ตอนที่ 33 งั้นฉันพาไป

หัวโจก

“ไม่ล่ะ เที่ยวให้สนุกนะ” โจวจิ้งตอบเสียงเรียบ

“ขอบใจ” เถาม่านถือกระเป๋าแล้วเดินเชิดหน้าออกไป

หลังกินข้าวเสร็จ เธอคิดจะหาร้านเสริมสวยเพื่อย้อมผมเป็นสีดำ แม้จะชินกับผมสีทองแล้ว แต่ก็ยังสะดุ้งตอนเข้าห้องน้ำกลางดึกอยู่ดี

ขณะเตรียมตัวออกจากบ้าน เสี่ยวหยีก็แหกปากร้องไห้งอแง

“เป็นอะไรอีกเนี่ย?” โจวจิ้งถามป้าเฉิน

“คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงสัญญาว่าจะพาเสี่ยวหยีไปสวนสนุก แต่ดันติดธุระกะทันหัน เขาก็เลย…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค โจวเสี่ยวหยีก็ปล่อยโฮหนักกว่าเดิม

“พ่อกับแม่โกหกอีกแล้ว เป็นแบบนี้ตลอดเลย บอกว่าจะพาไป แต่ก็ไม่เคยพาไป!”

โจวจิ้งพอจะดูออกว่าโจวฉีเทียนและเถาจิงงานยุ่งมาก ขนาดวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เลือกที่จะอยู่ด้วยกันเพราะต้องการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มาวันนี้คงลืมเป้าหมายเดิมไปแล้ว

เด็กวัยนี้ต้องการความรักและความใส่ใจจากพ่อและแม่อย่างมาก ต่อให้ปู่ย่าตายายดูแลดีแค่ไหน ก็สู้พ่อแม่แท้ๆ ไม่ได้

โจวจิ้งไม่อยากยุ่งด้วย แต่เมื่อหันไปเห็นเด็กน้อยร้องไห้หน้าแดงก่ำ ก็รู้สึกสงสารจับใจ

“อยากไปขนาดนั้นเลยเหรอ?” เธอย่อตัวคุยกับน้องชาย

โจวเสี่ยวหยียังคงสะอึกสะอื้น

“งั้นฉันพาไปเอง”

“ไม่เอา!” เขาโวยวายแล้ววิ่งไปจับมือป้าเฉิน “ฉันจะไปกับพ่อแม่”

โจวจิ้งยืนขึ้นกอดอก “มีศักดิ์ศรีดีมาก แต่กว่าพ่อกับแม่จะว่าง เธอน่าจะอายุสิบขวบพอดี”

ป้าเฉินที่ยืนฟังอยู่ไม่กล้าพูดอะไรเสริม

โจวเสี่ยวหยีกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เบ้ปากแล้วเตรียมจะร้องไห้อีกรอบ

“หยุด ถ้าไม่หยุดโดนต่อย!”

เขากลั้นน้ำตาไว้สุดขีด จ้องหน้าโจวจิ้งเขม็ง

“สรุปจะไปกับฉันไหม?”

ยืนคิดอยู่นาน สุดท้ายโจวเสี่ยวหยีก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

“แค่นี้แหละ!” เธอหันไปพูดกับป้าเฉิน “ฉันจะพาน้องไปสวนสนุก ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วย”

ป้าเฉินมองตามสองพี่น้องด้วยอาการเหงื่อตก เหมือนอันธพาลกำลังลักพาตัวเด็กยังไงยังงั้น

โจวจิ้งไม่ได้ให้คนขับรถไปส่ง เพราะอยากสนุกให้เต็มที่ แต่โจวเสี่ยวหยีไม่ชอบเดิน แค่ไม่เท่าไหร่ก็ขอให้เธออุ้มแล้ว แต่เธอไม่อุ้ม เขาจึงต้องเดินคอตกตามพี่สาวไป

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องเล็กน้อยไม่จัดมาก

โจวจิ้งไม่ได้อยากมาเที่ยวสวนสนุก สมัยก่อนที่บ้านฐานะไม่ดี พอเริ่มมีเงินเก็บก็โตเกินกว่าจะเที่ยวแล้ว วันนี้กลับต้องมานั่งม้าหมุนเป็นเพื่อนเด็กน้อย แค่คิดก็อายจะแย่

ขณะกำลังหงุดหงิด เงาร่างของเฮ่อซวินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาเพิ่งจะโบกมือลาเพื่อนอีกคน พอเห็นหน้าเธอก็หันหลังเตรียมเดินหนี แต่โจวจิ้งวิ่งตามได้ทัน

“เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ทำไมต้องเย็นชาใส่ขนาดนี้?”

