ม้วนภาพโบราณได้เปิดออก วับบัติอัคคีทมิฬเริ่มที่จะแผดเผา แก้วสีครามละลายหายไปราวกับหิมะจากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มหมอกสีครามที่ค่อยๆจางหาง
ในระยะสิบลี้ได้เปลี่ยนไป แก้วสีครามในตัวซือหยูเริ่มหายไป
“วิชาระดับภูติ!”
ฉีเทียนโจวเบิกตาโพลง เขารีบหนีทันทีด้วยความกลัว เขาไม่กล้าแตะต้องวิบัติอัคคี
ถ้าหากเป็นร่างจริง เขาคงไม่ต้องกลัววิบัติอัคคีเช่นนี้ แต่เขาที่เป็นร่างวิญญาณจะต้องตายหากสัมผัสกับเพลิงนี้! วิบัติอัคคีนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเพลิงวิญญาณเสียอีก!
หลังจากที่ถอยหนีไปสิบลี้ ฉีเทียนโ๗วก็ใจเย็นลงได้และประเมินซือหยูอย่างเหมาะสมเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มคนที่ยากเกินจะรับมือเสียอีก!
ยังดีที่พลังชีวิตส่วนมากยังถูกผนึกอยู่ในร่างกายซือหยู นั่นจึงทำให้วิชาระดับภูติแสดงผลออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน มิเช่นนั้นฉีเทียนโจวก็คงจะเจอกับปัญหาใหญ่!
ตอนนั้น ซือหยูยังคงเพ่งสมาธิอยู่กับการกระจายแก้วในร่าง ทำให้นี่เป็นเวลาสมบูรณ์แบบที่จะสังหาร!
“ดี! ดีจริงๆ! เพลิงวิญญาณกับวิชาระดับภูติ…ข้าไม่สนแล้วว่าเจ้าจะมีสถานะเป็นอะไร วันนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว!”
จิตสังหารของฉีเทียนโจวหยั่งรากลึกลงไปอีก ไม่มีทางที่ชายหนุ่มคนนี้จะรอดไปได้!
ซูม
หุ่นเชิดสีครามถูกโยนขึ้นกลางอากาศ มันระเบิดพร้อมกับเสียงตะโกนของฉีเทียนโจว! โลกแก้วสีครามในระยะร้อยลี้ระเบิดไปกับมัน ทั้งขุนเขา แม่น้ำ ทุ่งหญ้า ป่าไพร พร้อมกับเหล่าสรรพสัตว์ที่ได้กลาเยป็นแก้วต่างระเบิดไปกับหุ่นเชิด
ภูเขาแตกเป็นชิ้นๆนับไม่ถ้วนเมื่อระเบิด เหล่าวิหคและสัตว์ป่าตกตาย ทุกอย่างกลายเป็นแก้วสีคราม มันเกิดขึ้นจากภายในมาถึงภายนอก แต่ทั้งหมดก็เทียบเท่ากับความตาย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการไม่มีทางที่ใครจะเป็นข้อยกเว้น!
เสียงแตกดังมาจากเลือดเนื้อของซือหยูที่กลายเป็นแก้ว เขาเองก็จะแตกสลายไปเช่นกัน
เขาถอนหายใจเมื่อคิดว่าตัวเองพยายามจนถึงที่สุดแล้ว เขาค่อยๆหลับตา แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงต่อหน้าต่อตาซือหยูก็ได้มีแสงสีทองอันคุ้นตาปรากฏขึ้นมาในความมืดมิด
แสงสีทองและเงาร่างของคนคนหนึ่งทำให้ซือหยูลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาตกใจมาก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
นั่นเป็นนาง สหายเก่าของซือหยู!
แสงสีทองโอบล้อมทุกพื้นที่รวมถึงซือหยู มันได้พาเขาออกไปจากโลกแก้วสีครามที่แตกสลาย
ซือหยูแทบจะไม่ได้ยินเสียงของฉีเทียนโจวที่ตกใจและโกรธแค้น เขาตะโกนชื่อหนึ่งออกมา
“ลู่จือยี่!”
