หลังจากปัญหาทุกอย่างสิ้นสุด เขาจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ให้สมฐานะของฉินอวี้โม่

แม้ว่ารู้ความคิดของบุรุษคนรักอยู่แล้ว ฉินอวี้โม่ก็ยังซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินวาจาหนักแน่นของเขา

มือบางของนางจับมือหานโม่ฉือไว้แน่นและสัมผัสถึงความอบอุ่นและความมั่นคงจากเขา ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ถึงความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไปกันเถอะ ไปที่ลานด้านนอกกันก่อนเถอะ วันนี้มีแขกผู้มีเกียรติรอเราอยู่มาก ไปทักทายพวกเขาก่อนและค่อยเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว”

ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มพร้อมเอ่ยย้ำกับฉินอวี้โม่และคนอื่นๆว่าได้เวลาไปทักทายแขกผู้มีเกียรติที่มาเข้าร่วมงาน

ฉินอวี้โม่และทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงและหานโม่ฉือก็จับมือนางเดินตรงไปที่ลานด้านหน้า

ลานของเรือนตระกูลซูในวันนี้ก็คึกคักอย่างยิ่ง สาเหตุที่เมืองเฟิงอวิ๋นเงียบเชียบผิดปกติเป็นเพราะทุกคนที่ยังอยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นต่างก็ได้รับคำเชิญให้มาเข้าร่วมงานที่เรือนตระกูลซูแห่งนี้

แม้ว่าเรือนที่พักของตระกูลซูจะกว้างขวางพอสมควร วันนี้ก็มีคนมารวมตัวกันที่นี่มากเกินไปจนพื้นที่กว้างเริ่มแออัดในช่วงเวลาหนึ่ง

ทันทีที่ฉินอวี้โม่เดินออกมา นางก็พบคนที่คุ้นหน้าคุ้นตามากมาย

ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกคนรู้จักจากตระกูลเฟิง ตระกูลฉู่ สมาคมช่างหลอม เย่าเหยียน—ประธานสมาคมโอสถ ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรและประธานสมาคมทหารรับจ้าง ทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่นี่

แน่นอนว่าหยินหึนเองก็มาที่นี่เช่นกันและยิ้มกว้างด้วยความยินดี ถัดจากเขามีบรรดาผู้อาวุโสของขุมกำลังเอกพิภพที่ยืนเรียงกันทีละคนและมีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าครั้งแรกที่ได้พบกับหลานสาวจะเป็นวันแห่งความสุขเช่นนี้”

บุรุษวัยกลางคนที่ดูคล้ายกับฉีอวิ๋นเหล่ยเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาน่าจะเป็นบิดาของฉีอวิ๋นเหล่ย—ฉีเจิ้น

“ใช่แล้ว ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉินอวี้โม่มานานทว่ายังไม่มีโอกาสได้พบกัน เมื่อได้พบหน้ากันวันนี้ นางก็สมกับคำร่ำลือเหล่านั้นอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่เสี่ยวจวิ้นจะชื่นชมนางยิ่งนัก!”

บุรุษอีกคนเดินเข้ามา เขาไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็นบิดาของซูเสี่ยวจวิ้น—ซูเทียนหยา ผู้นำแห่งขุมกำลังไร้คู่เปรียบ

“คารวะท่านลุงทั้งสองเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มให้กับพวกเขาพร้อมกล่าวทักทาย

“นี่คือของขวัญแสดงความยินดีจากพวกเรา รับไปเถอะ”

ซูเทียนหยาและ…ฉีเจิ้นหยิบของบางอย่างขึ้นมาและยื่นให้กับฉินอวี้โม่ซึ่งถือว่าเป็นของขวัญที่พวกเขาเตรียมมาให้

ฉินอวี้โม่รับมันไว้อย่างไม่มีพิธีรีตองและเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ

แน่นอนว่าคนอื่นๆก็นำของขวัญมาให้และกล่าวทักทายคู่บ่าวสาวพร้อมกล่าวอวยพรเช่นกัน

บรรยากาศในลานของตระกูลซูอบอุ่นและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง