บทที่ 385 ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 385 ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

โฮะโฮะโฮะ

 

 

ขนาดนักพรตหญิงชินที่ปกติเยือกเย็นยิ่งกว่าอะไรดี ก็ยังไม่สามารถปิดบังความประหลาดใจได้อีกแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มมั่นใจว่าไม่เคยมีใครเปิดพลังปราณธาตุครั้งที่สองได้เหมือนเขามาก่อน

 

 

เพราะแบบนี้ไงเล่า แม้เขาอยากจะอยู่เงียบๆ แต่มันก็ทำได้ยากลำบากเหลือเกิน

 

 

หลินเป่ยเฉินอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว

 

 

แต่หลังจากนั้น นักพรตหญิงชินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “นี่เป็นเหตุผลที่เจ้าไม่ใส่กางเกงใช่หรือไม่?”

 

 

แววตาและสีหน้าของนักพรตหญิงผู้ได้รับการขนานนามว่างดงามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่งกลับคืนสู่ความสงบราบเรียบเช่นเดิมอีกครั้ง นางสำรวจมองร่างกายของหลินเป่ยเฉินโดยไม่เกิดปฏิกิริยาอื่นใด “เจ้ายังเป็นเด็กน้อยนัก… รีบไปหากางเกงสวมใส่เสียก่อนเถิด แล้วค่อยกลับมาพูดคุยกันต่อ”

 

 

หลินเป่ยเฉินเพิ่งนึกได้ตอนนี้เองว่าเขายังไม่ได้ใส่กางเกง

 

 

เด็กหนุ่มรีบเอามือกุมหว่างขาด้วยความเขินอาย

 

 

ไอ้ลืมใส่กางเกงนะไม่เท่าไหร่หรอก

 

 

แต่ว่า…

 

 

ทำไมนักพรตหญิงชินต้องมองเขาด้วยแววตาเหยียดหยามขนาดนั้น?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่เสียเวลาพูดอะไรอีกแล้ว เขาหมุนตัวเดินออกมาจากวิหารและรอคอยให้อาจารย์นำเสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าชุดใหม่มาสับเปลี่ยน ก่อนที่จะกลับเข้าไปพูดคุยกับนักพรตหญิงชินอีกครั้ง

 

 

 

 

ณ ดินแดนทวยเทพ

 

 

อากาศแจ่มใส

 

 

ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์

 

 

 ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงแดด

 

 

“เฮ้อ เจ้าลูกเต่าตัวนี้ไม่ไหวเลยจริงๆ เกิดมาข้าก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละว่ามีคนเอาเหรียญทองกลับคืนจากถาดบูชาด้วย”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตั้งใจว่าเมื่อพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินจบแล้ว นางจะเอาเหรียญทอง 20 เหรียญนั้นมาสักหน่อย แต่ที่ไหนได้ เด็กหนุ่มกลับหยิบคืนไปหน้าตาเฉย

 

 

ขี้งกเกินไปแล้ว

 

 

ดังนั้น ก่อนที่จะตัดขาดการสื่อสาร เทพีกระบี่หิมะไร้นามจึงอดสบถออกไปไม่ได้

 

 

นางได้แต่เฝ้ามองหลินเป่ยเฉินหยิบเหรียญทองคืนกลับไป และต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่แย่งเหรียญทองกลับคืนมา

 

 

“อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า ถือว่าทำบุญทำทานให้แก่หลินเป่ยเฉินก็แล้วกัน” เทพีกระบี่หิมะไร้นามพยายามปลอบใจตนเอง

 

 

อีกอย่าง นางก็พึงพอใจกับการแสดงของตนเองในวันนี้มาก

 

 

นางสามารถสวมบทบาทของเทพีกระบี่ได้เหมือนจริง

 

 

แม้แต่จอมเจ้าเล่ห์อย่างหลินเป่ยเฉินก็ยังไม่รู้ว่าตนเองโดนหลอก

 

 

ไม่ว่าออกคำสั่งอย่างไร เจ้าเด็กหนุ่มนั่นก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

 

 

ถ้าปล่อยให้เขารู้ว่าเทพีกระบี่ที่ตนเองกำลังติดต่อก็คือนาง…

 

 

อนาคตข้างหน้าก็คงไม่ได้ทำสิ่งใดร่วมกันอีกแล้ว

 

 

เมื่อตัดการสื่อสารกับรูปปั้นเทพีกระบี่เรียบร้อย เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข

 

 

นางกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วในทันใดนั้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป

 

 