ใช่แล้ว ในโอกาสสุดท้าย นางเลือกที่จะกลับมาช่วยซือหยู!
รอบๆซือหยูได้เปลี่ยนไป สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือร่างที่กำลังจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ นางดูตระการตาในแสงสีทอง
เมื่อเท้าของทั้งสองสัมผัสพื้น ของเขาก็หนีออกมาแล้วร้อยลี้ ที่นี่ไหม้เกรียม บังเอิญนักที่ที่นี่เป็นสถานที่ที่ซือหยูต่อสู้กับอสูร
“ขอบคุณนะ…”
ซือหยูพูดและยิ้มมองนาง
ลู่จือยี่พูดโดยไม่มองหน้าซือหยู
“อย่าเพิ่งได้ใจนัก ข้าแค่ไม่อยากให้แก่นแท้วิญญาณตกไปเป็นของฉีเทียนโจว ข้าเลยกลับมา”
นางแอบซุกมือลงในหลังชายผ้าของชุดที่สวม แต่ซือหยูก็มองเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆนี้
เขาเห็นแก้วสีครามที่ฝ่ามือนั้น มือซ้ายของนางได้กลายเป็นแก้ว!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ขณะที่การก่อตัวเป็นแก้วเริ่มเกิดขึ้นในระยะร้อยลี้ นางก็อยู่ในพื้นที่นั้นด้วย! นางเพียงแสร้งทำเป็นหนีออกมาต่อหน้าฉีเทียนโจว แต่แท้จริงแล้วนางซ่อนตัวอยู่ในความมืด นางถึงมาช่วยซือหยูทันในโอกาสสุดท้าย! นางไม่เคยตั้งใจที่จะทิ้งซือหยูเอาไว้!
“ขอข้าดูมือเจ้าหน่อย”
จิตใจซือหยูเริ่มอบอุ่นต่อนาง
แม้นางจะดูเย็นชาในภายนอก แต่จิตใจนางยังคงใจดีอย่างจริงแท้ นางทำให้ซือหยูคิดถึงหยูโหรวที่เป็นผู้กอบกู้ของเขาที่อัปลักษณ์ในภายนอก แต่มีหัวใจอันอบอุ่นอยู่ภายใน
“ข้าไม่เป็นไร…”
ความเห็นอกเห็นใจของซือหยูได้ละลายหัวใจลู่จือยี่ น้ำเสียงของนางอ่อนโยนลงมาก
ต่อมาคือความเงียบงัน ทั้งลู่จือยี่หรือซือหยูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา ซือหยูมองนางจากข้างหลังขณะที่นางมองออกไปยังทองนภาไกลโพ้น ทั้งสองยืนนิ่ง ความเงียบที่แบ่งปันกันนี้ช่างดีกว่าเสียงอื่นใด
เรื่องเมื่อครู่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองหายไป ความรู้สึกต่างๆค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมาช้าๆ
“ข้าจะไปแล้ว เจ้าดูแลตัวเองด้วย!”
ลู่จือยี่ไม่หันกลับมามองเขา
“ตอนที่เจ้ากลับไปที่ลานประลองลับสวรรค์ของจิวโจว ถ้าเป็นไปได้จงไปหาการปกป้องจากหยูฉิวฮั่ง ถ้าเขาเต็มใจจะช่วยเจ้า เจ้าอาจจะหนีจากภัยพิบัติได้!”
