บทที่ 96 ความรู้สึกที่พูดไม่ได้

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 96
ความรู้สึกที่พูดไม่ได้
“งั้นฉันจะรอเจอเธอทีหลังแล้วกันนะคะ” ไป๋เสวี่ยหลี่ยิ้ม
“แล้วแต่แล้วกัน!”
พวกเขากินข้าวกลางวันด้วยกันในบรรยากาศแปลกๆ ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดอะไรมากแต่มันก็สนุกดีที่ได้รู้ว่าอย่างน้อยก็มีเรื่องดีอยู่บ้าง

หลังจากนั้นชางกวนโม่ก็กลับไปที่บริษัท ในขณะที่ไป๋เสวี่ยหลี่ขับรถตรงไปที่วิลล่าของชางกวนโม่

ในวิลล่า มู่หรงเสวี่ยกำลังอ่านข้อมูลของเกมอยู่ในห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้า มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปมองอย่างมีความสุขแต่ก็ได้พบว่าเป็นไป๋เสวี่ยหลี่แทน รอยยิ้มที่ใบหน้าของเธอจางลงแล้วเธอก็เผยรอยยิ้มสุภาพ “เสวี่ยหลี่ไม่เจอกันนานเลยนะ…”

“ใช่ ไม่เจอกันนานเลย” เสวี่ยหลี่เองก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วก็เดินไปนั่งตรงข้ามกับที่มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่

“ลมอะไรหอบเธอมาถึงที่นี่ได้ล่ะ?”
“ฮ่าฮ่า ฉันรู้สึกเบื่อก็เลยแวะมาหาพี่โม่ที่นี่ ว่าแต่ มู่หรงเสวี่ยไม่ไปเรียนเหรอ? เธอมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย?”

“ฉันมาเมืองหลวงพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกับทางมหาวิทยาลัยน่ะ ฉันมาถึงได้สองวันแล้วล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น มู่หรงเสวี่ยก็เรียนเก่งมากเลยสิ?! ถึงได้เป็นตัวแทนของวิทยาลัยได้…” เธอไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะมีความสามารถขนาดนี้

“ฉันไม่ได้แข่งคนเดียวหรอก ว่าแต่เธอกินข้าวมาหรือยังล่ะ? ฉันจะให้ป้าหลินเตรียมอาหารให้เอาไหม?” นี่ก็เที่ยงแล้ว มู่หรงเสวี่ยจึงถามออกไป

“ฉันมาที่นี่หลังจากเพิ่งกินข้าวกับพี่โม่น่ะ พี่โม่ดูแปลกๆ ฉันบอกให้โทรชวนเธอมากินด้วยกันแต่เขาก็บอกว่าไม่อยากชวน ฉันรู้สึกเสียใจที่ต้องปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่นี่คนเดียวก็เลยแวะมาอยู่เป็นเพื่อนเธออย่างน้อยเธอก็ไม่รู้จักใครในเมืองหลวง…” ไป๋เสวี่ยหลี่พูดอย่างรู้สึกพอใจ ราวกับว่าไม่ได้เจอเธอมานานเลยอยากที่จะมาคุยเล่นกับเธอ

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกตกใจ พี่โม่ เขา…เมื่อวานก็ไม่ได้กลับมา เขากับเสวี่ยหลี่อยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?! เมื่อวานเช้าเขาก็ไม่สนใจเธอ หัวใจเธอก็รู้สึกเจ็บปวด…ถึงแม้เธอจะรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่หัวใจเธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอยู่ดี เธอรู้สึกว่ามันยากที่จะทน หัวใจเธอเหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาบีบไว้จนหายใจไม่ออก

ไป๋เสวี่ยหลี่ยังคงพูดถึงเรื่องเธอกับชางกวนโม่ไปเรื่อยๆ มองดูมู่หรงที่ตัวแข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆและมันทำให้เธอยิ่งพอใจมากขึ้นไปอีก

