***

มิเอลหวังว่าจะได้พบกับอาเรียหลังจากอาบน้ำเสร็จ แต่เธอก็ไม่สามารถพบอาเรียได้ง่ายๆ ตามที่หวัง เหตุเพราะอาเรียยุ่งเป็นอย่างมากนั่นเอง

“ยังไงก็มีนัดทานข้าวเย็นกับ…เคนอยู่แล้ว เลดี้เลยบอกให้เจอกันตอนนั้นเลย อีกอย่างจนกว่าจะถึงเวลานั้นน่ะ เลดี้ก็มีงานที่จะต้องทำเยอะมากเลยละ”

อาจเป็นเพราะมิเอลยังเด็กและอายุน้อยอยู่ แต่พอเป็นเคนแล้วนั้น การจะเรียกเขาด้วยชื่อเพียงอย่างเดียวอาจจะทำให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา แอนนี่ถึงได้หยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะต่อคำพูดให้จบ

เพราะเรื่องที่ได้ยินตอนอาบน้ำได้รับการยืนยันอีกครั้ง มิเอลจึงตกใจและยกมือขึ้นมาปิดปาก

“แล้วท่านพี่เคนล่ะ…”

“คนอย่างเธอมีอะไรให้น่าเอ็นดูกัน! คงจะรับประทานอาหารร่วมกันนั่นแหละ เพราะเลดี้สั่งให้ทำอาหารเพิ่มอีกสองที่ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”

แอนนี่แสร้งหัวเราะราวกับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ถึงอย่างนั้นมิเอลก็รู้สึกโล่งใจที่อาเรียยังทำเพื่อเคนและตัวเธออยู่ เธอจึงวางใจขึ้นมา

แม้จะหย่ากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่ครอบครัวก็ยังคงเป็นครอบครัวอยู่เหมือนเดิม แม้จะไม่ถูกใจห้องและเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาแบบสามัญชนก็ตาม แต่เธอก็พอใจแล้วที่อาเรียจัดเตรียมทุกอย่างให้เช่นนี้

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่แน่นอนว่ามิเอลไม่คิดที่จะอยู่เฉยๆ และเล่นเป็นสามัญชนไปเรื่อยๆ แน่นอน เธอคิดว่าจะขอให้อาเรียช่วยปรับเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ถูกใจให้ทีหลัง นั่นก็คือตอนเย็นของวันนี้นั่นเอง

“ยังไงก็ตาม ในระหว่างนั้นเลดี้มีงานต้องทำอยู่มากมาย เธอก็ใช้เวลาว่างให้คุ้มค่าสมกับที่รอคอยแล้วกัน เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะมีเวลาว่างอีกหรือเปล่า”

“…พี่อาเรียทำงานอะไรน่ะ”

แอนนี่ที่ตั้งใจจะหันหลังกลับไปหลังจากพูดจบ ถูกมิเอลรั้งไว้ด้วยคำถาม

อยู่ดีๆ มิเอลก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา ทั้งที่ไม่ได้ครอบครองอะไรสักอย่างแต่อาเรียกลับดูยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่างตลอดเวลา

และผลลัพธ์ที่อาเรียได้ก็คืออิทธิพลและความมั่งคั่งที่เกิดมาจากการลงทุนให้กับนักธุรกิจอายุน้อยที่มีอนาคต รวมถึงข้ารับใช้ในคฤหาสน์ทุกคนที่เธอเกลี้ยกล่อมให้มาอยู่ฝั่งเธอ

เมื่อก่อนมิเอลถือว่าอาเรียเป็นแค่คนต่ำต้อย และคิดว่าเรื่องที่ทำให้อาเรียยุ่งวุ่นวายเป็นเพียงเรื่องไร้สาระที่ไม่ได้สำคัญอะไร แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เธอรู้สึกสงสัยขึ้นมาจริงๆ

และหลังจากที่ถามออกไปแบบนั้น แอนนี่ก็ย้อนถามด้วยสีหน้าตกใจอย่างแท้จริง

“ถึงเธอจะติดคุกก็เถอะ แต่เธอไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ”

“…”

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเธอคือมิเอลที่คนร่ำลือกันว่าฉลาดและปราดเปรื่องที่สุดในบรรดาเลดี้ด้วยกันแท้ๆ แต่เพราะเธอไม่รู้อะไรเลยอย่างที่แอนนี่พูดจริงๆ จึงไม่ตอบโต้อะไรกลับไปแม้ตัวเองจะถูกดูหมิ่นอยู่ก็ตาม สิ่งที่มิเอลรู้ก็มีเพียงแค่ความรู้พื้นฐานทั่วไปที่พอจะอวดเบ่งคนอื่นได้เท่านั้น

และพอเธอไม่ตอบอะไรกลับไป แอนนี่ที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ ก็เริ่มพูดจาโอ้อวดออกมา

“เลดี้น่ะกำลังติดต่อกับทางราชวงศ์เรื่องหาคนมาแทนที่พวกขุนนางที่ก่อกบฏยังไงละ เพราะมีตำแหน่งและที่ดินที่ว่างอยู่เยอะเลยน่ะสิ”

“แล้วทำไมพี่อาเรียต้องทำหน้าที่นั้นด้วยล่ะ…”

เมื่อได้ยินคำตอบที่เหนือความคาดคิดเข้า มิเอลก็ถามกลับไปเช่นนั้น แล้วแอนนี่ก็ตอบกลับมาราวกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว

“ก็ตำแหน่งพวกนั้นน่ะ มีกำหนดการให้เหล่าขุนนางที่ได้รับการลงทุนจากเลดี้เข้าไปรับตำแหน่งแทนยังไงล่ะ! ถึงแม้จะไม่สามารถรับกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ถ้าไม่มีผลงานเด่นๆ ก็ตาม แต่ถ้ามีอำนาจมากพอที่ใช้ทดแทนเรื่องนั้นได้ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงก็ต้องมีคนคอยดูแลเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว เรื่องตำแหน่งก็เหมือนกัน ดูเหมือนทางราชวังจะขาดแคลนบุคลากรจึงจะนำคนที่มีความสามารถจากวิทยาลัยเข้ามาเพิ่ม ส่วนคนที่ยังมีความสามารถไม่เพียงพอก็จะถูกส่งไปเรียนที่วิทยาลัย ฉะนั้นความช่วยเหลือของเลดี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่สิ ถ้าไม่ได้เลดี้ช่วยแล้วละก็ ราชอาณาจักรอาจจะวอดวายไปแล้วก็ได้”

แม้แอนนี่จะตอบเกินจริง แต่ก็ถือว่าเป็นความจริงระดับหนึ่ง

เนื่องจากขุนนางในราชอาณาจักรถูกประหารไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคนที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทนตำแหน่งที่ว่างจึงเป็นเหล่าขุนนางระดับล่างที่รู้จักกับอาเรีย และในบรรดาสามัญชนก็มีคนที่มีความสามารถอยู่ด้วย จึงมีกำหนดการให้รวบรวมคนเหล่านั้นเข้าไปแทนที่เหล่าข้าราชการของฝ่ายขุนนางที่ถูกขับไล่ออกไป

เพราะเป็นข่าวลือที่รับรู้กันโดยทั่วไป จึงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไร และได้มีการออกคำสั่งอย่างเป็นทางการไปในบางส่วนแล้วด้วย

การเป็นคนของฝ่ายอาเรียก็เท่ากับเป็นคนของมกุฎราชกุมารนั่นเอง ดังนั้นการทำเช่นนั้นจึงง่ายต่อการครอบครองอำนาจที่แข็งแกร่ง เหมือนกับที่ฝ่ายขุนนางในอดีตรวบรวมอำนาจของตนไว้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อลดอำนาจของฝั่งราชวงศ์

“เอ่อ เพราะอย่างนั้นพี่อาเรียเลยทำหน้าที่เป็นตัวกลางของเรื่องนั้นเหรอ”

เพราะอาเรียกำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้ มิเอลจึงไม่สามารถซ่อนสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ได้

และนั่นก็ทำให้แอนนี่รู้สึกสนุกขึ้นมา แม้จะไม่รู้รายละเอียดมากนักแต่ก็แสร้งทำรู้ดีและโอ้อวดอาเรียออกมา

“นอกจากนั้นก็มีอะไรอีกตั้งเยอะเลยละ มากมายถึงขั้นที่เธอไม่สามารถจินตนาการได้ เพราะฉะนั้นแล้วเลดี้ไม่เหมือนกับเธอที่ถูกคู่หมั้นทอดทิ้งหรอกนะ ก็เลดี้น่ะคือคนที่สามารถกุมหัวใจของมกุฎราชกุมารได้เลยนี่นา”

