บทที่ 330 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 330 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (1)

เหนือคลื่นแม่น้ำเว่ยสุ่ย ภายใต้ท้องฟ้ารุ่งอรุณ เงาร่างที่สูงโปร่งใช้กระบี่ค้ำยันกำลังล่องเรือเข้ามา ฉากหลังเป็นทำนองเพลงอันไพเราะ พร้อมกับเสียงฉินที่น่าฟังเพราะพริ้ง

เหล่าชาวพื้นเมืองต้าฟ่งที่ไม่เคยเห็นการปรากฏตัวในแบบที่พกบีจีเอ็ม[1]มาเองต่างพากันตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาพยายามหรี่ตาลง อยากจะเห็นใบหน้าของชายผู้นี้ให้ชัดๆ ท่ามกลางแสงและเงาที่ผสมกันในยามรุ่งอรุณ

ในเวลานี้เอง แสงยามอรุณแรกส่องมาที่เรือนร่างของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหัวเรือ สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของชายชาตรี

“เป็นฆ้องเงินสวี่”

ในที่สุดก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ประชาชนที่อยู่ใกล้กว่าโห่ร้องดังลั่น

“เขาก็มาชมการต่อสู้ด้วยหรือ สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ การปรากฏตัวช่างแตกต่างจากกลุ่มคนธรรมดานี้ยิ่งนัก”

แม้ความคิดเห็นของชาวยุทธภพเมื่อครู่จะทำให้คนรู้สึกโกรธและผิดหวัง แต่ก็ยังมีคนชื่นชมอยู่เป็นจำนวนมาก

“สุนัขรับใช้กลับมาเสียที”

ปลายเท้าของยายตัวร้ายใช้เบาะรองไว้ เชิดปลายคางขึ้น มองออกไปที่ไกลๆ พลางกล่าวเสียงงึมงำ “ทำตัวเด่น จนแย่งบทบาทของทั้งสองท่านแล้ว ฮว๋ายชิ่ง รีบเรียกเขามาเร็วเข้า”

ในฐานะองค์หญิง นางไม่มีวันโห่ร้องตะโกนอย่างแน่นอน ดังนั้นหลินอันจึงยกหน้าที่นี้โยนให้แก่ฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิงขมวดคิ้ว จ้องเขม็งไปที่หัวเรือ สวี่ชีอันเข้ามาอย่างช้าๆ นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย

สวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ แม้ต้องการเป็นตัวเด่น แต่ก็มีเพียงตอนที่เขาจำเป็นต้องลงมือเท่านั้น เช่น คดีทุจริตการสอบจอหงวน และพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ เป็นต้น

ตัวเอกของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ครั้งนี้คือฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ตามหลักแล้ว ด้วยนิสัยของเขา ครั้งนี้ควรยืนอยู่ข้างตนเองกับหลินอัน หรือไม่ก็ยืนอยู่ข้างหญิงสาวคนอื่นๆ และเฝ้าดูอย่างยิ้มระรื่น

“เหอะ เจ้าเด็กคนนี้มีความช่างคิดดีนี่ ล่องเรือเข้ามาพร้อมกับเสียงฉิน การปรากฏตัวที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่ต้องใช้แรงอะไรก็เหนือกว่าฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินแล้ว”

เจียงลวี่จงยิ้มพลางส่ายหน้า และกล่าวติดตลก “หากไม่รู้คงคิดว่าเขาคือผู้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์เสียอีก”

‘หากไม่รู้คงคิดว่าเขาถึงจะเป็นตัวเอกของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์’…ปลายเท้าองค์หญิงรองอยู่บนเบาะ ทอดตาไปยังแม่น้ำข้างหน้า มองบุรุษที่ยืนอยู่บนหัวเรืออย่างภาคภูมิ รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ

สวี่ชีอันผู้นี้ นางไม่ชอบยิ่งนัก เจ้าชู้ลามก อีกทั้งเวลาหิวย่อมทานอะไรไม่เลือก ขอเพียงเป็นหญิงสาวเขาก็ชอบทั้งนั้น ทำการใดทั้งทำตัวเด่นและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว

