เยี่ยโยวเหยาดึงแขนซูจิ่นซีอย่างแรง ร่างของซูจิ่นซีจึงล้มลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ทันใดนั้น มือกว้างใหญ่ข้างหนึ่งก็โอบรัดเอวของซูจิ่นซีไว้แน่น จนนางไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จากนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงใช้ร่างกายกำยำค่อยๆ กดทับร่างของนาง
“เยี่ยโยวเหยา! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ใช้มือปิดปากของเยี่ยโยวเหยา
แววตาของเยี่ยโยวเหยาฉายแววหยอกล้อ เขายกมือขึ้นและดึงมือซูจิ่นซีออกจากปาก
ไม่ว่าซูจิ่นซีจะขัดขืนมากเพียงไร นางก็ไม่อาจสู้แรงของเยี่ยโยวเหยาได้
ทำได้เพียงลืมตามองเยี่ยโยวเหยาคลายนิ้วมือของตนเองออกทีละนิ้ว
สุดท้าย เยี่ยโยวเหยาก็บีบนิ้วกลางของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา แววตาพลันเผยให้เห็นรอยยิ้มของผู้ชนะ
“ท่านอย่ามาเล่นลูกไม้! ”
“ข้าเล่นลูกไม้หรือ! ”
“ท่านไร้ยางอาย! ”
“ข้าไร้ยางอายหรือ? ”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านทำตัวไร้ยางอายยิ่งกว่านี้ได้หรือไม่! ”
“อืม! ” เยี่ยโยวเหยาพลันเลิกคิ้ว ก่อนจะลูบไล้นิ้วมือไปที่แก้มของซูจิ่นซี “ทำตัวไร้ยางอายยิ่งกว่านี้หรือ? พระชายาที่รักคิดจะให้ข้าทำตัวไร้ยางอายยิ่งกว่านี้อย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางเคลื่อนมือลงเบื้องล่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ มือของเขาเลื่อนผ่านมายังลำคอขาวนวลของซูจิ่นซี จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนลงไปปลดสายรัดเอวของนาง
ซูจิ่นซีตกใจเป็นอย่างมากและรีบเอ่ยห้ามปรามเยี่ยโยวเหยา ทว่ามือของนางยังไม่ทันแตะแขนของเยี่ยโยวเหยา ก็ถูกเยี่ยโยวเหยาจับมือพาดไว้เหนือศีรษะ
จากนั้น จุมพิตที่แสนดูดดื่มและดุดันก็คลอเคลียอยู่บริเวณลำคอขาวนวลของนาง ลมหายใจร้อนผ่าวนั้น ทำให้นางรู้สึกวาบหวามและร่างกายสั่นเทาด้วยความประหม่า
“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา ท่านปล่อยมือ ท่าน… ท่านปล่อยมือ”
“ท่าน… ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้… พวกเรา… ทำเช่นนี้ไม่ได้”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านปล่อยมือ หมุดกร่อนรักในร่างกายท่านยังไม่ได้รักษาให้หายดี พวกเรา… ทำเช่นนี้ไม่ได้… ”
เสียงพูดอู้อี้ของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นจากลำคอขาวเนียนของซูจิ่นซี
“ปล่อยหรือ? ข้าเคยหวาดกลัวสิ่งใดด้วยหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นถึงบุรุษ พระชายาที่รักอยู่ข้างกายข้า ทว่าข้าทำได้เพียงโอบกอด ไม่ได้ร่วมรัก เหตุใดข้าต้องยอมจำนน? ”
“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา… ” ซูจิ่นซีกังวลใจจนอยากร้องไห้
เสียงของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้นอีกครั้ง “ซีซี เจ้ากลัวหรือ? ”
“กลัว… ” ซูจิ่นซีเอ่ยคำว่า ‘กลัว’ อยู่ในลำคอ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เยี่ยโยวเหยาราวกับรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังจะพูดอันใด จึงพูดว่า “หากซีซีกลัวจริง เช่นนั้นเจ้าก็ลองขอความเมตตาจากข้า บางที… ข้าอาจให้อภัยเจ้าก็ได้! ”
“ขอร้อง… ”
ให้ซูจิ่นซีก้มหัวขอร้องผู้อื่นหรือ?
มันยากยิ่งกว่าบอกให้นางไปตายเสียอีก นับประสาอันใดกับเรื่องเช่นนี้ นางไม่มีทางปริปากแน่นอน
ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นคราบเลือดบนร่างของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นเอง นางก็นึกถึงสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ บาดแผลบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาคือบาดแผลที่ทำเพื่อนาง
มันทำให้นางเกิดความประทับใจ
แววตาของนางพลันเปล่งประกาย
เขาทำเพื่อนางตั้งมากมาย บัดนี้ เพียงให้นางอ้อนวอนเขาจะเป็นไรไป?
