ตอนที่ 1646 สังหารผมสีเขียว

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ภายใต้ความร้อนใจของหญิงสาว เสียงผิวปากดังขึ้น ปากบางเผยอออก พ่นหมอกลำแสงออกมาห่อหุ้มพัดที่อยู่ตรงหน้า

 

 

แต่หมอกโลหิตยังไม่ทันจมหายเข้าไปในพัด พัดหยกพลันเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ เสียงปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้น พลันกลายเป็นชิ้นๆ แล้วสลายหายไป

 

 

ยามนี้เปลวเพลิงสีเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลันกลืนกินเปลวเพลิงสีโลหิตไปจนเกลี้ยง

 

 

ชั่วขณะนั้นหญิงสาวที่อยู่ในลำแสงสีโลหิตก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา

 

 

พัดโลหิตไม่ใช่สมบัติธรรมดาๆ เปลวเพลิงสีโลหิตที่ปล่อยออกมาความจริงแล้วก็เป็นเปลวเพลิงหยินที่โหดเ**้ยมชนิดหนึ่ง โดยปกติแล้วหากโดนแค่นิดเดียว เกรงว่าต่อให้มีสมบัติวิเศษป้องกันตัว ก็ยังถูกพลังหยินกัดกินวรยุทธ์ไปอยู่ดี เป็นเพราะเริ่มกำเริบจากด้านใน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยากจะป้องกัน

 

 

ปกติแล้วเมื่อสตรีผู้นี้ปล่อยเปลวเพลิงออกมา ก็จะราบรื่นไปเสียทุกครั้ง

 

 

แต่เปลวเพลิงสีโลหิตยังไม่ทันเข้าใกล้หานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายปล่อยเปลวเพลิงประหลาดอีกชนิดออกมา กลืนกินไปจนเกลี้ยง จึงทำให้นางตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเพราะสมบัติชิ้นนี้เชื่อมโยงกับจิตใจ ลำแสงสีโลหิตบนผิวของนางจึงสั่นเทาอย่างหนัก ทนไม่ไหวกระอักโลหิตบริสุทธิ์ออกมา ทำให้หน้าซีดขาวมากขึ้นไปสามส่วน

 

 

ทว่านางกลับไม่กล้าหละหลวมเลยสักนิด เพราะวิหคเพลิงสีเงินฝั่งตรงข้ามเก็บปีกสีเงินที่สยายออกเต็มท้องฟ้าไปแล้ว และกำลังพุ่งเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน

 

 

หญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ขมวดคิ้วดำขลับ ฉับพลันนั้นก็ตบไปที่เอวบางของตนเอง

 

 

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตกลุ่มหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง กลับกลายเป็นน้ำเต้าสีแดงโลหิตขนาดเท่าฝ่ามือ

 

 

นี่คือสมบัติวิเศษที่นางใช้พึ่งพาอาศัยอีกชิ้นหนึ่ง

 

 

เห็นเพียงปากบริกรรมคาถา ปากน้ำเต้าเปิดออก พ่นลำแสงสีโลหิตออกมาจากด้านใน

 

 

หลังจากเสียง “ซู่” ดังขึ้น สิ่งที่ดูเหมือนน้ำตกโลหิตพลันไหลทะลักออกมา จากนั้นพลันกลายเป็นคลื่นยักษ์โลหิต แล้วม้วนวนไปทางวิหคเงินฝั่งตรงข้าม

 

 

กลิ่นคาวโลหิตโชยมาปะทะจมูก ในเวลาเดียวกันด้านในมีไอสีดำแฝงอยู่ แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกมา

 

 

เมื่อวิหคเพลิงกลืนวิญญาณเห็นวารีโลหิตกลับรู้สึกหวาดกลัวไปหลายส่วน ไม่ได้ใช้ร่างกายรับคลื่นยักษ์สีโลหิตไปตรงๆ แต่อ้าปากออกพ่นหมอกลำแสงสีขาวนวลออกมา

 

 

เมื่อหมอกสีขาวและวารีโลหิตปะทะกันกลางอากาศ ก็ตัดสลับพัวพันกัน คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงประหลาดๆ อย่าง “ฟู่ๆ” ออกมา วารีโลหิตส่วนหนึ่งกลายเป็นไอน้ำสีขาวแล้วสลายตัวไป

 

 

หมอกสีขาวคือสิ่งที่สร้างขึ้นจากเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำ เป็นเพราะเป็นสัตว์หยางบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวารีโลหิตธาตุหยิน จึงเป็นธาตุที่เป็นปฏิปักษ์กัน

