ตอนที่ 468 เจี่ยหนานซิง
“ประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ” โจวถงถงรู้สึกพอใจในท่าทีของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก
เพราะนั่นแสดงถึงความแข็งแกร่งของหอเทียนจี คงมิมีผู้ใดคาดว่า ขันทีประกาศพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นคือสายลับของหอเทียนจี
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นการต่อสู้ของขันทีเจี่ยกับโหยวเป่ยโต้วที่ภูเขาลั่วเหมยแห่งชังไห่มิใช่เรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โจวถงถงส่ายหน้า “เป็นเรื่องจริง ! พวกเขาเป็นพี่น้องต่างบิดากัน ล้วนเป็นผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้กันทั้งคู่ แต่เล็กจนโตมิมีใครยอมใคร ดังนั้นทั้งสองจึงสัญญากันว่า หากผู้ใดเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ทีหลังจะต้องตัดความเป็นชายของตนออก แน่นอนว่าโหยวเป่ยโต้วเป็นผู้ชนะ เนื่องจากเขาเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ก่อนหนานซิง 3 ปี ดังนั้น…เจี่ยหนานซิงจึงได้ตัดตอนด้วยตนเอง”
ให้ตายสิ เขาดูถูกขันทีเจี่ยไปได้เยี่ยงไร เจ้าหมอนี่ช่างโหดร้ายกับตนเองได้ถึงเพียงนี้ ?
“เจี่ยหนานซิงเข้ามาในวังได้ศึกษาและได้ก้าวหน้าด้านการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง และในที่สุดเขาก็ได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ในสามปีต่อมา จึงได้เดินทางกลับไปยังภูเขาลั่วเหมยเพื่อต่อสู้กับโหยวเป่ยโต้วอีกครา”
“ผู้ใดชนะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เจี่ยหนานซิงชนะ”
โหยวเป่ยโต้วสู้เขามิได้เยี่ยงนั้นหรือ !
“เนื่องจากโหยวเป่ยโต้วแพ้การต่อสู้ ดังนั้นชีวิตนี้เขาจะออกไปจากราชวงศ์อู๋มิได้อีก นี่คือกฎที่พวกเขาตกลงกันไว้ ดังนั้นโหยวเป่ยโต้วจึงได้อยู่ที่ภูเขาลั่วเหมยเพื่อดูแลต้นเหมยเหล่านั้น ส่วนเจี่ยหนานซิงก็ได้เข้าสู่หอเทียนจี และเดินทางมายังราชวงศ์หยูแล้วเข้าสู่พระราชวัง รับหน้าที่เป็นขันทีเล็ก ๆ เมื่อฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์และได้เล็งเห็นว่าเขามีประสบการณ์ จึงได้คัดเลือกมาเป็นขันที”
โจวถงถงหยุดลงชั่วครู่ เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้คิดตามข้อมูลที่ตนกล่าวออกไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มิเช่นนั้น นโยบายการทำสงครามอีกทั้งหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นที่ฝ่าบาทเขียนในพระราชวังจินเตี้ยนแห่งราชวงศ์หยู จะไปถึงมือของจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างรวดเร็วได้เยี่ยงไรกัน”
“กระหม่อมได้รับความกรุณาจากจักรพรรดิองค์ก่อนยิ่ง เมื่อใดที่ฝ่าบาททรงมีเวลาก็มักจะเดินทางมายังกวนหยุนถายเพื่อเล่นหมากรุกกับกระหม่อม หากมิใช่เพราะบทความอันยอดเยี่ยมทั้งบู๊และบุ๋นของฝ่าบาทนั้น เกรงว่าจักรพรรดิองค์ก่อนคงจะมิทรงเรียกตัวฝ่าบาทมาเป็นแน่”
“ก่อนหน้านั้น จักรพรรดิองค์ก่อนทรงหวังให้ฝ่าบาทใช้ชีวิตในเมืองหลินเจียงอย่างสงบสุข เป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น หรือจะเป็นอันธพาลก็มิเป็นไร เนื่องจากจวนฟู่แห่งเมืองหลินเจียงมีเงินทองมากมายให้ฝ่าบาทใช้ได้อย่างสำราญใจ”
“จักรพรรดิองค์ก่อนเคยตรัสว่า ตำแหน่งจักรพรรดินี้ทุกคนล้วนปรารถนา แต่หาได้มีผู้ใดรู้ไม่ว่าตำแหน่งนี้ช่างสูงยิ่งนัก ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งสูงยิ่งเหงา หาได้มีความสุขแบบคนทั่วไปไม่”
“จักรพรรดิองค์ก่อนคาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะซ่อนสายลับไว้ในหอเทียนจี ที่ฝ่าบาทมีความสามารถด้านวรรณกรรมนั้นยังมิเท่าไหร่ แต่เมื่อฝ่าบาทเดินทางมายังเมืองจินหลิง และได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางระดับห้า จิตใจของจักรพรรดิองค์ก่อนก็มิสามารถแน่นิ่งได้อีกต่อไป”
