“ถ้าอย่างนั้น แอนนี่จ๊ะ ฉันฝากมิเอลด้วยนะ”

อาเรียทำไขสือแล้วส่งยิ้มให้กับแอนนี่ที่ตกใจจนพูดต่อไปไม่เป็น แล้วเธอก็ขึ้นรถม้าไปกับอาซ หน้าตาของแอนนี่และมิเอลดูเหมือนสติหลุดออกไปเพราะความตกใจตั้งตัวไม่ทัน

อาซคิดว่ามันดูแปลกๆ ที่อาเรียยิ้มอย่างมีเลศนัยและปราดมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงถามเธอขึ้นมาว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ

“ใช่ค่ะ ช่วงนี้มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ และวันข้างหน้าก็จะเป็นเช่นนั้นค่ะ”

อาเรียพูดว่าดูเหมือนอีกสักครู่จะมีเรื่องที่สนุกเป็นพิเศษเกิดขึ้นและหัวเราะออกมา อาซที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลอยหน้าแดงและหัวเราะตามไปด้วย

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับผมไหมครับ”

เขาถามออกมาเช่นนั้นด้วยแววตาที่ดูคาดหวังอะไรบางอย่าง หากเป็นเรื่อง‘วันข้างหน้า’ของอาเรียแล้ว เขาก็หวังว่าจะมีตัวเขารวมอยู่ในนั้นด้วย

ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอาซอยู่ในความสุขสันต์ในอนาคตของเธอ แต่เพราะเรื่องในคราวนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย อาเรียจึงตอบออกไปไม่ได้ง่ายๆ จากนั้นความสงสัยก็ผุดขึ้นมาบนหน้าของอาซ ที่จริงแล้วนั่นเป็นเรื่องอะไรกันแน่เธอถึงได้ดีใจมากขนาดนั้น

“มันไม่เกี่ยวกับคุณอาซหรอกค่ะ แต่เรื่องที่ดิฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอยมาตลอดมันใกล้จะถึงจุดจบสักทีน่ะค่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยละก็…”

อาซซึ่งรู้ถึงสถานการณ์ทุกอย่างของอาเรียพูดออกมาโดยเว้นประโยคสุดท้ายไว้ ดูท่าเขาจะคิดว่านั่นต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการช่วยชีวิตมิเอลเอาไว้ด้วยเหตุผลบางประการ

อาเรียพูดต่อไป

“เรื่องเดียวกับที่คุณอาซเดานั่นแหละค่ะ การแก้แค้นผู้หญิงที่ทำให้ดิฉันต้องตาย ดูเหมือนตอนสุดท้ายที่ดิฉันคาดหวังและปรารถนาจะมาถึงแล้วละค่ะ”

“…อย่างนั้นเองหรือครับ ผมถามได้ไหมครับว่าจะทำอย่างไร”

“ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกค่ะ ดิฉันจะทำคืนกลับไปเท่ากับที่ดิฉันเคยเจอมาค่ะ มิเอลทำกับดิฉันไว้ยังไง ดิฉันก็คิดจะเอาคืนให้เหมือนกับที่เคยเจอมาค่ะ”

คำพูดของอาเรียทำให้อาซนึกถึงเรื่องในอดีตที่เธอเล่าให้เขาฟัง รวมถึงเรื่องที่มิเอลทำให้อาเรียต้องพบเจอกับชะตากรรมเคราะห์ร้ายด้วย

ในอดีตอาเรียต้องพบกับจุดจบอันน่ากลัว กว่าจะรู้ถึงธาตุแท้ของมิเอลและสถานการณ์ทุกอย่างที่ทำให้เธอต้องจบชีวิตลงล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของมิเอลนั้น ก็คือห้วงสุดท้ายของความตายนั่นเอง

อดีตที่เธอคลานเข้าไปในกับดักด้วยตัวเองโดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำลายชีวิตตัวเอง

เมื่ออาซตระหนักได้นั่นเป็นสิ่งที่อาเรียคาดหวังและเตรียมการไว้ เขาก็จับมือของอาเรียเอาไว้อย่างอ่อนโยนด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

“ผมไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยสินะครับ”

“…เปล่าเลยค่ะ แค่คุณอาซไม่เกลียดดิฉันที่เป็นคนแย่ๆ แบบนี้ก็มากเกินพอแล้วค่ะ”

ถึงจะเคยจบชีวิตลงเพราะมิเอลก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยมิใช่หรือ แม้ว่าสิ่งที่เคยได้พบเจอมาจะไม่หายไปก็ตาม แต่ในตอนนี้เธอเป็นคนที่สามารถให้ความเมตตาแก่มิเอลที่ไม่มีที่ไปและไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

ทว่าอาเรียไม่ได้อยากทำแบบนั้น แม้จะรู้สึกถึงมันได้ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน แต่ในตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกถึงความเย็นเยือกรอบๆ คอในบางครั้ง แม้แต่ตอนนอนมันก็ยังปลุกเธอให้ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจกลัวอยู่เลย

จนบางทีเธอยังสงสัยว่าช่วงเวลานี้เป็นเรื่องโกหกรึเปล่า หรือเธอกำลังฝันอยู่กันแน่

ฉะนั้นแล้วเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เธอจึงต้องเอาความทุกข์ทรมานแบบเดียวกันคืนกลับไปให้มิเอล

จะให้ตายเฉยๆ คงไม่พอ เธอต้องได้เห็นความจริงกับตาตัวเอง ว่ามิเอลถูกพวกสาวใช้ตบตาจนต้องหัวหลุดออกจากบ่า

อย่างนั้นแล้วเธอถึงจะรู้สึกว่าสามารถทวงคืนชีวิตของเธอให้คืนกลับมาได้จริงๆ ไม่ใช่นางมารร้ายที่จบชีวิตลงอย่างโง่เขลาแบบในอดีต แต่เป็นอาเรียที่เกิดใหม่และได้รับการยอมรับจากทุกคน

“ผมอาจจะพูดไปแล้วนะครับ แต่ขอบอกเลยว่าผมไม่เกลียดเลดี้ด้วยเรื่องแบบนั้นหรอกครับ ผมกลับคิดว่าเลดี้จัดการทุกอย่างได้อย่างฉลาดมากจนผมโล่งใจเลยครับ”

อาซพูดออกมาพร้อมกับจับมือที่เป็นกังวลของอาเรียแน่นขึ้นกว่าเดิม

“เพียงแค่กังวลนิดหน่อยที่ตัวผมไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยน่ะครับ”

“อย่างกังวลไปเลยค่ะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปอย่างเรียบร้อยแน่นอนค่ะ ถ้าจบเรื่องนี้แล้วทุกอย่างจะต้องกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นค่ะ”

และฝันร้ายของเธอก็จะสิ้นสุดลงเช่นกัน

“ถ้าต้องการผมเมื่อไหร่บอกได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดผมก็เต็มใจจะช่วยครับ”

“…ขอบคุณค่ะ นานๆ ทีเราจะได้เจอกัน แต่ต้องมาเสียบรรยากาศไปอย่างเปล่าประโยชน์เพราะเรื่องของดิฉัน”

“เสียบรรยากาศอะไรกันครับ ไม่ว่าเราจะคุยเรื่องอะไร ทุกวินาทีที่ได้อยู่กับเลดี้เป็นเรื่องที่มีความสุขสำหรับผมนะครับ”

“ดิฉันก็เช่นกันค่ะ”

อาเรียยิ้มออกมาได้อีกครั้งเธอส่งยิ้มอันสดใสให้อาซ เพราะกำลังวิ่งเข้าสู่จุดจบที่แท้จริงแล้วเธอจึงยิ้มออกมาได้ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง และจุดจบนั้นก็จะทำให้เธอได้ต้อนรับชีวิตใหม่ได้เสียที

***

 