เฮ่อซวินไม่ตอบและตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อ

“บ้านอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอ บังเอิญจริงๆ เลย”

แสดงว่าบ้านของเขาต้องรวยพอๆ กับเธอ ถึงอยู่เขตนี้ได้

“มีอะไร?”

“ว่างไหม?”

“ไม่ว่าง”

“ติดธุระอะไร ไหนบอกซิ?”

“เกี่ยวอะไรกับเธอ?”

โจวจิ้งส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับฉันหรอก” พูดจบก็ลากโจวเสี่ยวหยีมายืนข้างหน้า “เกี่ยวกับเขาต่างหาก นี่น้องชายฉันเองว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุกสักหน่อย แต่สองคนคงไม่เวิร์ก ไปด้วยกันกับพวกเราไหม ฉันออกค่าตั๋วให้”

“ฉันเนี่ยนะ?” เฮ่อซวินทำหน้างง

“ใช่”

สำหรับเธอ ชวนเฮ่อซวินยังดีกว่าชวนมั่วลี่หรือเจ้าเขียว เพราะกลัวว่าโจวเสี่ยวหยีจะเรียกพวกเขาว่า ‘ไอ้ปีศาจหัวเขียว’ ไม่ก็‘ยัยสัตว์ประหลาดหัวแดง’ ทั้งวัน

“ไม่ไป!” เฮ่อซวินเดินต่อ

“เดี๋ยวก่อนสิ!” โจวจิ้งคว้าแขนอีกฝ่ายอย่างว่องไว ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูน้องชาย

“ร้องไห้ดังๆ เลยนะ ไม่งั้นอดเที่ยวแน่!”

“แง…” โจวเสี่ยวหยีร้องไห้ปานจะขาดใจ ขนาดคนออกคำสั่งอย่างโจวจิ้งยังขนลุก

เฮ่อซวินเหมือนถูกเสียงร้องไห้สะกดจิตจนต้องหยุดเดิน

โจวจิ้งกระตุกชายเสื้อเขาเบาๆ “น้องชายของฉันไม่ค่อยได้ไปเที่ยว พ่อกับแม่งานยุ่งมาก ส่วนฉันก็ต้องไปเรียน น่าสงสารมากเลยใช่ไหม?”

โตไปโจวเสี่ยวหยีต้องได้เป็นนักแสดงมือหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะขณะโจวจิ้งกำลังอธิบาย เขาก็ทำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับดึงขากางเกงของเฮ่อซวินไปด้วย

เฮ่อซวินถึงกับไปไม่เป็น พยายามหาทางให้อีกฝ่ายหยุดร้อง แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงพ่ายแพ้ให้กับมารยาของพี่น้องคู่นี้ แล้วเดินตามพวกเขาไปอย่างว่าง่าย

 

สตาร์แลนด์ คือสวนสนุกที่ค่อนข้างเก่า

แม้เครื่องเล่นจะเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งยังอัปเดตอยู่เสมอ แต่เมื่อเทียบกับสวนสนุกแห่งอื่นก็ถือว่าล้าสมัย ไม่มีความน่าสนใจเท่าที่ควร

ที่เธอเลือกจะมาก็เพราะคนน้อย ไม่อยากเบียดเสียดกับผู้คนเพราะโจวเสี่ยวหยีอาจหายได้

หลังซื้อบัตรเรียบร้อย โจวจิ้งก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากจุดไหนก่อน

“อยากเล่นอะไร?” เธอถามโจวเสี่ยวหยี

“อันนั้น” เขาชี้ไปข้างหน้า

นั่นมัน… ดรอปไรด์

โจวจิ้งไม่อยากเล่นเพราะหวาดเสียวเกิน กลัวหัวใจวาย

“อันนั้นไม่สนุก” เธออธิบายอย่างอ่อนโยน

“สนุก!”