ทั้งที่ชาติกำเนิดกับการเรียนรู้ต่างกันราวฟ้ากับเหวแท้ๆ

“อย่างไรก็ดี เธอควรจะขอบคุณที่ได้เวลาพักผ่อนสมกับที่คอยแล้วรออยู่เงียบๆ เสียดีกว่า เพราะอีกไม่นานวันที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ แบบนี้ก็จะมาถึง”

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องที่จะเล่ามีเพียงเท่านี้ หรือเพราะไม่มีอะไรจะพูดเหน็บแนมต่อ แอนนี่ถึงทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ฟังดูมีความหมายชอบกลแล้วออกไปจากห้องของมิเอล

“พี่อาเรีย…เป็นศูนย์กลางอำนาจเหมือนกับดัชเชสเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ…ทั้งที่เป็นแค่สามัญชนเนี่ยนะ…แถมยังเป็นลูกสาวโสเภณีอีกด้วย แต่ความเป็นจริงในตอนนี้ดัชเชสน่ะ…”

ไม่มีแม้แต่ลมหายใจอยู่บนโลกนี้แล้ว มิเอลเอาแต่โมโหกับการพูดจาเสียดสีของแอนนี่จนไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ พอได้รู้ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับอาเรียก็ทำให้เธอตกตะลึง และเอาแต่เหม่อมองไปในอากาศ พูดพร่ำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง

***

มื้อเย็นถูกเลื่อนออกไปช้ามาก เพราะอาเรียไม่ออกมาจากห้องด้วยสาเหตุอะไรสักอย่าง

เพราะเหตุนั้น เคนที่ถูกส่งตัวมาที่คฤหาสน์ในเวลามื้อเย็นตามที่อาเรียขอร้อง จึงต้องตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าคนรับใช้อยู่หน้าทางเข้าเป็นเวลานาน และเพราะเขาใส่เสื้อผ้าของเด็กรับใช้ยิ่งทำให้เป็นจุดสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

หากคิดตามอายุแล้วการเรียกเขาว่าเด็กรับใช้อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไร แต่เนื่องจากเขาเพิ่งจะเข้าไปทำงานในพระราชวัง จึงไม่มีทางเลือกอะไรนัก เพราะเหล่าคนใช้ทุกคนที่เข้าไปอยู่ในพระราชวังมักจะถูกเลือกเข้าไปตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเอง

และในกรณีที่เข้าไปหลังจากกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็แทบจะไม่มีเลย ดังนั้นจึงไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่สำหรับกรณีเช่นนั้น

“…ตายจริง”

“เธอบอกว่านั่นคือท่านเคนเหรอ…”

“ระ รู้สึกเหมือนเห็นอะไรที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นเลย”

เมื่อได้เห็นคนที่ตนเองเคยเรียกว่าเจ้านายมาปรากฏตัวในชุดของเด็กรับใช้ไม่ใช่ชุดของสามัญชน ทุกคนจึงได้เอาแต่พูดว่าไม่น่าเชื่อซ้ำๆ กันราวกับพูดคำอื่นไม่เป็น

ถึงอย่างนั้นเหตุผลที่ไม่สามารถหยุดมองได้ ก็คือการที่ผู้ชายซึ่งอยู่ในวัยผู้ใหญ่ แต่กลับสวมใส่ชุดของเด็กรับใช้มันน่าตลกและดูแปลกนั่นเอง

หากไม่ใช่คนสติไม่ดีแล้ว ก็ไม่มีทางที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะเอาเสื้อผ้าของเด็กมาสวมใส่แน่นอน ถึงแม้ว่าขนาดของเสื้อผ้าจะพอดีตัวก็ตาม แต่รูปทรงและลวดลายก็บ่งบอกว่าเป็นเสื้อผ้าของเด็กรับใช้

และเคนก็รู้ถึงเรื่องนั่นด้วย เขาพยายามแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเอาชนะความอับอายได้ จึงปรายตามองพวกสาวใช้และเตือนให้พวกเธอหยุดมอง

“…มองอะไรกันนักหนา”

ทว่าก็ไม่เป็นผล

ไม่สิ เพราะเปลี่ยนนายได้ไม่นาน จึงมีบางคนที่หลบสายตาเขา แต่ส่วนใหญ่กลับเบิกตาโตมากกว่าเดิมและจ้องเคนกลับไป

