บทที่ 146 เส้นทางผ่านหุบเขา

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 146

เส้นทางผ่านหุบเขา

ลี่เฉียนเฟิงและลี่อิงเมื่อเห็นคู่แข่งจำนวนมากที่มีความตั้งใจแบบเดียวกับพวกเขาทั้งสองต่างรู้สึกถึงแรงกดดัน แม้ว่าทุกคนต้องผ่านแบบทดสอบเดียวกันเพื่อเข้าร่วมหอการค้าหยูเย่ แต่วรยุทธ์ของทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร นอกจากนี้ยิ่งมีคนสมัครเข้าร่วมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เกณฑ์การผ่านบททดสอบยากขึ้นเท่านั้น สองพี่น้องที่ตระหนักถึงความเป็นจริงในข้อนี้ทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตามท่าทีที่เป็นมิตรของโจวหลางที่ชักชวนพวกเขาเดินทางไปยังหลิงเฉิงพร้อมๆกัน ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน แต่ขอเวลาให้พวกข้าตัดสินใจกันอีกสักหน่อย หลังจากนั้นข้าจะมาให้คำตอบกับท่าน” ลี่เฉียนเฟิงยังไม่ตอบตกลงในทันที แต่น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความปีติยินดี

ลี่อิงผู้เป็นน้องสาวนั้นมีนิสัยที่เป็นมิตรและขี้เล่นเหมือนเด็กๆ นางคุยกับคนโน้นที คนนั้นที ได้เพื่อนใหม่มามากมาย นางรู้สึกเป็นอิสระที่ได้พบปะคนอื่นๆนอกจากพี่ชายเจ้าระเบียบของนาง

เย่เย่เห็นสองพี่น้องดูเหมือนจะตกลงปลงใจไปกับกลุ่มคนแปลกหน้า เขาที่ไม่เห็นความจำเป็นใดๆในการเข้าร่วมกลุ่มจึงพูดกับชายผู้พี่ขึ้น

“ถ้าเจ้าจะอยู่ที่นี่ก็ตามสบาย ข้ากับเฉินเซียนจะล่วงหน้าไปก่อนล่ะ!”

“พี่เฉียนเฟิง น้องอิง ข้าไปก่อนนะ” แม้ว่าเฉินเซียนเองจะอยากเข้าร่วมกลุ่มนี้สักเพียงใด แต่เขานั้นร้อนวิชายิ่งกว่า เขาจึงอยากรีบเดินทางไปยังหลิงเฉิงเพื่อฝึกฝนวิชาให้ได้โดยเร็วที่สุด

“ช้าก่อน! เจ้าสองคนเป็นอะไรไป? รีบร้อนไปหลิงเฉิงแล้วจะได้อะไรขึ้นมางั้นรึ!?” เมื่อเห็นเย่เย่และเฉินเซียนมีท่าทีเร่งรีบ หญิงสาวนางหนึ่งก็ได้โพล่งขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“เฉินเยว่ เจ้าปล่อยพวกเขาไปเถอะ เจ้าจะไปบังคับใครไม่ได้หรอกนะ” โจวหลางพูดโน้มน้าวให้สาวห้าวใจเย็นลง

“พี่ใหญ่ ต่อให้พวกนั้นไปถึงก่อนน้ำหน้าอย่างพวกมันก็เข้าหอการค้าหยูเย่ไม่ได้หรอก หรือต่อให้เข้าได้เราค่อยไปสั่งสอนพวกมันทีหลังก็ยังไม่สาย”

ชายหนุ่มเสียงทุ้มนาม ‘กวนเหยา’ พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังราวกับต้องการให้เย่เย่และเฉินเซียนได้ยิน พลางมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

เมื่อคนในกลุ่มเริ่มเผยให้เห็นธาตุแท้ ความประสงค์ของสองพี่น้องที่จะออกเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาก็ลดลง

“ท่านกวนเหยา ข้าอยากให้ท่านคิดดูให้ดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าร่วมกับเรา ข้าคิดว่าพวกท่านควรรักษาความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาไว้ ไม่แน่ว่าในอนาคตทั้งสองอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ของพวกท่านก็ได้” ถึงแม้ว่าในใจลึกๆลี่เฉียนเฟิงยังคงสงสัยในตัวเย่เย่อยู่ แต่ความแข็งแกร่งที่เย่เย่แสดงให้เขาเห็นนั้นเป็นของจริง ดังนั้นเขาจะไม่แปลกใจเลยที่เย่เย่จะสามารถผ่านบททดสอบของหอการค้าไปได้อย่างง่ายดาย

“ใช่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พี่บ้าของข้าพูดถูก” ถึงแม้ลี่อิงจะดูติ๊งต๊องไปบ้าง แต่นางก็ไม่ได้โง่ นางที่ตระหนักถึงความสามารถของเย่เย่ก็ได้พูดสนับสนุนแนวคิดของผู้พี่เป็นครั้งแรก

“ในเมื่อเจ้าให้ท้ายกันขนาดนี้ ใยพวกเจ้าไม่ไปล่มหัวจมท้ายกับพวกมันซะเลยล่ะ? รับพวกเจ้าเข้ามารังแต่จะเป็นภาระของพวกข้าเสียเปล่าๆ” กวนเหยาตอบทั้งสองกลับอย่างไร้เยื่อใย พลางยกมือยักไหล่อย่างไม่สนสี่สนแปด