“…เพราะแกคนเดียว! “

หลังจากรถม้าวิ่งออกไป แอนนี่ที่ไม่ไหวตัวอยู่ครู่ใหญ่ ก็ระบายความโกรธมาที่มิเอลในทันทีราวกับความแค้นได้ทะลักออกมา

เธออุตส่าห์ใส่ชุดที่บารอนเวอร์บูมเตรียมให้และตั้งใจจะเล่นบทบาทชนชั้นสูงที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมาเสียนาน แต่กลับต้องพาตัวเกะกะแบบนั้นไปด้วยเสียได้

“…ฉันเองก็ไม่อยากจะตามเธอไปหรอกนะ แอนนี่”

ดูเหมือนมิเอลจะไม่อยากเดินทางไปกับแอนนี่จริงๆ ถึงได้พูดออกมาด้วยคำที่เย็นชาเป็นอย่างมาก

แต่เพราะไม่สามารถพูดอะไรกับตัวการที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้นมาได้ ทั้งคู่จึงได้แต่กัดฟันและแสดงความเกลียดชังให้แก่กันและกันแทน

และช่างโชคร้ายที่บารอนเวอร์บูมมาถึงคฤหาสน์ก่อนที่พวกเธอจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าได้

“ออกมาอยู่ข้างนอกแล้วหรือครับนี่”

แม้แต่บารอนเวอร์บูมก็ยังถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจเมื่อได้เห็นว่ามีคนมารออยู่ที่สวนมากมายขนาดนี้

“…ท่าบารอนเวอร์บูม! “

แอนนี่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วและยิ้มกว้างออกมา พร้อมกับหันไปทักทายบารอนเวอร์บูม ในสถานการณ์ที่ดูน่าสนุกเช่นนี้ เหล่าข้ารับใช้ยังคงไม่กลับเข้าไปในคฤหาสน์ และเริ่มสังเกตดูแอนนี่กับบารอนเวอร์บูมและมิเอลอยู่เงียบๆ

“ตามที่ผมคิดไว้เลย สวยมากครับ”

“ขอบคุณค่ะ…ท่านบารอนเองก็หล่อมากเช่นกันค่ะ”

“ชมกันเกินไปแล้วครับ”

เหมือนกับคู่รักคู่อื่นๆ บารอนเวอร์บูมแสดงความประทับใจให้กับแอนนี่และพูดว่าจวนจะถึงเวลาแล้วพร้อมกับยื่นมือมาให้เธอ เป็นการบอกให้ออกเดินทางนั่นเอง

หากเป็นเวลาปกติแล้ว แอนนี่คงจะเชิดคางอย่างเต็มที่และจับมือของเขาราวกับจะอวดทุกคน แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากยังมีมิเอลเป็นตัวปัญหาอยู่นั่นเอง

อาเรียถึงกับขอร้องเธอไว้ก่อนจะออกเดินทางไป แล้วจะไม่ให้เธอพามิเอลไปด้วยได้อย่างไร ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากจะพามิเอลไปเป็นก้างขวางคอในช่วงเวลาที่เธออุตส่าห์ตั้งตารอมานาน

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เจสซี่ก็สะกิดเข้าที่หลังของแอนนี่และพูดออกมาเบาๆ ให้เธอได้ยินเท่านั้น

“แอนนี่ เลดี้อุตส่าห์ขอร้องไว้แล้วเธอพามิเอลไปด้วยเถอะน่า อย่าก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นมาให้เปล่าประโยชน์เลย…ถ้าได้รู้จักกันแล้ว มิเอลก็เป็นเด็กดีคนหนึ่งเหมือนกัน”

เนื่องจากเจสซี่เป็นสาวใช้ที่มิเอลพูดคุยด้วยเวลามีเรื่องไม่สบายใจมากที่สุด เธอจึงรู้สึกเห็นใจมิเอล

เพราะแบบนั้นเจสซี่จึงพูดเข้าข้างมิเอลและเร่งแอนนี่ขึ้นมา ในเมื่อไม่มีวิธีใดจะเลี่ยงได้แล้ว แอนนี่จึงได้แต่เม้มปากล่างและกลอกตาก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยราวกับตัดสินใจได้แล้ว

“…ท่านบารอนคะ ดิฉันต้องขออภัยด้วยแต่ให้สาวใช้คนหนึ่งนั่งไปกับเราได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ ไม่เป็นไร”

แอนนี่นึกว่าเขาจะพูดว่านั่นจะเป็นการรบกวนเวลาของเราสองคนเสียอีก แต่บารอนเวอร์บูมกลับตอบตกลงออกมาในทันที ไม่เหมือนกับเจ้าชายที่อ้อนวอนอาเรียอย่างน้อยอกน้อยใจเลยสักนิด นั่นเลยทำให้ความไม่พอใจของแอนนี่มากขึ้นไปอีก

“…ไปกันเถอะมิเอล”

“…มิเอล”

จากนั้นแอนนี่ก็เรียกชื่อมิเอลด้วยเสียงที่ฟังดูอ่อนแรง บารอนเวอร์บูมที่ได้ยินชื่อนั้นก็จ้องมิเอลด้วยสีหน้าตกใจ บารอนเวอร์บูมทำหน้าตาแข็งทื่อเมื่อได้เห็นว่ามิเอลที่ผู้คนลือกันนั้น กำลังเดินตามหลังแอนนี่ไป

เหตุใดมิเอลถึงได้เดินทางไปด้วยกันได้นะ ไม่สิ หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอจึงกลายมาเป็นสาวใช้ของแอนนี่ได้

แม้แอนนี่จะตระหนักได้ถึงความสงสัยที่บารอนเวอร์บูมมี แต่เพราะความหงุดหงิดที่มีต่อมิเอลและความเจ็บใจต่อการกระทำของบารอนเวอร์บูม ทำให้เธออารมณ์เสียจนไม่พูดอธิบายอะไรออกไป สุดท้ายภายในรถม้าจึงไม่มีการพูดจาใดๆ เกิดขึ้นเลยจนถึงตอนมาถึงงานแต่งงานของซาร่า

***

 

รถม้าของบารอนเวอร์บูมที่ออกเดินทางทีหลังมาถึงคฤหาสน์ของมาร์ควิสวินเซนต์ก่อนรถม้าของอาซกับอาเรีย นั่นเพราะบารอนเวอร์บูมเอาชนะความเงียบที่เกิดในรถม้าไม่ได้ เขาจึงเร่งคนขี่รถม้าให้ขี่เร็วขึ้น และแน่นอนว่าเป็นเพราะอาซและอาเรียตั้งใจนั่งรถม้าวนรอบเมืองหลวงรอบหนึ่งเป็นการเดินเล่นเรื่อยเปื่อยของพวกเขานั่นเอง

ดังนั้นแอนนี่ที่ลงมาจากรถม้าด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์จึงถูกแย่งความสนใจไปที่รถม้าคันหรูที่เพิ่งเข้ามาในเขตคฤหาสน์ของมาร์ควิสอีกครั้ง

“โอ้โห ดูรถม้าคันนั้นสิ รถม้าของใครกันน่ะ”

“รถม้าของเจ้าชายไม่ใช่หรือ ลองดูที่ตราสัญลักษณ์นั่นสิ!”

“ตายจริง ใช่จริงๆ ด้วย! “

“ถ้าอย่างนั้นคนที่นั่งมากับเจ้าชายก็คือท่านอาเรียน่ะสิ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองท่านเข้าร่วมงานแบบนี้ด้วยกันใช่ไหม”

“แล้วทำไมฉันถึงใจเต้นขึ้นมาเนี่ย…! “

แน่นอนอยู่แล้วที่รถม้าซึ่งพูดได้ว่าเป็นรถม้าที่หรูหราที่สุดในราชอาณาจักรจะดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมด และแขกเหรื่อที่เดินทางมาถึงงานก่อนต่างก็ซุบซิบและคาดหวังว่าจะได้เห็นอาซและอาเรียปรากฏตัวออกมาอย่างไร