นั่นเป็นเพราะข้างหลังมีคนที่คล้ายกับผู้ดูแลอยู่ด้วย พวกสาวใช้จึงคิดว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา เขาจะไม่ใช้กำลังกันเคนหรอกหรือ ในเมื่อนั่นคือหน้าที่ของผู้ดูแล

พวกสาวใช้ทำหน้าตาราวกับรู้ซึ้งถึงความจริงที่ว่าเคนและมิเอลทำการก่อกบฏ จนทำให้ตระกูลเคานต์โรสเซนต์อันมีเกียรติต้องล่มสลายลง

แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแล้วแต่อาเรียก็ยังไม่ลงมา จึงทำให้เคนต้องทนรับการเย้ยหยันและความอยากรู้อยากเห็นต่อไป ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

และเมื่อเวลาล่วงเลยจนดึกดื่นฟ้ามืด อาเรียก็ออกมาจากห้องแล้วลงมาที่ชั้นหนึ่ง

“ตายแล้ว ท่านพี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ น้องยุ่งมากไม่รู้อะไรเลยค่ะ”

แม้เจสซี่จะคอยรายงานให้เธอฟังไม่รู้ตั้งกี่ครั้งก็ตาม แต่อาเรียก็แกล้งทำไม่รู้ และค่อยๆ เดินเข้าไปหาเคนอย่างอ่อนโยน

“เดินทางมาคงเหนื่อยน่าดูเลยนะคะ เรารีบทานข้าวกันดีกว่าค่ะ บังเอิญท่านแม่ออกไปข้างนอก เห็นทีมื้อเย็นคงจะมีแต่พวกเราแล้วละค่ะ เจสซี่ ช่วยไปเรียกมิเอลให้หน่อยได้ไหม”

คำพูดอันอ่อนโยนของอาเรียทำให้เคนที่รู้สึกอับอายคลายสีหน้าลงได้

เธอเป็นคนช่วยให้เขาซึ่งมีส่วนร่วมในการก่อกบฏได้รอดพ้นออกมาจากลานประหาร และยังช่วยปูทางให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อไป อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เขาปลื้มใจได้อย่างไรเล่า

“ไปที่ห้องอาหารกันเถอะค่ะ ท่านพี่”

รอยยิ้มอันอ่อนโยนของอาเรีย ทำให้เท้าที่ก้าวไปยังห้องอาหารของเคนเบาขึ้น ราวกับได้เห็นการก้าวเท้าของเขาในอดีตตอนยังเป็นชนชั้นขุนนาง

เมื่ออาเรียและเคนมาถึงห้องอาหารได้ไม่นาน มิเอลก็ปรากฏตัวเข้ามาในทันที เมื่อได้เห็นท่าทางหอบหายใจที่ดูไม่ค่อยงามนัก ก็พอจะเดาได้ว่ามิเอลรอช่วงเวลานี้มานานมากแค่ไหน

“ท่านพี่! พี่อาเรีย! “

สายตาของเหล่าสาวใช้พุ่งมาที่มิเอลซึ่งส่งเสียงดังและหน้าแดงแจ๋

แม้ว่าในที่แห่งนี้จะไม่มีชนชั้นสูงอยู่ก็ตาม แต่ทำตัวดูไร้มารยาทสิ้นดี ทั้งๆ ที่ในอดีตเป็นถึงเลดี้ชนชั้นสูงผู้สง่างามแท้ๆ

ดูเหมือนมิเอลจะตื่นเต้นจนไม่ได้ใส่ใจต่อพฤติกรรมของตัวเองเลย เธอเข้าไปกอดเคนที่จ้องมองเธอด้วยแววตาแสดงความตกใจหนึ่งครั้งก่อนจะหันตัวไปทางอาเรีย

“พี่อาเรีย น้องอยากเจอพี่มาตลอดเลยค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ ขอโทษด้วยนะ พี่ยุ่งอยู่ตลอดเลย…ก่อนอื่นน้องนั่งก่อนเถอะ เราเริ่มทานมื้อเย็นกันก่อนดีกว่า”

ดูเหมือนเธอมีเรื่องอยากจะพูดอยู่มากมายสมกับที่ยากจะได้พบกัน แต่เพราะไม่สามารถพูดเรื่องโน้นเรื่องนี่ได้ทันที ขณะที่ยืนอยู่แบบนี้ มิเอลจึงพยักหน้าและนั่งลงบนที่นั่งของเธอ

