บทที่ 387 งานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 387 งานเลี้ยงที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

 

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองหวังจง

 

พ่อบ้านชราพลันยกมือขึ้นตบหน้าผากของตนเองเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้าน้อยได้ยินมาว่าที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งคืนนี้ มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัว ซึ่งเป็นบุตรชายของท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อัน แล้วก็ยังมีคุณชายหนี่ฟู่กวง บุตรชายคนที่ 19 ของขุนนางผู้ปกครองแคว้นซินจิน ส่วนแขกคนอื่นๆ เป็นมือกระบี่ยอดอัจฉริยะจากสำนักกระบี่ต่างๆ ในมณฑลเฟิงอวี่ เห็นว่าฉุยหมิงโหลวรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกคนสำคัญทั้ง 11 คนนี้ด้วยตัวเองเลยขอรับ”

 

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วสีหน้าครุ่นคิด

 

ก่อนจะหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มปริศนาอีกครั้ง

 

ชายหนุ่มปริศนาคนนี้มีนามว่าเฉิงเฉียนกุ่ย มีอายุราว 20 ปี หน้าตาหล่อเหลา เสื้อคลุมที่สวมใส่ตัดเย็บอย่างปราณีต ระดับพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายสูงส่งกว่าคนอื่นในรุ่นเดียวกัน

 

รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้ายามสบตามองหลินเป่ยเฉิน บอกชัดถึงการเย้ยหยันเล็กน้อย

 

เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ยังจะอวดดีได้อีกนะ

 

เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าบรรดาอ๋องน้อยและมือกระบี่ดาวรุ่งทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่ในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งต้องไม่ใช่ตัวดีแน่นอน

 

“เจ้าควรภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับเฉียนเหมยและเฉียนเจินจะดีกว่า” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เชิญนำทาง”

 

“ทางนี้ขอรับ คุณชายหลิน”

 

เฉิงเฉียนกุ่ยยิ้มเล็กน้อยและหมุนตัวเดินนำหน้า

 

หลินเป่ยเฉินขยับออกมาได้สองก้าว ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน “ช้าก่อน”

 

เฉิงเฉียนกุ่ยหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน แววตาเหยียดหยามชัดเจนมากขึ้นโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ สีหน้าของชายหนุ่มสามารถอ่านเป็นความหมายได้ว่า เจ้ากลัวแล้วสินะ?

 

หลินเป่ยเฉินเดินกลับเข้าไปในตำหนักไม้ไผ่ นำเสื้อผ้าสำรองอีกหลายชุดมาเก็บไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เรียบร้อยดีแล้วจึงเดินกลับลงมาจากชั้นสอง

 

“ข้าไปก่อนนะ”

 

ก่อนที่จะออกมาจากตำหนักไม้ไผ่ เด็กหนุ่มหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้แก่หวังจง

 

พ่อบ้านชราพยักหน้าตอบรับ

 

รอจนกระทั่งหลินเป่ยเฉินเดินขึ้นรถม้าและรถม้าคันนั้นก็แล่นหายลับไปในความมืด หวังจงถึงได้ยกมือเกาหัวแกรกๆ

 

ที่นายน้อยขยิบตาให้เขาเมื่อสักครู่นี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?

 

หรือนายน้อยพยายามส่งสัญญาณบอกให้เขาไม่ต้องทำอะไร เพียงรออยู่ที่นี่ต่อไป เดี๋ยวนายน้อยจะจัดการเรื่องราวทุกอย่างเอง?

 

 

ในห้องโดยสารของรถม้า

 

“เอาล่ะ หวังจงเข้าใจสัญญาณที่เราส่งให้แล้ว เดี๋ยวก็คงไปตามตัวอาจารย์ฉู่ อาจารย์ติง แล้วก็นักพรตหญิงชินให้ตามไปช่วยเหลือเราที่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งแน่นอน คืนนี้มีแต่พวกคุณชายร่ำรวยมารวมตัวกันทั้งนั้น…ถ้าจะฆ่างูก็ต้องตัดหัวงูทิ้งก่อน ในเมื่อคิดที่จะมาหาเรื่องกัน รับรองว่าไอ้คุณชายพวกนั้นไม่รอดแน่”

 

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความมั่นใจ

 

ไม่เสียทีที่ลุงหวังอยู่กับเขามาเนิ่นนาน เพียงขยิบตาส่งสัญญาณครั้งเดียว พ่อบ้านชราก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

 

มันจะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน

 

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ชำเลืองมองเฉิงเฉียนกุ่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์

 

“เราไม่สามารถปั้มเหรียญทองได้ แต่เราจะปั้มเสื้อผ้าออกมาหลายๆ ชุดได้ไหมหว่า? ลองดูหน่อยก็แล้วกัน…”

 

หลินเป่ยเฉินพยายามใช้ฟังก์ชันทำสำเนาในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ของโทรศัพท์ เพื่อผลิตเสื้อผ้าสำรองขึ้นมาอีกหลายๆ ชุดไว้สำหรับสวมใส่หลังใช้พลังปราณธาตุไฟ

 

แต่ว่า…

 

‘การทำสำเนาล้มเหลว’

 

หน้าต่างข้อความเด้งขึ้นมาแจ้งเตือน

 

หลินเป่ยเฉินหน้ามุ่ยด้วยความเสียดาย

 

แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ ก็พบว่าเฉิงเฉียนกุ่ยกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาประหลาดใจ หลินเป่ยเฉินไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคือง แต่เขาค้นพบที่ระบายอารมณ์ของตนเองแล้ว

 

“เจ้ามองอะไรของเจ้า?”