 

 

ปากของวิหคสีเงินพ่นหมอกสีขาวออกมาไม่หยุด ส่วนวารีโลหิตที่น้ำเต้าสีโลหิตปล่อยออกมาก็ทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

หมอกสีขาวทำให้ระลอกคลื่นโลหิตระเหยไปจนเกลี้ยง หรือว่าวารีโลหิตทำให้หมอกสีขาวสลายหายไปจนเกลี้ยง ดูเหมือนจะต้องดูว่าระหว่างน้ำเต้าโลหิตและวิหคเพลิงสีเงิน ใครจะยืนหยัดได้นานกว่ากัน

 

 

ระหว่างทั้งสองจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

 

 

ทว่าสายตาของหานลี่แค่กวาดไปบนใบหน้าของหญิงสาวทีกระตุ้นน้ำเต้าโลหิตไม่หยุด ทันใดนั้นก็ละออก แล้วมองไปยังชนต่างเผ่าผมสีเขียวและชายชราแซ่เยี่ยนแวบหนึ่ง สุดท้ายแววตาก็ฉายแววเย็นชา แล้วตกอยู่บนเรือนร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียว

 

 

แม้ว่าสามคนนี้จะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด แต่เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายของชายชราแซ่เยี่ยนอ่อนแอที่สุด หญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตแข็งแกร่งที่สุด และพลังยุทธ์ของคนผู้นี้ก็อยู่ตรงกลาง

 

 

ขอแค่สังหารคนผู้นี้ได้ก่อน คิดดูแล้วการร่วมมือของทั้งสามก็จะล้มเหลวแล้ว

 

 

เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกขนนกสีแวววาวคู่หนึ่งปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันบนร่างก็มีลำแสงสีทองสว่างวาบ เกราะเกล็ดสีทองปรากฏออกมา

 

 

สยายปีกคู่นี้ คนก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งแล้วสลายหายไป

 

 

ในเวลาเดียวกันดอกบัวสีเขียวใต้ฝ่าเท้าของหานลี่แต่เดิมก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวร้อยสายพุ่งออกไป และแยกออกเป็นสองกลุ่มพุ่งไปหาชายชราและหญิงสาวในลำแสงสีโลหิต

 

 

ชายชราและหญิงสาวเห็นกระบี่ลำแสงเหล่านี้ เป็นลำแสงสีเขียวมรกต ไม่ทันได้มาอยู่ตรงหน้า เสียงไอกระบี่ที่แหวกผ่านอากาศก็ดังขึ้น หน้าพลันเปลี่ยนสีไป

 

 

ร่างของชายชราแซ่เยี่ยนพลันหมุนติ้วๆ จานอาคมสีเงินบินออกมาจากเรือนร่าง พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นสิบกว่าใบ ต้านทานกระบี่ลำแสงสีเขียวที่บินเข้ามาเอาไว้ด้วยลำแสงสีเงินระยิบระยับ

 

 

หญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตอ้าปากออก พ่นเส้นไหมสีโลหิตออกมา กลายเป็นเข็มบางๆ สีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน

 

 

เสียง “เกร๊ง” ดังขึ้น เข็มบางๆ ตัดสลับกันไปมากับกระบี่ลำแสงอีกระลอกหนึ่ง เมื่อทั้งสองปะทะกัน ก็ระเบิดออกเป็นดวงลำแสง

 

 

เช่นนั้นแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้ชายชราแซ่เยี่ยนจะต้านทานกระบี่ลำแสงสีเขียวเอาไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจไม่สนใจสิ่งอื่นได้อีก

 

 

ชนต่างเผ่าผมสีเขียวเห็นหานลี่หายลับไป ก็รู้สึกใจไม่ดี ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม หัวไหล่สั่นเทา ลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ขวานทองแดงสีเหลืองด้ามหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏออกมา

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะของเขาพลันมีเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสีเขียวปรากฏออกมา ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ และตบลงไปกลางอากาศ

 

 

เปลวลำแสงห้าสีทะลักออกมาจากปลายนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็ผนึกตัวรวมกันกลายเป็นมือยักษ์ห้าสี ตบลงมาอย่างแรง

 

 