“ถึงจะดึกไปมากแล้วแต่เราทานข้าวไปแล้วคุยกันไปดีกว่านะคะ”

อาเรียพูดเช่นนั้นแล้วตักสลัดเข้าปาก

เธอทำไม้ทำมือราวกับว่ากำลังยุ่งอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติและสง่างามมาก มากพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นแสดงความประทับใจออกมา เหตุใดเลดี้ของพวกเราถึงได้ดูสง่าในทุกอริยาบทได้เช่นนี้กันนะ

“…ก่อนอื่นพี่อยากจะขอขอบคุณที่ช่วยพวกเราไว้เช่นนี้”

เคนพูดออกมาก่อนเมื่อได้เห็นว่าอาเรียเริ่มรับประทานอาหารด้วยความเร่งรีบ เขาแสดงความขอบคุณสำหรับความพยายามอันเหน็ดเหนื่อยที่ผ่านมาของอาเรีย

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ”

เมื่ออาเรียตอบกลับมาว่านั่นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร สีหน้าของเคนก็ดูหมองลง นั่นเป็นเพราะเขารู้ซึ้งแล้วว่าการมีอาเรียอยู่เป็นเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากแค่ไหน

เคนพูดต่อ

“…ต้องขอบคุณเรื่องของท่านพ่อด้วยสินะ ก่อนหน้านี้ไม่นานพี่ได้ฟังคำอธิบายมาแล้วละ พอได้รู้สถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็แอบคิดว่าบางทีตำแหน่งของพี่ในตอนนี้มันอาจจะมากไปด้วยซ้ำ”

มิเอลที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เคนพูด ได้แต่ทอดสายตาไปทางเคนราวกับจะขอคำตอบ เธอได้แต่ตกใจกับสภาพที่ตัวเองต้องเผชิญ จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องของท่านเคานต์เลย จึงอยากรู้ว่าอาเรียให้ความช่วยเหลืออย่างไรกัน

“อะไรกันคะ นั่นน่ะไม่ใช่น้องหรอกค่ะ แต่เป็นหน้าที่ของท่านพี่ที่ต้องแบกรับเอาไว้ค่ะ”

“…ถึงอย่างนั้นก็เพราะน้องกับท่านแม่ช่วยเอาใจใส่ให้ละนะ”

ทว่าแทนที่จะได้คำตอบกลับมีแต่การแสดงความขอบคุณต่อไปเรื่อยๆ แทน มิเอลจึงทนไม่ไหวและถามถึงเหตุผลไปในที่สุด

“ตอนนี้ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านอยู่ที่คฤหาสน์หรือคะ”

เพราะเธอเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ท่านเคานต์ต้องตกอยู่ในสภาพอันเลวร้าย การที่เธอถามออกมาด้วยตนเองจึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก แต่เคนก็อธิบายให้อย่างอ่อนโยน

“ท่านพ่อ…อยู่ที่สถานพยาบาลน่ะ แม้แต่คฤหาสน์ของเคานต์โรสเซนต์ก็ถูกยึดเป็นสมบัติของราชอาณาจักร เลยทำให้ไม่มีที่ไป”

“…อย่างนั้นหรือคะ ค่อยยังชั่วค่ะ”

มิเอลที่ได้ทราบถึงสถานการณ์ของท่านเคานต์แล้วในตอนนี้ รู้สึกโล่งใจราวกับนั่นเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ เมื่อได้รู้ความจริงว่าพ่อที่เธอคิดว่าเขาถูกทอดทิ้งหลังจากหย่ายังคงอยู่อย่างปลอดภัย

ทว่ายังมีความจริงที่มิเอลยังไม่รู้อยู่อีก อาเรียจึงค่อยๆ บอกเรื่องนี้ให้เธอด้วยตัวเอง

“ไม่รู้สิคะ น้องกับท่านแม่ทำได้แค่ช่วยย้ายท่านพ่อให้เท่านั้นเองค่ะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายจนถึงตอนนี้และค่าใช้จ่ายในภายภาคหน้าทั้งหมด ท่านพี่ต้องเป็นคนรับผิดชอบนี่คะ”

“…เรื่องนั้นน่ะ ต้องขอบคุณที่ทางพระราชวังบอกว่าจะจ่ายเงินเดือนให้ อย่างไรก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก มิเอลเองก็ใกล้จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย”