หยูฉิวฮั่งคือชายแก่ที่เชี่ยวชาญในการสร้างกลไกหุ่นเชิด เขาเคยพูดต่อหน้าทุกคนว่าตอนที่กลับไปยังลานประลองลับสวรรค์ คนที่คิดทำร้ายซือหยูจะต้องผ่านเขาไปก่อน และจากนิสัยของเขา เขาน่าจะเป็นคนรักษาคำพูด
ปัญหาเดียวก็คือซือหยูไม่ได้คิดจะกลับไปที่จิวโจว ดังนั้นการบอกลาของเขากับลู่จือยี่ในวันนี้คงจะเป็นการจากลาตลอดกาล
“เดี๋ยวก่อน”
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่ง วิญญาณของเขาเข้าไปในมุกวิญญาณเก้าหยก เขาถอนต้นอ่อนของไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อย่างระมัดระวัง เขาวางมันลงไปในกล่องหยกและยื่นมันให้กับนาง
“นี่เป็นของขวัญสำหรับเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่ข้าจะตอบแทนเจ้าได้”
ต้นอ่อนนี้เป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้สำหรับซือหยู มันคือวัตถุดิบสำคัญในการสร้างเพลงกระบี่เก้าสุริยาขึ้นมาใหม่
เขาเคยเข้าใจลู่จือยี่ผิดมาก่อน เขารู้สึกว่าเขาติดหนี้ที่นางช่วยชีวิตเขา และนี่ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้เจอกันในชั่วชีวิตนี้ ดังนั้นซือหยูจึงไม่เสียใจเลย
ทุกสิ่งที่เขามี สิ่งเดียวที่ลู่จือยี่จะสนใจอาจจะมีเพียงแค่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เท่านั้น ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่จะมอบให้นาง
“นี่มันอะไรกัน?”
ลู่จือยี่หันกลับมามอง แต่นางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“สองเมล็ดที่เจ้ามอบให้ข้า หนึ่งเมล็ดตายไป มีหนึ่งต้นที่โชคดีรอดมาได้ นี่เป็นของขวัญเพื่อเจ้า แล้วมันก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว”
ซือหยูยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อมอบมันให้กับนาง
ลู่จือยี่ตกใจมาก
“ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์รึ? เจ้าปลูกมันขึ้นได้ยังไง?”
นางสับสนเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้นไผ่นี้จะต้องใช้แก่นโลหิตของอสูรเนรมิตรเพื่อเลี้ยงดูให้โต และมันต้องใช้เวลาร้อยปีในการรดโลหิตทั้งวันคืน!
ซือหยูปลูกมันได้ยังไง?
ดวงตาขาวราวหิมะของนางดูแปลกใจและเป็นสุข ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นสำคัญกับนางมากจริงๆ!
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของซือหยู หัวใจของนางก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
“ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก ก่อนที่มันจะเสียคุณภาพวิญญาณไป เจ้าต้องหาที่ที่เหมาะจะปลูกมัน”
ลู่จือยี่หันไปจากซือหยูอีกครั้ง
ซือหยูแปลกใจ
“ทำไมกัน?”
เขาสงสัย ไผ่นี้เป็นของที่สำคัญกับนางมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่จือยี่หันมายิ้ม รอยยิ้มของนางงดงามราวกับแสงตะวันท่ามกลางเหมันต์ มันทำให้ความรู้สึกอันอบอุ่นเอ่อล้นออกมา
“ข้าได้สิ่งที่ข้าต้องการมาแล้ว ข้าพอใจแล้วล่ะ”
ลู่จือยี่ยิ้มอีกครั้งขณะที่พูดคำอันมีความหมาย จากนั้นนางก็บินขึ้นสู่นภากลับไปยังจิวโจว
ซือหยูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อมองร่างของนางที่ค่อยๆหายไป
“ลาก่อนนะ…”
ซือหยูพูดเบาๆอย่างขื่นขม
บางทีลู่จือยี่อาจจะคิดว่าทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้งที่ลานประลองลับสวรรค์ในจิวโจว นางไม่ได้รู้เลยว่าการอำลาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของทั้งคู่
ปั่ก
ทันใดนั้นเอง ม้วนคัมภีร์โบราณได้หล่นมาจากอกของซือหยูและกลิ้งไปกับพื้น