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยซีดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังต้องทำเป็นยิ้มเข้มแข็งไว้ หลังจากเรื่องทั้งหมดเธอจะหนีจากโชคชะตาไม่ได้เลยใช่ไหม?!! ในชีวิตที่แล้ว พวกเขาเป็นคู่รักกัน
เพราะจุดจบที่น่าเศร้าของชีวิตที่แล้ว ถึงแม้จะเป็นห่วงเรื่องความรักแต่เธอก็ระวังเรื่องนี้

หัวใจของเธอทนรับการถูกทำลายอีกไม่ได้แล้ว หัวใจเธอเหน็ดเหนื่อยเกินไป มันคงจะดีกว่าถ้าเธอจะกลับเข้าไปในเกราะของตัวเองและไม่เปิดให้ใครเข้ามา เพื่อที่คนอื่นจะได้ทำร้ายเธอไม่ได้อีก

“มู่หรงเสวี่ย ฟังอยู่หรือเปล่า?” เสวี่ยหลี่โบกมือตรงหน้ามู่หรงเสวี่ย
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติกลับมา “ฟังอยู่สิ…”

“ฉันกำลังบอกกับเธอว่าพี่โม่เป็นคนโปรดของฉันเลยนะ…” เธอจะค่อยๆเข้ามาแทรกและสักวันรอยแยกระหว่างพวกเขาสองคนก็จะเริ่มใหญ่ขึ้นๆ…ก่อนหน้านั้นเธอโง่เกินไปที่ไปช่วยเพิ่มความรักของพวกเขาให้มากขึ้น

หลังจากเวลาผ่านไปนาน ชางกวนโม่ก็กลับมาที่วิลล่า
มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่อยากที่จะกล่าวทักทายแต่ไป๋เสวี่ยหลี่รีบเดินเข้าไปก่อน เธอเกาะแขนชางกวนโม่ไว้แน่น “พี่โม่กลับมาแล้ว ฉันนั่งรอพี่อยู่ตั้งนาน…”

ชางกวนโม่มองมาที่มู่หรงเสวี่ยที่ยังนั่งอยู่กับที่ ไม่พูดอะไรทั้งๆที่เขาไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อวาน เธอไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ?!! เขาได้ยินที่ชูอี้เสิ่นพูด ว่าเขาจะตั้งตารอ รออะไรงั้นเหรอ?! เขาทนมองเธอไม่ได้อีกจึงหันหน้ากลับมามองเสวี่ยหลี่ “อื่ม เพิ่งทำงานเสร็จ”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บปวดกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผู้หญิงทั้งมีเสน่ห์และก็น่ารัก ส่วนผู้ชายก็ทั้งหล่อทั้งสูง เธอมองไปที่ตาของไป๋เสวี่ยหลี่ด้วยความรู้สึกยอมแพ้ซึ่งทำให้เธอหายใจไม่ออก

เธออยากที่จะถามแต่คำพูดมันจุกอยู่ที่คอและหาช่องว่างที่จะอ้าปากพูดออกมาไม่ได้ คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเอาแต่คุยเรื่องอะไรบางอย่างกัน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาดูเหมือนราวกับว่าอยู่คนละโลกกับเธอเลย เธอไม่เคยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินขนาดนี้เลย เธอเหมือนบุคคลที่สามที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขา
เธอถอยหลังกลับไปนั่ง ตอนนี้เขาไม่เห็นหัวเธอแล้ว อย่างน้อยเธอก็ควรจะเหลือศักดิ์ศรีไว้บ้าง

ดวงตาของชาวกวนโม่ไม่ละจากมู่หรงเสวี่ยเลย เมื่อได้เห็นว่าท่าทางของเธอดูไม่ดีใจเมื่อเขากลับมาเลย เธอนั่งอยู่ที่โซฟาอย่างผ่อนคลาย แม้แต่สายตาเธอเดิมที่จับจ้องมาที่เขาก็เปลี่ยนเป็นหันกลับไปอ่านเอกสารที่อยู่ตรงหน้าแทน

ไป๋เสวี่ยหลี่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นท่าทางเหมอลอยของชางกวนโม่ เธอจึงดึงแขนเสื้อเขา “พี่โม่ เย็นนี้ฉันทำอาหารอร่อยๆให้พี่กินดีไหม พี่คิดว่าไง?!! ฉันไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ฉันยังจำได้นะว่าพี่โม่เคยช่วยฉันลองทำอาหาร…”