ดังนั้นแม้จะมีภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลก็ตาม แต่ดูเหมือนเขากับมิเอลจะช่วยกันจ่ายเงินคืนไป ซึ่งนั่นก็หมายถึงจนกว่าชีวิตของท่านเคานต์จะจบลงนั่นเอง

“ท่าน ท่านพี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรือคะ…คงไม่ได้หมายความว่าจะช่วยกันคืนเงินนั่นกับน้องหรอกใช่ไหมคะ”

มิเอลไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่าตนเองจะต้องทำงานตลอดชีวิต เธอหน้าถอดสีและถามกลับไป แต่พอไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา เธอก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งและแผดเสียงออกมา

“แค่ แค่ท่านแม่กับท่านพ่อแต่งงานกันใหม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนี่คะ! “

คำพูดของเธอทำให้บรรยากาศในห้องอาหารตึงเครียดขึ้นมา

เพราะบรรดาสาวใช้หลายคนเคยเห็นคารินออกไปข้างนอกกับผู้ชายที่หน้าตาคล้ายกับอาเรียมาแล้ว แถมทั้งคู่ยังดูรักใคร่อบอุ่นกันดีเสียด้วย

หากมีผู้ชายที่ทั้งหนุ่มทั้งหน้าตาดี แถมยังอบอุ่นมากขนาดนั้นอยู่ข้างๆ ใครจะกลับไปแต่งงานกับท่านเคานต์ที่แม้แต่จะขยับตัวยังลำบากกันเล่า นอกจากนั้นยังเป็นผู้ชายที่หน้าตาคล้ายอาเรียมากจนใครที่เห็นก็ต้องมองว่าเป็นพ่อลูกกันอีกต่างหาก

แม้จะไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของโคลอี แต่ดูเหมือนเคนจะยอมรับและเข้าใจได้ว่าคารินไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับไปหาท่านเคานต์อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ท่านพี่คะ! นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน! นอกจากนั้นน้องยังออกห่างจากแอนนี่ไม่ได้ด้วยนะคะ! จะให้น้องทำงานได้ยังไงกัน! “

และมิเอลก็แผดเสียงออกมาอีกครั้ง แอนนี่ที่ไม่สามารถทนดูเฉยๆ ได้ ก็พูดแทรกบทสนทนาขึ้นมา

“เลดี้คะ ดิฉันขออภัยที่ขัดขึ้นระหว่างทานอาหารนะคะ แต่ขอดิฉันพูดอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”

หากเป็นเหมือนเมื่อก่อน แอนนี่อาจจะถูกดุด่าว่าเป็นคนใช้ที่ไม่รู้จักเจียมตัวพูดจาโผงผางไปแล้ว แต่ในตอนนี้ทุกคนอยู่ในชนชั้นเดียวกัน และแอนนี่ก็เป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในบทสนทนานี้ด้วย จึงไม่มีใครตำหนิเธอ

“ได้สิแอนนี่”

“ดิฉันเองก็ต้องค่อยๆ เตรียมตัวออกจากคฤหาสน์แล้วค่ะ ทำไมไม่ให้มิเอลเข้ามาเป็นสาวใช้แทนดิฉันล่ะคะ ยังไงมิเอลก็ต้องอยู่ใกล้กับดิฉันอยู่แล้ว และยังต้องทำงานหาเงินด้วยนี่คะ”

เมื่อได้รับอนุญาตจากอาเรีย แอนนี่ก็ค่อยๆ พูดคำที่เตรียมไว้ออกมา นี่เป็นการเริ่มต้นท่วงทำนองสุดท้ายที่มีแค่อาเรียเท่านั้นที่รู้ตอนจบของมัน

นี่โอกาสที่เธอสร้างมันขึ้นมาอย่างยากเย็นหลังจากรอคอยมานานแสน

และยังเป็นเป้าหมายของเธออีกด้วย

อาเรียยิ้มอย่างสดใส และชื่นชมแอนนี่ซึ่งพูดเรื่องที่อาเรียได้บอกเอาไว้ล่วงหน้าออกมาราวกับเป็นความคิดของตัวเอง

“เป็นความคิดที่ดีเลยนะ วันข้างหน้าท่านพ่อกับท่านพี่เคนและแม้แต่มิเอลจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเสียที”

และสิ่งที่มีความสุขมากที่สุด ก็คือการที่อาเรียได้เริ่มเกมนี้ขึ้นมาแล้วนั่นเอง

……………………………………………………