ท่ามกลางฝูงชน สีหน้าของสวี่ซินเหนียนดูอึ้งเล็กน้อย รีบส่งเสียงกระแอมไอ อธิบายด้วยเสียงเบา “พี่ใหญ่ของข้า เอ่อ เขาค่อนข้างชอบเที่ยวเล่น และไร้เดียงสาราวกับเด็ก…”

ในความคิดของเขา การปรากฏตัวอย่างสูงส่งเช่นนี้ของพี่ใหญ่ ความจริงแล้วเป็นการทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดและน่าขายหน้ามากกว่า เป็นคนรับชมก็ควรอยู่ส่วนคนรับชม ดูการจับจ้องของกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้สิ ยิ่งทำตัวเด่นมากเพียงใด หากเดินคอตกเข้ามาแทรกอยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่ยิ่งน่าอับอายไปกันใหญ่หรือ

ในเวลานี้ เสียงสวดมนต์ที่แผ่วเบาดังไปทั่วทิศ เอาชนะเสียงวิจารณ์ที่ส่งเสียงดังได้

“พาดกระบี่ล่องเรือสีขาวในแม่น้ำเว่ย ไม่ใช่เพื่อศัตรูไม่ใช่เพื่อบุญคุณ”

‘เอ๋ ฆ้องเงินสวี่ท่องบทกวีอีกแล้ว เพื่อสร้างความสนุกในการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์อย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าเขาถึงได้ล่องเรือมา’ หลายคนเผยความประหลาดใจออกมา

ในฝูงชน ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดไม่มีใครเกินกว่าปัญญาชน ใช่แล้ว การต่อสู้ของสวรรค์มนุษย์ที่หกสิบปีมีให้เห็นหนึ่งครั้ง จะไม่มีบทกวีเพื่อเสริมความสนุกได้อย่างไร สวี่ซือขุยช่างมีความคิดที่ละเอียดอ่อนยิ่ง

‘สวี่หนิงเยี่ยนมาเพื่อมอบบทกวีหรือ ไม่เลว’…ฉู่หยวนเจิ่นในฐานะเป็นปัญญาชนพยักหน้าเบาๆ

‘ท่องบทกวีอะไรห่วยๆ เสียเวลาการต่อสู้ของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินโกรธแค้นในใจ ใบหน้ากลับแสยะยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนที่เป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินเหมือนกันกำลังสร้างความสนุกในการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อยู่

สวี่ชีอันเหลือบมองที่ผู้ชมรอบๆ และท่องต่อไป “หมื่นสนามรบขนามตนเองไม่กล่าวถึงคมมีด เกิดออกมาพร้อมกับดวงตาที่เหยียดหยามวีรบุรุษ”

หมื่นสนามรบขนามตนเองไม่กล่าวถึงคมมีด เกิดออกมาพร้อมกับดวงตาที่เหยียดหยามวีรบุรุษ…เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียง ‘อ๋า’ เสียงหนึ่ง บทกวีท่อนนี้ของสวี่ชีอัน สงสัยจะมีความประจบสอพอ แต่เขาที่เป็นปัญญาชน กลับรู้สึกดี และสุขใจยิ่งนัก

หลี่เมี่ยวเจินกลับรู้สึกว่า บทกวีท่อนนี้เขียนให้นาง มันค่อนข้างสอดคล้องกับประสบการณ์ที่นางปราบปรามโจรในอวิ๋นโจว

บทกวีของสวี่ซือขุยนั้น ยังคงน่านับถือเช่นเคย

ทุกคนนึกถึงพิธีต้าวฮวด ฉากที่เขาเหยียบทีละขั้นเข้าสู่เขตพุทธ ทุกประโยคต่างเป็นประโยคที่หายากยิ่ง และทำให้ผู้คนใจเต้น