และในเวลาเดียวกันนั้นเตานภาสูญที่เปล่งแสงเจิดจ้าอยู่ไกลออกไปก็เปล่งเสียงอึกทึกขึ้น เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมา แต่เมื่อบินออกมาจากปากเตา ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ชนต่างเผ่าเรือนผมสีเขียวระมัดระวังตัวอยู่ตั้งนานแล้ว เมื่อหานลี่ปรากฏตัว ก็ถูกจิตสัมผัสของเขากวาดมา เห็นมือยักษ์ห้าสีตบลงมา จึงกระตุ้นขวานทองแดงสีเหลืองที่เพิ่งสำแดงออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

ชั่วขณะนั้นขวานยักษ์พลันสั่นเทา แล้วระเบิดลำแสงสีเหลืองที่เจิดจ้าจนแสบตาออกมา กลายเป็นสายรุ้งสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่มือยักษ์

 

 

ขวานทองแดงด้ามนี้เป็นสมบัติวิเศษที่ชนต่างเผ่าผมสีเขียวได้มาจากซากปรักหักพัง ไม่เพียงจะแหลมคมมาก และยิ่งไปกว่านั้นยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาทำลายล้างโดยเฉพาะ หากเจอกับเคล็ดวิชาทมิฬแปลงกายธรรมดาๆ สับลงไปครั้งหนึ่งก็สำเร็จแตกออกในทันที

 

 

แต่มือยักษ์ห้าสีข้างนี้เป็นสิ่งที่หานลี่ใช้เปลวเพลิงลำแสงห้าสีผนึกขึ้น จะเทียบกับเคล็ดวิชาทมิฬธรรมดาได้อย่างไร

 

 

สายรุ้งสีเหลืองสับลงมา แค่ทำให้เปลวเพลิงบนผิวของมือใหญ่พลิ้วไหว ถึงได้แหวกผิวของมันออก แล้วสั่นเทาแต่ก็ไม่อาจปริแตกได้

 

 

ส่วนหานลี่พลันแววตาเปล่งประกาย กระตุ้นอาคมอย่างรวดเร็ว

 

 

ชั่วขณะนั้นมือยักษ์ห้าสีก็ขยายขนาดข้น นิ้วทั้งห้าประกบเข้าหากัน คาดไม่ถึงว่าจะตะปบไปที่ขวานทองแดงแน่น

 

 

ชนต่างเผ่าผมสีเขียวสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ลมปราณในร่างหมุนวน หมายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรออกมาอีก

 

 

และในตอนนั้นเองบรรยากาศรอบๆ พลันมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้น เส้นไหมสีเขียวปรากฏขึ้น แค่กะพริบวาบ เส้นไหมสีเขียวก็เคลื่อนย้ายไปรัดชนต่างเผ่าผมสีเขียวเอาไว้อย่างแน่นหนา

 

 

แน่นอนว่าชนต่างเผ่าพลันตกตะลึง กระตุ้นอาคมในใจอย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาจากเรือนร่างแล้วหมุนวน

 

 

แต่เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น

 

 

เมื่อเปลวเพลิงสีเขียวหมุนวนและขยายใหญ่ขึ้น เส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นกลับตามติดเหมือนแมลงเกาะกระดูก แค่กะพริบวาบกลับไม่ได้เผาไหม้หรือถูกทำลายเลยสักนิด

 

 

หานลี่ที่อยู่กลางอากาศมุมปากเผยรอยยิ้มเยาะออกมา มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ เสียงหวีดร้องดังขึ้น เตาใบเล็กใบหนึ่งปรากฏออกมา

 

 

คาดไม่ถึงว่าเตานภาสูญที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งจะถูกดูดเข้ามา

 

 

เขายกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น นิ้วพลันร่ายอาคม

 

 

เสียง “เกร๊ง” ราวกับระฆังดังขึ้นจากเตาใบนั้น

 

 

เส้นไหมสีเขียวที่เดิมพันรัดอยู่บนร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียว ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เส้นไหมสีเขียวรัดแน่นกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้ชนต่างเผ่าไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้

 

 

เมื่อลมปราณของหานลี่เพิ่มขึ้น อานุภาพของเตานภาสูญเองก็ไม่เหมือนกับในอดีต เรียกได้ว่าอัศจรรย์มาก

 

 

และในเวลาเดียวกันมือยักษ์ห้าสีเองก็ร่อนลงมาด้านล่างพร้อมกับเปลวเพลิงลำแสง

 

 

ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏออกมา ชั่วครู่ก็กดร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียวเอาไว้ และเปล่งเสียงระเบิดดัง “ตูมๆ” ออกมา ราวกับจะกดร่างของเขาจนแตกออกเป็นผุยผงได้ตลอดเวลา