เมื่อพูดถึงอดีต ชางกวนโม่ยังจำเรื่องเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้จึงพูดตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “เธอโชคดีนะที่นั่นเป็นการทำอาหารครั้งแรก เธอเกือบจะทำครัวไหม้ไปหมด…”

“ฉันไม่ชอบเรื่องนี้เลยนะพี่โม่ ฉันถึงกับต้องยกเลิกนัดคนอื่นเลย แต่ตอนนี้ฉันทำอาหารอร่อยแล้วนะ…” เธอเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าถ้าอยากจะให้ผู้ชายคนไหนรัก ต้องทำอาหารอร่อยๆให้เขากินจนอิ่มท้องก่อน ในตอนนั้นเธอเชื่อว่าตัวเองอยากจะเรียนทำอาหารจริงๆแต่กลายเป็นว่าสร้างเรื่องน่าขำไว้เยอะแยะเลย
“ใช่ พี่ไม่เข้าใจเลย ถ้าในบ้านมีแม่ครัวอยู่แล้ว ทำไมจะต้องทำอาหารให้เหนื่อยด้วย…ทำไมเธอไม่นั่งสบายๆแล้วดูแลตัวเองล่ะ พี่จะได้สบายใจ…” ชางกวนโม่พูดออกมา

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยแดงระเรื่อแต่ไม่มีใครเห็น ครั้งหนึ่งเธอก็เคยทำอาหารให้ชางกวนโม่แต่เขาไม่เห็นพูดแบบนี้กับเธอบ้างเลย มันเป็นสิ่งที่ควรจะพูดกับคนที่ทำอาหารในเมื่อเธอต้องเหนื่อยทำอาหารให้เขากิน อย่างที่คิดไว้เลยว่าไป๋เสวี่ยหลี่เป็นคนพิเศษในหัวใจของเขา

เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว เธอไม่อยากที่จะนั่งดูคนสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน เธอไม่อยากที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ราวกับคนโง่

ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นและเดินขึ้นไปข้างบน เธออยากจะไปจากตรงนี้เร็วๆ…เธออยากที่จะออกไปจากที่นี่…ไม่งั้นเธอจะต้องบ้าแน่ๆ
ชางกวนโม่เห็นมู่หรงเสวี่ยรีบเดินขึ้นไปข้างบน ใจจริงเขาอยากที่จะเดินตามเธอไป แต่ไป๋เสวี่ยหลี่รีบดึงแขนเขาไว้ “พี่โม่ เสี่ยวเสวี่ยดูเหนื่อยๆ ปล่อยให้เธอไปพักดีกว่าไหมคะ?!”

ชางกวนโม่ถามอย่างสงสัย “วันนี้เธอทำอะไร? ทำไมถึงเหนื่อย?”
“ดูเหมือนว่าเสี่ยวเสวี่ยกำลังจะต้องเข้าแข่งขันวิชาการของทางวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยนานาชาตินี่แหละมั้งคะ? วันนี้ตอนที่ฉันคุยกับเธอ เธอก็ดูเหม่อลอย บางทีเธออาจจะเหนื่อยจากการเตรียมการแข่งขัน เธอไม่ชอบให้ฉันพูดเรื่องพี่โม่ ฉันรู้สึกแปลกๆ พี่โม่ พวกพี่มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า…” ไป๋เสวี่ยหลี่อธิบายออกมาช้าๆ

ไม่อยากให้พูดถึงเขางั้นเหรอ?! ดวงตาของชางกวนโม่เข้มขึ้น “ไม่มีอะไร…” สำหรับพวกเขาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจที่เป็นกังวลของเขาเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
“งั้นก็ปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยได้พักเถอะ พี่โม่นั่งกับฉันต่ออีกหน่อยนะคะ เราไม่ได้คุยด้วยกันมานานแล้ว ฉันมีหลายเรื่องเลยที่อยากจะถามพี่” ไป๋เสวี่ยหลี่รีบดึงชางกวนโม่ให้ไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอเองรีบเข้าไปนั่งใกล้ๆชางกวนโม่ เธอจะปล่อยโอกาสเล็กๆน้อยๆที่จะได้ใกล้ชิดกับพี่โม่ไปได้ยังไง

ชางกวนโม่นั่งลงที่โซฟาและถามออกมา “มีอะไรเหรอ? มีเรื่องอะไร?”