ในระหว่างที่ทุกคนนึกถึงเหตุการณ์นั้นอยู่ ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็เปลี่ยนน้ำเสียง ทั้งมีความแค้นเคืองและมีความไม่ยอมแพ้อยู่หลายส่วน พลางกล่าวเสียงสูง

“ทนมองเด็กน้อยกลายเป็นคนมีอำนาจ โกรธาจนขึ้นสังเวียนแล้วลงมือ”

เสียงฉินเข้าจังหวะในหัวใจของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ทะลุทองคำและหินจนแตก ราวกับเป็นเสียงโห่ร้องก่อนการต่อสู้ หรือเสียงแตรให้สัญญาณก่อนเริ่มสงครามอย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของฉู่หยวนเจิ่นแข็งทื่อทันที ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองไปที่สวี่ชีอัน

ระดับสายตาของหลี่เมี่ยวเจินลดต่ำลงเล็กน้อย ไม่กี่วินาทีต่อมาจึงกลั่นกรองออกมาได้อย่างถ่องแท้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่ สวี่ชีอันต้องท่องผิดเป็นแน่

นางชำเลืองมองผู้ชมทั้งสองฝั่งโดยไม่รู้ตัว พบว่าหลายคนแปลกใจ และมีท่าทีสับสนไม่ต่างกัน

‘ทนมองเด็กน้อยกลายเป็นคนมีอำนาจ โกรธาจนขึ้นสังเวียนแล้วลงมือ’…ความหมายของบทกวีนี้คือ ดวงตาของข้ามองเด็กน้อยทั้งสองชักจูงความสนใจจากคนอื่น จนกลายเป็นผู้มีอำนาจในสายตาของทุกคน เขาจึงรู้สึกไม่พอใจ และตั้งการลงมือสั่งสอนพวกเขา

บัดซบ!

หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกโกรธขึ้นมา ไอ้หมอนี่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม แต่มาเพื่อยั่วยุโทสะต่างหาก

เสียงฉินดังขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดทีละน้อย สิ้นเสียง ‘ชิ้ง‘ ที่ดังแสบแก้วหู น้ำเสียงของสวี่ชีอันมั่นคง ราวกับว่ามีความมั่นใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ กล่าวช้าๆ ว่า

“ดาบแยกทางแห่งความเป็นและความตาย สองมือเข้าพิชิตสวรรค์และมนุษย์”

‘วู้…’

เสียงโห่ร้องไม่สามารถหยุดได้อีก เหล่าจอมยุทธ์กระซิบกระซาบ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เพื่อนำมาพิสูจน์ความหมายที่ตนเองเข้าใจจากบทกวี

“ฆ้องเงินสวี่คิดจะลงมือ? เขาคิดจะแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ และท้าสู้รบกับยอดฝีมือหนุ่มของสองนิกายสวรรค์และมนุษย์?”

“ใช้สองมือข่มสวรรค์และมนุษย์…แม้แต่คนที่ไม่รู้หนังสืออย่างข้า ก็ยังเข้าใจความหมายของบทกวีนี้ ไม่มีอะไรชัดเจนมากไปกว่านี้แล้ว”

ในชั่วพริบตา ชาวยุทธภพกลุ่มหนึ่งเพียงรู้สึกหนังศีรษะชาวาบจนขนหัวลุก ถูกการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้กระตุ้นจนตื่นเต้นไม่มีที่สิ้นสุด

“ฆ้องเงินสวี่ต้องการลงสนามเพื่อต่อสู้ ครั้งนี้ดีเหลือเกิน ทำให้ชาวยุทธภพที่มาดูเขาได้ทราบว่าวีรบุรุษแห่งต้าฟ่งของเราหาที่เปรียบมิได้”

เมื่อทราบว่าฆ้องเงินสวี่คิดจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ประชาชนทั่วไปต่างประหลาดใจไม่น้อย จากนั้นจึงตะโกนด้วยความมั่นใจออกมา สนับสนุนฆ้องเงินสวี่ให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ เอาชนะยอดฝีมือหนุ่มแห่งลัทธิเต๋า