“กวนเหยา!” โจวหลางขึ้นเสียงตักเตือนชายปากเสีย แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับท่าทีของศิษย์อาจารย์คู่นั้นไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่าคำพูดของกวนเหยาจะทำเสียเรื่อง

“ได้สิ เจ้าพูดเองนะ!” ลี่อิงที่ไม่เคยชินกับการถูกยั่วยุ ทันทีที่นางได้ยินคำพูดกวนบาทาของกวนเหยา นางจึงตัดสินใจขึ้นอานม้าและควบไปหาเย่เย่ ลี่เฉียนเฟิงเห็นดังนั้นเขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และควบม้าตามนางไป

โจวหลางที่กำลังจะเปิดปากโน้มน้าวสองพี่น้อง เมื่อเห็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวของมัน เขาจึงได้แต่เก็บคำพูดที่สวยหรูเอาไว้ในใจ และมองทั้งสี่ควบม้าข้ามหุบเขาไปไกลจนลิบตา

“เร่งเข้า พวกเราจะผ่านหุบเขานี้ให้ได้ก่อนตะวันตกดิน!” เย่เย่ควบม้านำทางพรรคพวกเข้าสู่เส้นทางผ่านหุบเขา แม้ว่าเฉินเซียนจะไม่ได้พูดอะไรแต่เขาก็ดีใจที่ได้ร่วมทางกับสองพี่น้องที่รุ่นราวคราวเดียวกันอีกครั้ง

ในขณะเดียวกันที่ปลายทางของหุบเขา มีกลุ่มชายโพกผ้าซ่อนตัวอยู่ในโพรงหญ้า รอคอยเหยื่อที่ผ่านไปมาอย่างใจจดใจจ่อ สายตาทุกคู่ของพวกเขาต่างจับจ้องไปในหุบเขา

“นี่ลูกพี่ ทำแบบนี้แล้วเราจะรวยกันจริงๆเรอะ!?” โจรคิ้วหนาถามชายผู้เป็นหัวโจกด้วยความสงสัย

“เอ็งเชื่อมือข้าเถอะ พวกชายหนุ่มหญิงสาวชาติดีมีตระกูลต้องใช้เส้นทางนี้เดินทางไปหลิงเฉิงแน่ๆ” ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าลูกพี่พยักหน้าตอบพร้อมแสยะยิ้มด้วยความมั่นอกมั่นใจ

ชายคิ้วทึบและพรรคพวกพยักหน้าตอบรับชายนาม ‘หวงซ่งฉิน’ อย่างเป็นไงเป็นกัน

แม้ว่าหวงซ่งฉินจะเป็นถึงรองหัวหน้าของกลุ่มโจรภูผา แต่เขาแทบไม่เคยก่อเหตุฆ่าโดยไม่จำเป็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผิดกับ ‘จางเฉิงกวง’ หัวโจกของกลุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความอำมหิตยากที่จะหาผู้ใดเปรียบ หากไม่ใช่เพราะหวงซ่งฉินที่มักใช้แผนการมากกว่ากำลังแล้วละก็ กลุ่มโจรภูผาคงตกเป็นเป้าหมายด้วยค่าหัวที่สูงลิ่วแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเหล่าบรรดาลูกน้องจึงให้ความเคารพหวงซ่งฉินมากกว่าหัวหน้าที่แท้จริงของพวกเขา

ภายใต้การนำของหวงซ่งฉิน พวกเขาวางแผนกันมาเป็นอย่างดี กลุ่มโจรภูผาได้วางกำลังโอบล้อมทางออกของช่องเขาทั้งบนและล่างเอาไว้หมดแล้ว เมื่อเหยื่อผ่านมาพวกเขาจะถูกตีวงล้อมจากทุกทิศทางจนต้องยอมจำนนส่งของมีค่าให้กลุ่มโจรเท่านั้น

แต่ทว่าเหยื่อที่ผ่านทางมากลับเป็นเย่เย่ ไม่ใช่กลุ่มของโจวหลางตามที่พวกเขาได้คาดการณ์เอาไว้ เย่เย่ที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาก็ยกมือเป็นสัญญาณให้คณะของเขาระวังตัว

“ดูเหมือนว่าในที่แห่งนี้จะไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้นสินะ?” เย่เย่หลับตาลงและสัมผัสได้ถึงพลังปราณจำนวนมากที่ซุ่มอยู่ตามแนวเขา

“ท่านอาจารย์? มีอะไรงั้นหรือขอรับ?” เฉินเซียนที่เห็นท่าทางผิดปกติของเย่เย่ เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ชู่วววว เงียบๆ”

สองพี่น้องกวาดตามองรอบๆ หันไปหันมาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาจึงหันหน้ามามองเย่เย่อย่างงุนงง

“ถ้าข้าเดาไม่ผิดคงมีพวกโจรภูเขาซ่อนตัวอยู่ทั้งสองฝั่งของช่องเขาและตรงทางออกด้วย ดูท่าว่าพวกมันคงเล็งกลุ่มของโจวหลางเอาไว้ไม่ผิดแน่”

“อะไรนะ!?” ลี่อิงอุทานออกมาและใช้สองมือเล็กๆของนางปิดปากด้วยความตกใจกลัว โชคยังดีที่เสียงอุทานของนางยังไม่ทำให้พวกโจรรู้ตัว…