“พี่โม่ ฉันอยากจะหาอะไรทำสักหน่อย พี่จะว่ายังไงถ้าฉันจะตั้งบริษัทเครื่องสำอาง? ยังไงซะฉันก็เบื่อที่จะอยู่เฉยๆด้วย…” นอกจากนี้เธอก็เพิ่งรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยเพิ่งเปิดบริษัทที่ชื่ออ้ายเสวี่ยซึ่งสินค้าหลักก็คือผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เธอทนเห็นมู่หรงเสวี่ยรุ่งเรืองไม่ได้ แต่ก่อนเธอไม่เคยอยากที่จะเปิดบริษัทเลย ยังไงซะแค่ส่วนแบ่งจากตระกูลชางกวนก็เพียงพอให้เธอใช้จ่ายได้อย่างสบายแล้ว แต่ในตอนนี้อยู่ดีๆเธอก็มีแรงกระตุ้น เธอจะต้องทำได้ดีกว่ามู่หรงเสวี่ยแน่นอน ดีกว่าแน่ๆ

“เธออยากที่จะเปิดบริษัทงั้นเหรอ?! เปิดให้ยุ่งยากทำไม? ในเครือบริษัทของชางกวนโม่ก็มีบริษัทเครื่องสำอางตั้งมากมาย ถ้าเธออยากได้พี่จะยกบริษัทหนึ่งให้เธอดูแลก็ได้…”

“พี่หมายความว่ายังไง? ฉันอยากที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง ไม่อยากจะอยู่ภายใต้บริษัทของชางกวน อีกอย่างมันจะแตกต่างอะไรถ้าพี่จะยกบริษัทให้ฉัน…แล้วพี่โม่ก็ทรงอำนาจขนาดนี้ ฉันอยากที่จะพยายามเองเพื่อที่จะได้คู่ควรกับการเป็นน้องสาวของพี่โม่”

“ก็ได้ๆ ถ้าเธออยากที่จะเปิดใหม่ พี่จะโอนเงินเข้าบัญชีเธอจะได้ใช้เงินนี้ไปเปิดบริษัท ถ้ายังไม่มีพนักงาน พี่จะโอนบางส่วนไปให้เธอเอง คำถามคือเธออยากจะเปิดบริษัทเครื่องสำอางหรืออยากจะพัฒนาสินค้าของตัวเองขึ้นมาใหม่?” ถึงแม้ชางกวนโม่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของตระกูลชางกวน แต่เขาก็จะเปิดเผยสูตรลับของบริษัทตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะงี้เขาถึงถามออกไป

“ต้องเป็นการพัฒนาสูตรด้วยตัวเอง พี่โม่รู้จักใครที่มีความสามารถด้านนี้บ้างไหมคะ? ถ้ามีก็ช่วยบอกฉันทีนะคะ?” แน่นอนว่าเธอรู้อำนาจของชางกวนกรุ๊ปดี พี่โม่จะทำให้เธอขายหน้าได้ยังไง
“ได้ พี่จะหาคนให้แล้วให้เขาติดต่อเธอในอีกสองวัน…” ชางกวนโม่เริ่มนึกถึงคนมีความสามารถที่เขาเคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเขาจะยังว่างอยู่หรือเปล่า ไม่ว่ายังไงตราบใดที่เขาชดเชยให้ไป๋เสวี่ยหลี่ได้ เขาก็ยินดีที่จะทำ

“ดีเลยค่ะ พี่โม่ เมื่อฉันเริ่มตั้งบริษัท ฉันอาจจะมีหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ พี่ช่วยแนะนำฉันด้วยนะคะ พี่โม่อย่ารำคาญฉันนะคะ…”
“จะรำคาญได้ยังไงล่ะ?!! ขอให้บอก ถ้าพี่ช่วยเธอหาผู้ช่วยได้ พี่ก็ช่วยเธอแก้ปัญหาได้มากมายนะ…”