และหลังจากนั้น บรรดาแขกเหรื่อที่มารวมตัวกันอย่างเงียบๆ ต่างก็ต้องเบิกตาโตเพราะซ่อนความประทับใจเอาไว้ไม่ได้ เมื่อได้เห็นอาเรียจับมือของอาซและถูกประคองลงมาจากรถม้าที่มาถึง

“ตายจริง…เพราะใกล้จะบรรลุนิติภาวะแล้วรึเปล่านะ ช่างดูเปล่งประกายโดดเด่นเสียเหลือเกิน”

“ทั้งที่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นชนชั้นสูงอีกแล้ว แต่ทำไมถึงดูสวยงามได้ขนาดนั้นกันนะ”

“นั่นน่ะเขาเรียกว่าสวยมาแต่กำเนิดไม่เกี่ยวกับเรื่องชนชั้นเลยน่ะสิ”

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองไปเห็นเสื้อผ้าของอาซและอาเรียที่ดูเข้าคู่กันก็ยิ่งทำให้รู้สึกน่าอิจฉามากขึ้น

มิเอลที่ยืนดูเหตุการณ์นี้อยู่ข้างหลังแอนนี่ก็พูดลอยๆ ออกมาให้แอนนี่ได้ยินเพียงคนเดียว

“ทั้งที่เกิดมาในฐานะสามัญชนเหมือนกันแท้ๆ แต่ดูแตกต่างกันมากเลยนะ”

“…ว่าอะไรนะ! “

แน่นอนว่านี่จะทำให้แอนนี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกลับมา ส่วนบารอนเวอร์บูมที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้แต่เบิกตาโตจ้องมองแอนนี่

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”

“…คือว่า…! “

เธอจะพูดออกไปได้อย่างไรว่าตัวเองโมโหที่ถูกยกไปเปรียบเทียบกับอาเรีย ถึงแม้นั่นจะเป็นคำพูดเยาะเย้ยก็ตามแต่ก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดแต่ประการใด และหากพูดความจริงออกไปคนที่รู้สึกอายก็คือแอนนี่เอง

เพราะเช่นนั้นเธอจึงไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ส่วนมิเอลก็ยิ้มราวกับรู้สึกพึงพอใจ หน้าตาของมิเอลดูผ่อนคลายเล็กน้อยจากสิ่งที่เคยถูกกลั่นแกล้งที่ผ่านมา

กล้าดียังไงมาพูดเย้ยฉันที่จะได้กลายเป็นบารอนเนสไม่เหมือนกับเธอที่ต้องตกลงไปในนรก! แอนนี่อดทนต่อไปไม่ไหว เธอกำหมัดไว้แน่นจนมันสั่นระริก ก่อนจะพูดเสียงดังออกมาราวกับคิดอะไรดีๆ ออก

“มิเอล! เลดี้เรียมาถึงแล้ว เธอเดินไปหาเลดี้เสียสิ”

เนื่องจากแอนนี่ตะโกนชื่อมิเอลออกมาเสียงดัง ทำให้ผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณนั้นตกใจและหันไปทางต้นเสียงที่ได้ยิน

“มิเอล…งั้นหรือ”

ใครบางคนกำลังบ่นงึมงำกับตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินมันถูกหรือเปล่า และแอนนี่ก็เรียกชื่อมิเอลอีกทีราวกับจะยืนยันให้กับคนพวกนั้น

“มิเอล! มิเอล! ทำไมไม่ตอบละ เธอทำอะไรอยู่”

และในชั่วพริบตาสายตาที่มองมาก็เปลี่ยนเป็นสายตาดุดัน

สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังของทุกคนพุ่งไปหานางมารร้ายที่ใส่ร้ายอาเรียและตั้งใจขายราชอาณาจักรแห่งนี้ให้เกิดความพินาศ

“มิเอล! “

ในสวนที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบ แอนนี่ได้ตะโกนชื่อของมิเอลออกมาราวกับจะตอกลิ่มแหลมเป็นครั้งสุดท้าย จนเสียงนั้นดังไปถึงอาเรียที่อยู่ไกลออกไป