“ฝ่าบาทเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิ แต่กลับเข้าไปเป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หยู ฝ่าบาททรงคิดว่าเรื่องนี้มิเหมาะสม ดังนั้นจึงได้จัดงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้น ประกอบกับที่ฝ่าบาทมีความสามารถทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้ จึงทำให้เห็นถึงความบกพร่องของพระโอรสอีก 2 พระองค์”
“ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงเดินทางไปถึงเมืองกวนหยุนหนึ่งคืน จักรพรรดิองค์ก่อนได้ตรัสกับกระหม่อมไว้หนึ่งประโยค”
“พระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์หวังว่าฝ่าบาทจะทรงมีความสุขเฉกเช่นนกที่โผบิน แต่ก็ทรงหวังว่าราชวงศ์อู๋จะรุ่งเรืองสืบต่อไป กระหม่อมจำได้ดีว่าพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า หากมอบราชวงศ์อู๋ให้แก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงสร้างมันให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน”
“ในตอนนั้นองค์จักรพรรดิทรงสับสนมากยิ่งนัก ท้ายที่สุดแล้วจักรพรรดิองค์ก่อนจึงทรงตัดสินใจเปิดทางให้แก่ฝ่าบาทได้เข้ามาเป็นเจ้าของตำหนักบูรพา ดังนั้นจึงทำให้มีเรื่องราวที่ฝ่าบาททรงเดินทางไปเมืองกวนหยุนเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถามว่า “ไทเฮาซีเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ? ”
โจวถงถงเองก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “นาง…เกรงว่าจะมิใช่ผู้ที่มั่นคงมากนัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเข้าหากัน “ข้ารู้ตัวตนของฟู่ต้ากวนแล้ว เขาได้บอกเรื่องราวบางอย่างกับข้า ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่า หากตำแหน่งของไทเฮามั่นคง แต่ตัวนางกลับมิมั่นคง เจ้าจะมีวิธีจัดการเยี่ยงไร ? ”
โจวถงถงพยักหน้า “ต่อไปฝ่าบาทจะทรงรู้เองว่าหอเทียนจีมิได้เรียบง่ายดังที่ตาเห็น”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจลง แล้วเอ่ยว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงเมืองกวนหยุน หากได้พบเจอกับหลิงเอ๋อร์จงบอกกับนางว่า ตำราหลี่เสวียที่ท่านอาจารย์เหวินสิงโจวเขียนนั้น สามารถเผยแพร่ได้ทั่วหล้า”
โจวถงถงนิ่งเงียบลงไปอีกครา มิใช่เพราะตำราหลี่เสวีย แต่จากคำเอ่ยของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าเขายังมิยอมกลับไปยังราชวงศ์อู๋
ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนสงสัยไทเฮาซี ก็จำเป็นจะต้องจับเกาเสี่ยนให้ได้ เพื่อบีบบังคับให้ไทเฮาซีหมดสิ้นหนทาง
แต่ฟู่ต้ากวนมิเคยร้องขอให้ฝ่าบาทเดินทางกลับไปยังราชวงศ์อู๋ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทเอง หากว่าไทเฮาซีทรงกลายเป็นสุนัขบ้าวิ่งไล่กัดผู้คนขึ้นมา แม้ว่าหอเทียนจีจะมีแผนการอยู่ แต่ก็อาจจะมีข้อบกพร่องได้
ฝ่าบาทจะทรงสวรรคตอีกคราหนึ่งมิได้ เช่นนั้นการที่ให้เขาอยู่ในเมืองจินหลิงต่อไปนับว่าเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ที่กระหม่อมเดินทางมาในครานี้ เพื่อนำฝูงมดนี้มอบให้แก่ฝ่าบาท บัดนี้หน้าที่ของกระหม่อมได้เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปกระหม่อมจะไปตามหาเกาเสี่ยน ส่วนเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาท พวกมดงานจะรับผิดชอบเอง”
โจวถงถงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ได้กำมือขึ้นโค้งคารวะแล้วเดินทางออกจากจวนฟู่ทันที ร่างของเขาได้เลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและกำลังจะนั่งลง เขาก็ต้องตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครา !
เนื่องจากมีเงาหนึ่งลอยมายังหลีเฉินซวน
มือของฟู่เสี่ยวกวนรีบล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ แต่ต่อมาเขาก็ได้วางมันลงแล้วส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา
ขันทีเจี่ย !
“ท่านอยู่ที่นี่ตลอดเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“กระหม่อมเจี่ยหนานซิง คารวะฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งมาถึงเมื่อครู่”
“อย่าได้ใช้คำเอ่ยเหล่านั้นเลย มาเถิด เชิญนั่ง”
รอยยิ้มบนใบหน้าอันเหี่ยวย่นของขันทีเจี่ยช่างสดใสยิ่ง เขานั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้แก่เขา
“ท่านช่างเก่งกาจเสียจริง ! ”
“หาใช่ไม่ กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงเก่งกาจยิ่งกว่ากระหม่อมเสียอีก”
“เอาล่ะ พวกเราอย่าได้มัวเสียเวลาเอ่ยชมกันไปมาเลย หลังจากที่ข้ารู้ถึงตัวตนของท่าน ข้าก็มีบางเรื่องที่มิค่อยเข้าใจ เรื่องที่สุสานจักรพรรดินั้น หากท่านมิลงมือ ฮ่องเต้คาดว่าอาจจะมิรอด เมื่อฮ่องเต้สวรรคต ราชวงศ์หยูก็คงจะวุ่นวาย นี่มิได้เป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์อู๋มากกว่าเยี่ยงนั้นหรือ เหตุใดท่านจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ? ”
“ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มีอยู่สองเหตุผล ประการแรกนั้น เนื่องจากกระหม่อมติดตามฮ่องเต้มานับสิบปี แท้จริงแล้วฮ่องเต้มิใช่คนเลวร้ายอันใด เพียงแต่มองไปแล้วเขามีความสามารถมิมากพอก็เท่านั้น แต่พระองค์ก็ทรงมีเสน่ห์ในแบบของตนเอง กระหม่อมแม้เป็นเพียงขันที แต่ก็รู้จักในบุญคุณ ในตอนนั้นกระหม่อมมิทันได้คิดจึงได้ลงมือออกไป”
“ประการที่สองเล่า ? ”
“ประการที่สอง…กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะทรงถูกองค์ชายใหญ่ทำร้าย”
“เยี่ยงนั้นหมายความว่า เจ้าก็รู้มาตั้งแต่แรกเกี่ยวกับตัวตนของข้า ? ”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อคราที่ฝ่าบาททรงจากเมืองหลินเจียงแล้วมุ่งหน้ามาเมืองจินหลิง กระหม่อมได้รับข่าวสารมาจากหอเทียนจีจึงได้ทราบว่าฝ่าบาทคือผู้ใด”
“ในครานั้นที่ข้าถูกลักพาตัวจนแทบเอาชีวิตออกมามิได้ เหตุใดท่านจึงมิเข้าไปช่วยข้า ? ”
“…” ขันทีเจี่ยหน้าซีดเผือดลงทันที จากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างจริงใจว่า “ในตอนนั้นฝ่าบาทยังมิได้กระทำตนให้เป็นจุดสนใจ กระหม่อมเองก็มิทราบว่าจัวอี้สิงจะยื่นมือเข้ามาทำร้ายฝ่าบาท”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา “ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น ว่าแต่โจวถงถงกล่าวว่าท่านจะมาอารักขาข้า แล้วฮ่องเต้เล่า ? ”
“ซูเจวี๋ยกำลังเดินทางมา อีกราวสองวันก็น่าจะถึงเมืองจินหลิงแล้ว มีเขาอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ หากว่ามิใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งกว่า ความปลอดภัยของฮ่องเต้ก็มิใช่เรื่องที่น่ากังวล”