สุดท้ายแล้ว คนที่นางพูดอ้อนวอนก็ไม่ใช่ใครอื่น ทว่าเป็นสามีของนางเอง
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ หลังจากที่ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของนางก็อ่อนโยนขึ้นมาก “เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา หม่อม… หม่อมฉันขอร้องท่านเพคะ! ”
การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเยี่ยโยวเหยาพลันหยุดนิ่ง
ซูจิ่นซีฉวยจังหวะนี้ลุกขึ้นและรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อย
ทันใดนั้น มือของนางก็หยุดชะงัก
เมื่อครู่เยี่ยโยวเหยาเพียงหยอกเย้านางเท่านั้น ทำให้นางคิดไปเองว่าเขาได้ปลดสายรัดเอวเรียบร้อยแล้ว ทว่าเวลานี้ นางกลับพบว่าสายรัดเอวของนางยังเป็นปกติดี
เมื่อครู่ แท้จริงแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่ได้คิดทำอันใดนาง
ภายในใจซูจิ่นซีรู้สึกสับสน นางหันไปมองเยี่ยโยวเหยา เป็นเวลาเดียวกับที่เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตานาง
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีเอ่ยเรียก
เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปลูบไล้ใบหน้าซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นพระชายาของข้า ชั่วชีวิตนี้ เจ้าไม่ต้องขอร้องผู้ใด”
“เยี่ยโยวเหยา… เมื่อครู่… ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความอ่อนโยน
“ตั้งแต่เด็ก ข้ารู้จักเพียงการจับหอกดาบฆ่าฟัน ชาติบ้านเมือง และวิธีการบริหารบ้านเมือง จึงทำให้ขาดความอ่อนโยน ส่วนเรื่องความรักหนุ่มสาว ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเช่นไร ทว่าความสุขในห้องหอ ข้าจะค่อยๆ เรียนรู้และมอบมันให้เจ้า”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร
นางเจ็บปวดใจยิ่งนัก ทำได้เพียงอ้าปากอ้ำอึ้ง ทั้งยังรู้สึกว่าเวลานี้ ไม่มีคำพูดใดจะอบอุ่นไปกว่าการโอบกอดที่แสนอ่อนโยน
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยาและยื่นมือออกไปโอบกอดเขา นางอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขาราวกับแมวน้อย
เพื่อไม่ให้กระทบบาดแผลบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจึงตั้งใจทำอย่างนุ่มนวลเป็นพิเศษ ด้วยวิธีนี้ ร่างกายของซูจิ่นซีจึงแนบชิดเยี่ยโยวเหยาอย่างอ่อนโยน
“ซีซี… ”
“เพคะ? ”
“ขนย้ายสิ่งของทั้งหมดในเรือนอวิ๋นไคมาที่ตำหนักฝูอวิ๋น และอยู่ที่นี่กับข้าเถิด! ”
ให้นางพักอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋นกับเขาหรือ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น นางนิ่งเงียบถ่วงเวลาตอบ
เยี่ยโยวเหยาพูดเสริมอีกครั้งว่า “ข้าต้องการเห็นหน้าเจ้าในทุกวันทุกเวลา ไม่ต้องการแยกจากเจ้าแม้แต่วินาทีเดียว ซีซีวางใจได้ ข้ายังปรารถนาครองคู่กับเจ้าไปถึงร้อยปี! ดังนั้น ก่อนที่ปัญหาเรื่องพิษหมุดกร่อนรักจะได้รับการแก้ไข เตียงบรรทมใหญ่ในตำหนักฝูอวิ๋น ข้ายกให้เจ้า! ”
“…”
“ในช่วงเวลานี้ ข้าจะไปนอนที่ห้องทรงอักษร! ”
ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่ซูจิ่นซียังคงนิ่งเงียบด้วยความยินดี เรื่องนี้ก็ได้รับการตัดสินเป็นที่เรียบร้อย
เยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการอยู่ห่างจากซูจิ่นซีแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีอาศัยอยู่ในเรือนอวิ๋นไคซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยแปดเปื้อนคราบเลือดของเขา ดังนั้นพิธีมงคลก็เว้นไปก่อน และในวันนั้น เยี่ยโยวเหยาก็สั่งให้บ่าวในจวนขนย้ายข้าวของทั้งหมดของซูจิ่นซีมาที่ตำหนักฝูอวิ๋นทันที
ทั้งยังสั่งให้คนสร้างห้องพิเศษห้องหนึ่งขึ้นมาภายในตำหนักฝูอวิ๋น เพื่อให้ซูจิ่นซีจัดวางขวดต่างๆ ที่ใช้สำหรับปรุงยา
ยามพระอาทิตย์ตกดิน ขณะที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากำลังรับประทานอาหารอยู่ภายในเรือน พ่อบ้านก็พาบ่าวในจวนไปขนย้ายสิ่งของในเรือนอวิ๋นไคมาที่ตำหนักฝูอวิ๋น
บ่าวในจวนที่คอยดูแลอยู่หน้าประตูเดินมาหาพ่อบ้าน และพูดอันใดบางอย่าง พ่อบ้านจึงรีบเดินไปหาเยี่ยโยวเหยาและเอ่ยรายงานเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง คุณชายจิ่วสั่งให้คนนำยามามอบให้ท่านพ่ะย่ะค่ะ”
หากคำนวณตามเวลา ยาวิเศษที่จิ่วหรงหลอมคงได้เวลานี้พอดี
ซูจิ่นซีวางถ้วยในมือลง พลางลุกขึ้นด้วยความยินดี “รีบเชิญเข้ามา! ”
พ่อบ้านรับคำและเดินออกไปด้านนอกทันที
จิ่วหรงสั่งให้คนนำยามามอบให้ ต้องเป็นยาวิเศษที่ถอนพิษหมุดกร่อนรักแน่นอน ท่าทางเยี่ยโยวเหยาเป็นเหมือนกับซูจิ่นซี เขาวางถ้วยในมือ ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่แสดงความผิดปกติอันใด