“ไม่สนุก!”

“สนุก!”

“ไม่สนุก!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เฮ่อซวินที่ยืนฟังอยู่หลุดขำออกมา “เธอกลัวความสูงเหรอ” เขาถาม

“ใครกลัว ไม่มีทาง ไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว!” โจวจิ้งยืนยันเสียงสูง

“เหรอ?” เฮ่อซวินทำหน้าไม่เชื่อ

โจวจิ้งเป็นคนไม่ยอมใคร มีนิสัยชอบเอาชนะ เกลียดที่สุดคือการถูกดูถูกความสามารถ

“ถ้างั้นก็เล่นด้วยกันหมดนี่เลย กล้าไหมล่ะ?”

“ได้สิ” เฮ่อซวินตอบแบบไม่ลังเล

โจวจิ้งรู้สึกผิดที่ตัดสินใจแบบนี้ แม้จะนั่งกลางระหว่างโจวเสี่ยวหยีและเฮ่อซวิน ก็ไม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นเลย

เธอเริ่มสงสัยว่าจะแข่งกับเฮ่อซวินไปทำไม ดูก็รู้ว่าเขาอยากเห็นเธอขายหน้า

เครื่องเล่นค่อยๆ ลอยขึ้นสูง โจวจิ้งยังคงไม่กล้ามองลงไป แต่ก็ฝืนทำตัวปกติ

เมื่อเครื่องหยุดที่จุดสูงสุด เธอก็หันไปตะโกนบอกเฮ่อซวิน“ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย บอกแล้วว่า… กรี๊ดดดดดดดดดด!!!”

เครื่องดิ่งลงด้วยความเร็วสูง

“อ๊ากกกกกกกกกก ช่วยด้วย!!!”

คนทั้งสวนสนุกจ้องเธอเป็นตาเดียว เสียงกรีดร้องของโจวจิ้งชวนขนหัวลุกมาก โจวเสี่ยวหยีเองก็ขำพี่สาวจนท้องคัดท้องแข็ง

ทันทีที่เครื่องดรอปไรด์ลงจอด โจวจิ้งก็วิ่งไปเกาะถังขยะแล้วขย้อนอาหารในท้องออกมา

เฮ่อซวินยื่นขวดน้ำให้เธอ “เอาไป”

“ขอบใจ… ขอบใจนะ” เธอรับน้ำไปบิดฝาขวดแล้วกระดกดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไหนว่าไม่กลัวความสูง?” เฮ่อซวินแซว

“เพราะฉันยังไม่ได้เตรียมตัวไงล่ะ”

เฮ่อซวินพยักหน้าแล้วควักมือถือออกมาเปิดรูป “ลองถ่ายตอนอยู่บนนั้น น่าสนใจดีนะ”

“ลบ เดี๋ยว นี้ นะ!”

เฮ่อซวินจ้องตาเธอแล้วตอบสั้นๆ “ไม่ลบ” พูดจบก็จูงมือโจวเสี่ยวหยีเดินไปทางอื่น

“ลบเดี๋ยวนี้นะ!” โจวจิ้งโวยวายไล่หลังพวกเขา

“พี่เฮ่อ ผมอยากเล่นอันนี้”

โจวจิ้งมองตามนิ้วของน้องชายไปที่รถไฟเหาะ

“อันนี้ล่ะ กลัวไหม?” เฮ่อซวินถาม

“ใครกลัว? ไม่มีทาง!” เธอเบ้ปาก

ห้านาทีผ่านไป…

“อ๊ากกกกกกกกกก ช่วยด้วย!!!”

ทอร์นาโด

“แม่เจ้า ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!!!”

ไวกิ้ง

“ฮือๆๆ ไม่เล่นแล้ว ฉันจะกลับบ้าน!!!”