ปรากฏลำแสงสีแดงเข้มสว่างเรืองรองอยู่บริเวณหว่างคิ้วของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม นางยกมือขึ้น พยายามโคจรพลังกดลำแสงนั้นให้ดับวูบไป

 

 

เทพีฝึกหัดลากนิ้วเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนหน้าผากของตนเอง มันเป็นค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง เพราะเมื่อบริกรรมคาถาเสร็จแล้ว ลำแสงสีแดงเหล่านั้นก็หายวับไปและมีหมอกควันกลุ่มหนึ่งลอยออกมาแทนที่

 

 

ผ่านไปช่วงเวลา 1 ก้านธูป บริเวณหว่างคิ้วของเทพีกระบี่หิมะไร้นามก็กลับคืนสู่ความปกติ

 

 

“เฮ้อ…”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามระบายลมหายใจออกมายาวแรง แต่ใบหน้าที่เคยสวยงามเริงร่าของนาง พลันซีดขาวปราศจากสีเลือดและปรากฏความเหนื่อยล้าขึ้นมาอย่างชัดเจน

 

 

“คงถึงเวลาแล้วสินะ…”

 

 

นางทิ้งตัวลงไปนอนอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

 

แล้วหัวใจก็กระตุกวูบ

 

 

ทันใดนั้น รอบกายของเทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ปรากฏลำแสงระเบิดเจิดจ้า มันแผ่รัศมีไปรอบบริเวณ เป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรี

 

 

นางไม่รู้เลยว่าลำแสงเหล่านั้นคงอยู่นานมากแค่ไหน ก่อนที่ตนเองจะสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้อีกครั้ง

 

 

ลำแสงรอบร่างกายดับวูบลงไป

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามกลับมามีสีหน้าแดงก่ำ ร่างกายกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวา ดวงตาถึงกับสดใสมากกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

“วันใหม่แล้วหรือนี่”

 

 

“ใช้เวลานานเหมือนกันแฮะ”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ หลังจากนั้น นางก็เริ่มต้นทำความสะอาดซากสัตว์ที่เข้ามาตายอยู่ในวิหารตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ต่อด้วยการเก็บกวาดไหสุราที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เพียงเท่านี้ก็ประหยัดค่าจ้างเทพเจ้าสำหรับทําความสะอาดได้อีกมากโข

 

 

“ไหสุราเปล่าพวกนี้ยังสามารถนำไปแลกเป็นสุรามาดื่มได้อยู่บ้าง”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามรวบรวมไหสุรากองใหญ่ออกไปตั้งไว้ที่ด้านนอกวิหาร

 

 

ใบหน้าของนางใต้แสงแดดสดใสแสดงออกถึงความสุขล้นปรี่

 

 

ไม่มีอีกแล้วชีวิตที่แสนเศร้า

 

 

เทพีฝึกหัดยืนอาบแดดอยู่ตรงนั้น รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์

 

 

“อิอิ วันนี้ช่างเป็นวันดี…”

 

 

ในระหว่างที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามกำลังซึมซับความสวยงามของชีวิต พลัน เสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นจากที่ห่างไกล หลังจากนั้น นางก็เห็นรถม้าเทพเจ้าคันหนึ่งวิ่งมาตามถนนดิน เวลาที่กีบเท้าม้าเหยียบย่ำลงไปบนพื้นถนน พื้นดินจะสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว เทพีฝึกหัดยิ่งยิ้มออกมาอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม ดวงตาเป็นประกายแวววาวขณะพูดว่า “ช่างเป็นวันที่เหมาะกับการร่ำสุราเหลือเกิน”

 

 

รถม้าเทพเจ้าคันนี้กำลังนำสุราชุดใหม่มาส่งให้นาง

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามใช้คะแนนศรัทธาที่เหลืออยู่จ่ายเป็นค่าสุราหมดสิ้น

 

 

สองเค่อต่อมา

 

 

รถม้าเทพเจ้าคันนั้นก็นำไหสุราที่ว่างเปล่าหลายร้อยใบกลับไปทางเดิม

 

 

ในวิหาร เทพีกระบี่หิมะไร้นามกำลังเปิดไหสุราเพื่อดื่มต่อจากเดิมอีกครั้ง

 

 

สิ่งที่นางเข้าใจว่าเป็นซากสัตว์ตายแล้วเมื่อสักครู่พลันลุกขึ้นเดินเข้ามาหานางได้อย่างมหัศจรรย์ ที่แท้พวกมันไม่ได้ตาย แค่สลบไปด้วยความมึนเมาเท่านั้น เทพีกระบี่หิมะไร้นามก้มหน้ามองสุนัขเทพและวิฬาร์เทพ รวมถึงวิหคเทพอีกหลายตัวเหล่านั้นที่กำลังแลบลิ้นเลียสุราที่หยดลงจากร่างกายของนางอย่างมีความสุข