ตบไปที่ใบหน้าของชาวยุทธภพที่ดูถูกเขาเหล่านั้นแรงๆ

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขายังหวังว่าฆ้องเงินสวี่จะสามารถพิสูจน์ตัวเอง เพื่อขจัด ‘ความสงสัย’ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขามีต่อฆ้องเงินสวี่ และกลับมายึดมั่นในความเชื่อของพวกเขา

ความรู้สึกนี้เข้าใจง่ายมาก ไม่ต่างจากยุคสมัยที่สวี่ชีอันคุ้นเคย นั่นคือวิสัยทัศน์ของวงการแฟนคลับ

ไอดอลบางคนต้องเผชิญความสงสัยที่แอนตี้แฟนสรรหาขุดออกมาตบหน้าไม่หยุด เหล่าแฟนคลับ (ประชาชนในเมืองหลวง) โกรธมากแต่กลับไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำได้เพียงพ่นคำสกปรกหรือขว้างก้อนหินใส่เท่านั้น

“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้บอกว่าความสามารถและพลังของสวี่ชีอันที่สำแดงในพิธีต้าวฮวด เป็นเพราะท่านโหราจารย์แอบช่วยเหลือหรอกหรือ” ฉ่ายเชินอีมองไปที่บิดา ถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ข้าแค่คิดว่ามันน่าสงสัย ไม่รู้เสียหน่อยว่าท่านโหราจารย์แอบช่วยจริงหรือไม่ อาศัยสวี่ชีอันเพียงลำพังคงไม่มีทางฟันกระบี่สองเล่มนั้นในพิธีต้าวฮวดได้ เขาเป็นเพียงทหารขั้นเจ็ด…หลังบรรลุระดับเพชรไร้พ่าย หรืออาจบรรลุสู่ขั้นหก ก็ยังคงมีความแตกต่างยิ่งนักกับตัวแทนทั้งสองของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์”

หลานหวนกล่าวอย่างราบเรียบ

‘นี่…เช่นนั้นเขาเอาความมั่นใจที่จะใช้กำลังของตนเองควบคุมทั้งสองนิกายสวรรค์และมนุษย์มาจากที่ใด? หรือเขาเดินบนถนนที่ราบเรียบเกินไป จนกลายเป็นคนหยิ่งยโสโอหังไปเสียแล้ว?’ กระบี่ผีเสื้อฉ่ายเชินอีแอบคาดเดาเงียบๆ

ไม่นานหลังจากนั้นนางเหลือบไปมองฝูงชนที่ตะโกน กล่าวในใจ ‘ยิ่งตอนนี้พวกเจ้าเร่าร้อนมากเท่าไร อีกไม่นานก็จะผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น’

‘การแสดงของสุนัขรับใช้ช่างน่าชม อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก สมแล้วที่เป็นผู้ที่ข้าอุปถัมภ์มากับมือ’…ยายตัวร้ายรับชมและฟังอย่างพอใจ จนกระทั่งเขาท่องบทกวีจบไปหนึ่งบท นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

สุนัขรับใช้คิดจะเข้าแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ ต่อสู้กับตัวแทนทั้งสองอย่างนั้นหรือ

ดวงตาของยายตัวร้ายเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นรีบหันศีรษะไปอย่างรวดเร็ว ถามฮว๋ายชิ่งที่อยู่ข้างๆ “สุนัข… สุนัขรับใช้จะต่อสู้กับพวกเขาหรือ”

ความตกตะลึงปรากฏขึ้นในดวงตาของฮว๋ายชิ่ง แต่ก็กลับมาราบเรียบดังเดิมราว ‘คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว’ เอ่ยถามกลับอย่างเฉยชา “แล้วอย่างไรเล่า”

“แต่เขาเป็นแค่ขั้นหก หรือว่า…ความจริงแล้วฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้อยู่ขั้นสี่?” ยายตัวร้ายตกตะลึงอยู่ในใจ หากเป็นเช่นนี้จริง สุนัขรับใช้อาจมีโอกาสชนะก็ได้