มิเอลหน้าซีดเผือดเมื่อต้องทนรับแววตาที่เต็มไปด้วยการประณามของทุกคน ข้างๆ เธอมีแอนนี่ที่ยืนยิ้มอยู่นิ่งๆ ราวกับไม่รู้เรื่องอะไร

เมื่อได้เห็นฉากที่น่าพึงพอใจเกินที่คาดหวังไว้ อาเรียก็รู้สึกเหมือนจะหลุดหัวเราะออกมา เธอจึงกัดริมฝีปากและพยายามซ่อนความรู้สึกเอาไว้

“นางมารร้ายชั่วช้าแบบนั้นมาในที่ที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้ยังไงกัน…! “

“ไม่ละอายใจเลยสิท่า”

“นี่คงไม่ได้คิดจะก่อกวนท่านซาร่าหรอกใช่ไหมคะเนี่ย”

“พอเห็นสีหน้าที่ดูชั่วร้ายแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเลยนะคะ”

ไม่มีใครหยุดพูดคำหยาบคายออกมาได้เลยสักคน

มิเอลหน้าถอดสี เธอจับไปที่ขมับของตัวเองและเริ่มตัวสั่นราวกับจะล้มลงไปในทันที ส่วนบารอนเวอร์บูมที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทำตัวไม่ถูกและกลอกตาไปมาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

อาเรียที่สังเกตดูเหตุการณ์อยู่สักพักก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอกลัวอะไรขนาดนั้นกันเล่ามิเอล ทั้งที่เมื่อก่อนเธอเองที่เป็นคนพูดจาให้ร้ายฉันไม่รู้ตั้งกี่หน

ก่อนหน้านี้ไม่นานเท่าไหร่ เธอเรียกพวกเลดี้ให้มารวมตัวกันที่คฤหาสน์เพื่อพากันพูดจาดูเหยียดหยามอาเรีย อีกทั้งยังโผล่มาในงานเลี้ยงวันเกิดของอาเรียและถามว่าทำไมไม่เชิญเธอเข้าร่วมงานด้วย ทำให้อาเรียต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทำอะไรไม่ถูก

อาเรียนึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา และคิดว่าจะอยู่เฉยๆ จนกว่ามิเอลจะเป็นลมล้มลงไปดีหรือไม่ แต่เมื่อได้เห็นหน้าตาตกใจของซาร่าที่อยู่ไกลออกไป จึงตัดสินใจหยุดความสนุกสนานไร้สาระเอาไว้แค่นี้และเรียกชื่อมิเอลออกมา

“มิเอล! มาถึงก่อนสินะ นี่เป็นวันดีๆ ที่ตั้งตารอคอยแท้ๆ แต่สีหน้าน้องดูไม่ค่อยดีเลยนะ”

หลังจากอาเรียจับมืออาซก้าวออกมา ผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มเปิดทางให้แก่พวกเขา เมื่ออาเรียก้าวเดินออกมาอย่างสง่าราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สายตาที่เพ่งไปยังมิเอลก็เริ่มกระจัดกระจายหายไป

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หืม มิเอล”

เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย อาเรียก็ปล่อยมือจากอาซและลูบแก้มมิเอลที่หน้าซีดเผือดขึ้นมา พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

ใครกันนะที่ทำให้เธอต้องมาอับอายแบบนี้ จะไม่แก้แค้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอดได้อย่างไรเล่า ในเมื่อฉันรู้ถึงวิธีนั้นเป็นอย่างดี

‘วิธีทำลายตัวเองด้วยตัวเลือกที่ดูโง่เขลาเหมือนกับฉันในอดีตไงล่ะ’

“หืม มิเอล”

อาเรียเรียกชื่อมิเอลออกมาทั้งที่ในใจคิดเช่นนั้น จากนั้นมิเอลก็ปลดปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาและจับมืออาเรียเอาไว้ในสภาพน้ำตาคลอ

…………………………………………………….