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามเปลื้องเสื้อผ้าและนอนทอดกายอยู่บนพื้นพรมด้วยความสบายอารมณ์ ผมสีดำของนางพันกันยุ่งเหยิง ร่างกายขาวผ่องปราศจากชั้นไขมัน นับว่าเป็นเรือนร่างสมบูรณ์แบบของเทพเจ้าที่แท้จริง

 

 

ทันใดนั้น ลำแสงสว่างระเบิดเจิดจ้าออกมาจากหน้าผากของนางอีกครั้ง

 

 

คราวนี้ มวลพลังงานบางอย่างเริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างกาย

 

 

ประตูวิหารปิดสนิท ภายในห้องโถงบัดนี้มีม่านพลังปกคลุม เหล่าสรรพสัตว์เทพที่กำลังเลียสุราหยุดชะงักการกระทำทั้งหมด พวกมันเงยหน้ามองเทพีกระบี่หิมะไร้นามด้วยความพิศวง หลังจากนั้น พวกมันก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสว่างนั้น และไม่รู้เลยว่าโชคชะตาของตนเองกำลังจะเปลี่ยนไป

 

 

ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

 

 

 

 

ราตรีกาล

 

 

บนท้องฟ้าเกิดการระเบิดตัวของดวงดาว

 

 

ท้องฟ้าสีดำสนิทขับเน้นให้การระเบิดครั้งนี้มีความสวยงามเป็นพิเศษ

 

 

ราวกับว่าเทพเจ้ากำลังจัดแสดงการยิงดอกไม้ไฟก็ไม่ปาน

 

 

ณ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

 

 

นี่คือโรงเตี๊ยมชื่อดังที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

“หา? หมายความว่าอย่างไร? วันนี้โรงเตี๊ยมไม่รับแขก? เกิดอะไรขึ้น? ข้าเป็นลูกค้าประจำของที่นี่นะ ทำไมถึงไม่ยอมให้ข้าเข้าไป? ท่านอยากได้เงินเท่าไหร่ คิดว่าข้าไม่มีปัญญาจ่ายอย่างนั้นหรือ?” อู๋เฟิ่งกู เจ้าของสวนแตงโมชื่อดังยืนโวยวายอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม

 

 

กิจการสวนแตงโมของเขาเจริญเติบโต ทำให้ในขณะนี้อู๋เฟิ่งกูมีสถานะเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีประจำเมือง

 

 

แม้ว่าสถานะในครอบครัวอู๋เฟิ่งกูจะตกอยู่ในอำนาจของภรรยาโดยสิ้นเชิง แต่สำหรับผู้คนภายนอก เขาคือชายชราผู้ร่ำรวยที่เคยกินตำแหน่งขุนนางมายาวนานหลายสิบปี

 

 

หัวหน้าเด็กรับใช้รีบวิ่งมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ข้างหูอู๋เฟิ่งกู

 

 

หลังจากนั้น สีหน้าของอู๋เฟิ่งกูก็แปรเปลี่ยนไป เขาหันไปประสานมืออคำนับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง และหมุนตัวเดินจากไปในเงามืด

 

 

มีลูกค้าขาประจำของโรงเตี๊ยมอีกหลายคนที่ยืนรออยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเห็นกิริยาที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของอู๋เฟิ่งกู พวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าชายชราไปได้ยินอะไรมา

 

 

“กราบเรียนลูกค้าทุกท่าน วันนี้เรารับแขกไม่ได้จริงๆ มีการจัดงานเลี้ยงสำหรับขุนนางใหญ่ประจำมณฑลขึ้นที่นี่ ขอเชิญทุกท่านกลับบ้านโดยสะดวก”

 

 

เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเดินออกมาประสานมือขออภัยทุกคนด้วยตนเอง

 

 

จังหวะนั้น หน้าต่างของห้องรับประทานอาหารห้องหนึ่งที่ชั้นบนเปิดออกมา

 

 

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ตรงหน้าต่าง

 

 

“เดี๋ยวนะ นั่นมันบุตรชายของท่านเจ้าเมืองฉุยไม่ใช่หรือ?”

 

 

ใครคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

บุตรชายของท่านเจ้าเมืองมีนามว่าฉุยหมิงโหลว เขาเป็นคนจิตใจดี เคยออกหน้าช่วยเหลือชาวเมืองผู้เดือดร้อนมาแล้วหลายครั้ง นั่นจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้จักชายหนุ่มไปโดยปริยาย