“ไม่พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินต่างก็อยู่ขั้นสี่อย่างแน่นอน” เจียงลวี่จงกล่าวเสียงขรึม

กลุ่มฆ้องทองคำพยักหน้า

พลังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่นั้น ทำให้พวกเขาดูออกถึงระดับขั้นของตัวแทนทั้งสองในการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์

“เช่นนั้น เช่นนั้นเขา…” ยายตัวร้ายมองไม่ออกแล้ว ทำได้เพียงสอบถามความคิดเห็นของ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เท่านั้น

หนานกงเชี่ยนโหรวส่งเสียงหัวเราะเย็นเยือก จากนั้นเอ่ยปาก “สวี่ชีอันไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างแน่นอน”

หยางเยี่ยนพยักหน้าช้าๆ “เขาอาจมีจุดประสงค์อื่น”

ฆ้องทองคำคนอื่นๆ ไม่ได้กล่าวอะไร แค่คิดเหมือนกับหนานกงเชี่ยนโหรว พวกเขาจำได้อย่างแจ่มชัด สวี่ชีอันเป็น ‘ผู้มีพรสวรรค์พิเศษ’ ช่วงที่เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฐานการฝึกตนก็อยู่ที่ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดแล้ว

ก่อนจะขยับขึ้นมาอยู่ระดับมาตรฐานที่ต่ำที่สุดของฆ้องทองแดง คือระดับหลอมปราณ

นี่ผ่านมายังไม่ถึงหนึ่งปี หากสวี่ชีอันสามารถแข่งขันกับสองคนนั้นได้ เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เขาอาจทำได้ในอนาคต แต่ไม่ใช่ตอนนี้อย่างแน่นอน

หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ พวกเขาจะยินดีตัดศีรษะและนำมาเตะเป็นลูกบอลเสีย

ในกลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ความรู้สึกเหลือเชื่อของหลี่อวี้ชุน ซ่งถิงเฟิง รวมทั้งจูกว่างเสี้ยวได้หลั่งไหลเข้ามาในใจของทั้งสาม ทุกคนต่างคิดว่านี่คือภาพลวงตา ไม่สมเหตุสมผล

ปีนั้น…ฆ้องทองแดงตัวน้อยในปีนั้น โตพอถึงขั้นสามารถต่อสู้กับขั้นสี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน

พระมเหสีสวมหมวกคลุมศีรษะ หันข้าง มองไปยังฉู่เซียงหลงที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฆ้องเงินสวี่นั่นมีโอกาสชนะกี่ส่วนหรือ?”

ภายใต้หมวกคลุม ท่าทางของนางห่างไกลจากน้ำเสียงที่ราบเรียบยิ่งนัก ดวงตาสง่างามที่กระฉับกระเฉงจ้องฉู่เซียงหลงเขม็ง

ฉู่เซียงหลงส่งเสียงหัวเราะเยาะ กล่าว “ไม่มีทางชนะพ่ะย่ะค่ะ แม้เขาจะฝึกตนระดับเพชรไร้พ่ายสำเร็จ แต่อันดับของเขาเมื่ออยู่ที่นี่ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าขั้นหก แต่ก็เทียบเท่ากับขั้นห้าเท่านั้น สำหรับขั้นสี่แล้ว ยิ่งไม่คู่ควรต้องกล่าวถึง

“เอ่อ พระมเหสีไม่ต้องสงสัยหรอกพ่ะย่ะค่ะ ความแตกต่างของขั้นสี่กับขั้นห้า แบ่งเส้นไว้จนไม่สามารถข้ามผ่านได้”

พระมเหสีเชื่อคำพูดของเขา และพยักหน้าเล็กน้อย

และในเวลานี้ เรืออูเผิงได้แล่นเข้ามาใกล้แล้ว ห่างจากตัวแทนทั้งสองไม่ถึงสามสิบจั้ง

ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ใต้เท้าสวี่ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องระหว่างนิกายมนุษย์ของข้ากับนิกายสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าเข้ามาแทรกแซงและวุ่นวาย รังแต่จะสร้างปัญหา”