มีแต่เสียงโหยหวนของโจวจิ้งดังก้องไปทั่วสตาร์แลนด์

เธอค่อยๆ เกาะราวแล้วเดินลงบันไดอย่างหมดสภาพ “เล่นอะไรที่อยู่บนพื้นบ้างก็ได้นะ”

เฮ่อซวินอมยิ้มมองอีกฝ่าย “อยากดันทุรังเองนะ ไม่ได้บังคับสักหน่อย”

นี่คือข้อเสียของเธอ ชอบแก่งแย่งชิงดีเพื่อความเป็นหนึ่ง พอติดเป็นนิสัยก็ยากจะแก้ไขในชั่วข้ามคืน ขนาดเที่ยวสวนสนุก ยังอดพิสูจน์ตัวเองเพื่อเอาชนะเฮ่อซวินไม่ได้

“พี่เฮ่อ ผมอยากได้อันนั้น” เด็กวัยกำลังซนอย่างเขา แทบไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยหรือกลัวเลย

“ตุ๊กตาเนี่ยนะ เป็นเด็กผู้หญิงหรือไง?” โจวจิ้งแซว

“ยุ่งอะไรด้วย!” โจวเสี่ยวหยีเถียง

โดยไม่พูดอะไร เฮ่อซวินเดินไปที่ซุ้มแล้วหยิบปืนขึ้นยิงตุ๊กตา

ปัง ปัง ปัง ปัง!

กระสุนสี่นัดยิงเข้าเป้าแบบไม่มีพลาด

“ฝีมือใช้ได้เลยนะ ฝึกจากที่ไหนเหรอ?” โจวจิ้งชมด้วยความตื่นเต้น

“ครั้งแรก”

“งั้นขอฉันลองบ้าง”

ปัง ปัง ปัง ปัง!

สี่นัดเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีนัดไหนที่เข้าเป้าเลย แถมยังทำปืนร่วงอีก

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” โจวเสี่ยวหยีหัวเราะดังลั่น

“ขำอะไรเจ้าเตี้ย! คิดว่าเขาจะยิงจนเธอได้หมีงั้นเหรอ?”

พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของซุ้มยิงปืนก็เดินหน้าหงิกหน้างอมาหาโจวเสี่ยวหยีพร้อมกับยื่นหมีตัวใหญ่ให้

เฮ่อซวินยักคิ้วให้โจวจิ้งอย่างท้าทาย

“แค่หมีตัวเดียว คอยดูแล้วกัน!”

เธอวิ่งไปที่เครื่องหนีบตุ๊กตา หยอดเหรียญ แล้วตั้งหน้าตั้งตาคีบมันเพื่อแข่งกับอีกฝ่าย

ตอนแรกโจวเสี่ยวหยีไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อโจวจิ้งหนีบได้สามตัวติด เขาก็ทึ่งในตัวพี่สาวอย่างมาก

โจวจิ้งยักคิ้วใส่เฮ่อซวินอย่างภาคภูมิใจ เธอเริ่มเล่นเครื่องคีบตุ๊กตาครั้งแรกตอนเข้าทำงานใหม่ๆ เมื่อมีเงินไม่มาก จึงต้องวางแผนการเล่นอย่างจริงจัง จะได้ไม่เสียเงินฟรี

เมื่อเข้มข้นทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เวลาคีบตัวไหน ก็มักจะได้ตัวนั้นไม่มีพลาด

เจ้าของร้านทำหน้าไม่พอใจเพราะเสียตุ๊กตาไปสิบกว่าตัวแล้ว โชคดีที่โจวเสี่ยวหยีถือไม่ไหว เพราะต้องแบกหมีตัวใหญ่และตัวเล็กๆ อีกมากมาย จึงร้องไห้งอแงอยากจะกลับบ้าน

“ไม่เอาแล้ว ถือไม่ไหวแล้ว…”

“ก็ได้ๆ” โจวจิ้งพูดอย่างเสียดาย “ว่าแต่ อยากเล่นอะไรต่อล่ะ?”

“อันนั้น” เขาชี้ไปที่บ้านผีสิง

“เป็นเด็กเป็นเล็ก จะอยากเข้าบ้านผีสิงไปทำไม!” เธอเริ่มหัวเสีย