 

 

นี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะที่ชนต่างเผ่าฝึกฝน เดิมทีกายเนื้อก็แข็งแกร่งมาก มิเช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ร่างกายคงแตกสลายไปภายใต้พลังมหาศาลตั้งนานแล้ว

 

 

ทว่าเช่นนี้ชนต่างเผ่าผมสีเขียวก็มีสีหน้าแดงก่ำราวกับโลหิต ทำได้เพียงเบิกตาโพลงพลางมองมือยักษ์ที่กำลังจะตบลงบนศีรษะของตน โดยไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักนิด

 

 

หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ศีรษะของชนต่างเผ่าก็ถูกตบจนเละราวกับแตงโม เส้นไหมสีเขียวบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป ร่างกายล้มลงไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งชีวิต พลางตกลงสู่พื้น

 

 

แต่เมื่อซากไม่สมบูรณ์ตกลงมาได้สองสามจั้ง เสียงอึกทึกก็ดังขึ้น ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงสีเขียวก็กระโจนออกมาจากศีรษะที่แตกละเอียด และเปล่งแสงสว่างวาบพลางสลายหายไป

 

 

ครู่ต่อมาอีกที่ห่างออกไปสามสิบจั้งเศษ ระลอกคลื่นพลันปรากฏออกมา เพลิงสีเขียวปรากฏขึ้น ด้านในมีของที่รูปร่างเหมือนคนตัวเล็กปรากฏขึ้นรางๆ

 

 

แต่ไม่รอให้คนตัวน้อยสำแดงการเคลื่อนย้ายอะไรอีก ฉับพลันนั้นตรงหน้าพลันมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่บินความยาวสองสามฉื่อปรากฏออกมา และสับลงมา การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

คนตัวเล็กไม่ทันได้หลบหลีกเลยสักนิดก็ร้องคร่ำครวญออกมาแล้วถูกสับออกเป็นสองส่วน แล้วกลายเป็นลำแสงสีเขียวพร้อมกับสลายหายไป

 

 

หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก กระบี่บินพลันพุ่งกลับมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่าง

 

 

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาพลันเลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวสวมชุดชาววังสีโลหิตและชายชราแซ่เยี่ยนที่อยู่ไกลออกไปด้วยความเย็นชา ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนและหญิงสาวเพิ่งถูกโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนมือไม้พันกัน แต่ย่อมเห็นฉากที่หานลี่แค่ปะหน้าก็สังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาได้อย่างง่ายดายเข้าอย่างจัง

 

 

ทั้งสองพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ และต่างก็มองเห็นแววตาหวาดกลัวของกันและกัน

 

 

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง เตาใบเล็กในมือพลันขยับแล้วเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

 

เสียงคำรามราวกับจามรีดังออกมาจากท้องฟ้าที่ไกลออกไป เสียงอึกทึกดังขึ้นไม่หยุด สั่นสะเทือนจนเสียดแก้วหู!

 

 

ทั้งสามคนล้วนตกตะลึง กวาดตามองไปทางนั้นพร้อมกัน

 

 

เห็นเพียงวารีสีดำและเมฆสีเพลิงที่เดิมกำลังตัดสลับพัวพันกันในยามนี้แยกออกเป็นสองส่วน และม้วนวนไปทางพวกเขาอย่างดุดัน

 

 

คลื่นยักษ์วารีสีดำ เมฆาเพลิงและเปลวเพลิงสีแดงกำลังโหมกระหน่ำ

 

 

เมื่อฉากที่น่าตกตะลึงนี้ ไม่ใช่แค่หานลี่ ชายชราแซ่เยี่ยนและหญิงสาวในลำแสงสีโลหิตก็หน้าเปลี่ยนสี

 

 

ทว่าเตาใบเล็กในมือของหานลี่พลันสลายหายไปโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางชายชราและหญิงสาวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

ทางด้านหญิงสาวลำแสงโลหิตเปล่งเสียงอึกทึกขึ้น ผิวของวิหคเพลิงสีเงินมีลำแสงไหลโคจรไปมา ฉับพลันนั้นพลันระเบิดออก กลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินเป็นดวงๆ แล้วสลายหายไป

 

 

เหนือศีรษะของชายชราแซ่เยี่ยน ยอดเขาสีดำที่กำลังกดเมฆาสีขาวนวลกำลังลดระดับลงมาอย่างช้าๆ มันพลิ้วไหวแล้วสลายหายไปราวกับภาพลวงตา