เขากำลังเตือนสวี่ชีอันอย่างคลุมเครือ

หลี่เมี่ยวเจินเงียบ และส่งเสียงเบาๆ “ไอ้ทุเรศ ไสหัวไปทางนั้นเลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมาก่อเรื่อง ข้ารู้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนชักชวนให้เจ้ามาก่อเรื่องวุ่ยวาย ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น กล่าวเรื่องพลังที่แท้จริงของเจ้าตอนนี้ คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะเข้าแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างข้ากับฉู่หยวนเจิ่นได้?

“อย่าคิดว่าตนเองต่อสู้สูสีกับข้าครั้งก่อนได้ แล้วเจ้าจะคิดว่าสามารถประลองฝีมือกับข้าได้จริงๆ ตอนนั้นข้าไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เลย”

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าใช้กำลังเต็มที่แล้ว?” สวี่ชีอันส่งเสียงตอบกลับ เพิกเฉยต่อท่าทางโมโหของหลี่เมี่ยวเจิน พลางกล่าวเสียงดัง

“การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสวรรค์เป็นเรื่องสำคัญของยุทธภพ ทั้งสองท่านต่างก็เป็นบุคคลที่โดดเด่น ข้าน้อยไม่มีพรสวรรค์ จึงอยากจะเข้าร่วมศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ขัดเกลาวิชาการต่อสู้”

หยุดไปครู่หนึ่ง ตันเถียนของโชคชะตาก็ส่งเสียงสั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้อง กล่าว “การที่สวี่โหมวท้าทายนิกายมนุษย์นามลูกศิษย์ฉู่หยวนเจิ่น และนิกายสวรรค์ลูกศิษย์หลี่เมี่ยวเจินในครั้งนี้ หากเจ้าทั้งสองเอาชนะข้าได้ การต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์อาจจัดขึ้นตามกำหนดการ

“หากเอาชนะข้าไม่ได้ หึ ก็ค่อยลองกลับไปฝึกบำเพ็ญอีกสักสองสามปีดู แน่นอน ท่านทั้งสองไม่ต้องยอมรับคำท้าของข้าก็ได้ ถึงอย่างไรชื่อเสียงของสวี่โหมวก็แพร่หลายไปทั่ว จะเกรงกลัวก็เป็นเรื่องปกติ”

ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินเบิกตากว้าง กล่าวในใจว่าเจ้าเด็กนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไร นึกไม่ถึงว่าจะวางแผนเหยียบพวกเขาขึ้นแท่น

จ้วงหยวนฉู่กวาดสายตามองฝูงชนทั้งสองฝั่ง ส่งเสียงถาม “เอาเช่นไรดีเล่า?”

กล่าวถึงเรื่องนี้ ขอให้เป็นผู้ที่หวงแหนชื่อเสียงเท่านั้น ต่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองเป็นตัวแทนของสองนิกายสวรรค์และมนุษย์

“รับปากเขา จากนั้นเตะเขาออกไปเสีย” หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงตอบกลับ กล่าวฮึดฮัด “ข้าไม่มีโอกาสได้สั่งสอนเขาอยู่พอดี”

แม้มันจะทำให้เขาเสียหน้า แต่นี่เป็นเพราะสวี่หนิงเยี่ยนหาเรื่องเอง

หลังจบการสนทนา ตัวเอกทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน และตอบเสียงดัง “ตกลง เช่นนั้นก็ขอรับชมทีเด็ดของฆ้องเงินสวี่เสียหน่อย”

สวี่ชีอันยิ้มตาเป็นประกาย เหยียบหัวเรือ พลิกตัวลงมายืนริมฝั่ง

………………………………………………………

[1] หมายถึง แบ็คกราวน์มิวสิค หรือ ระบบเสียงที่เปิดเพลงเดียววนๆซ้ำๆไปมาหรือจะเปิดหลายเพลง จุดประสงค์เปิดเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้สถานที่นั้นๆ