 

หลินเป่ยเฉินถามตาไม่กะพริบ

 

เฉิงเฉียนกุ่ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะในลำคอและหันหน้ามองไปทางอื่น

 

หลินเป่ยเฉินนึกเสียดายอีกครั้ง

 

ทำไมเจ้าหมอนี่ไม่สู้เลยนะ

 

แค่ตอบกลับมาว่า ‘ก็มองเจ้าไงล่ะ’ เขาก็มีข้ออ้างให้อาละวาดได้แล้วเชียว

 

 

โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง

 

ณ ห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่ง

 

นี่คือห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยม

 

พื้นที่ด้านในแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน

 

พื้นที่ส่วนแรกมีลักษณะเหมือนห้องนั่งเล่น ผนังด้านหนึ่งตั้งอยู่ด้วยชั้นวางหนังสือและฝั่งตรงข้ามก็เป็นแคร่วางอาวุธหลากหลายชนิด ผนังอีกด้านเป็นหน้าต่างที่เปิดรับลม ส่วนผนังด้านสุดท้ายเป็นบันไดสามขั้นที่ทอดนำไปสู่ห้องรับประทานอาหารด้านใน

 

ภายในห้องรับประทานอาหารตั้งไว้ด้วยโต๊ะกลมขนาดใหญ่สามารถรองรับแขกได้ 12 คน

 

บัดนี้ ที่โต๊ะมีแขกนั่งอยู่เต็มจำนวนทั้ง 12 คน

 

ผู้ที่นั่งอยู่บริเวรหัวโต๊ะเป็นชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีม่วงคนหนึ่ง

 

เขามีอายุ 20 ปี ผมดำยาวสลวย หน้าผากคาดรัดเกล้าทองคำ คิ้วยาว ผิวขาว ริมฝีปากบาง รูปร่างผอมสูง นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ สองเท้ายกขึ้นมาวางพาดอยู่บนโต๊ะอาหาร ลำคอส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามบางสิ่งบางอย่างตลอดเวลา เพียงดูอากัปกิริยาเท่านี้ ก็ทราบแล้วว่าชายหนุ่มหาใช่คนดีไม่

 

ทางขวามือของเขานั่งไว้ด้วยชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมใส่ชุดเกราะของทหารจากแคว้นซินจิน แต่ด้วยร่างกายที่ผอมแห้งเกินไปหน่อย ชุดเกราะเหล็กจึงหลวมโพรกไม่พอดีตัว ชายหนุ่มคนนี้มีผิวขาวยิ่งกว่าสตรี และส่วนที่ขาวที่สุดก็คงจะเป็นใบหน้ารูปทรงสามเหลี่ยมที่ดูเหมือนไม่มีสีเลือด สองแก้มตอบซูบ เบ้าตาลึกโหล แม้ยังมีอายุเพียง 20 ปี แต่เขาก็ดูแก่เกินวัยไปมากโข

 

ส่วนทางด้านซ้ายมือเป็นหญิงสาวผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีสันแวววาว นางมีผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างบอบบาง ใบหน้างามงด คิ้วโก่งเรียวบาง ดวงตาหวานเยิ้ม แก้มแดงเปล่งปลั่ง นางมักแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าโดยไม่ปิดบัง และบัดนี้ นางก็กำลังใช้สายตากวาดมองห้องรับประทานอาหารด้วยความผิดหวัง เหมือนกับว่านางกำลังอยู่ในกระท่อมน้อยโสโครกก็ไม่ปาน

 

นอกจากนั้น ที่โต๊ะอาหารยังมีชายหนุ่มรุ่นเดียวกันอีกเก้าคน บุคคลทั้งเก้านั้นนอกจากฉุยหมิงโหลวซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้แล้ว อีกแปดคนที่เหลือต่างก็เป็นมือกระบี่ในช่วงอายุระหว่าง 18 ถึง 20 ปี ทุกคนสวมใส่อาภรณ์หรูหรา มองเพียงปราดเดียวก็ทราบแล้วว่ามาจากตระกูลใหญ่ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวมหาเศรษฐี ก็ต้องเป็นตระกูลขุนนางรับใช้วังหลวงอย่างแน่นอน

 

โดยเฉพาะระดับพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากกลุ่มคนกลุ่มนี้ มันช่างแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเดียวกันหลายเท่า

 

“ท่านอ๋องน้อยขอรับ ผู้คนมาถึงแล้ว”

 

ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำสี่คนเดินเข้ามาพร้อมด้วยกระสอบป่านสองใบ

 

ตุบ!

 

กระสอบทั้งสองใบนั้นถูกโยนทิ้งลงบนพื้น

 

ร่างของเด็กสาวสองคนคลานออกมาจากด้านในกระสอบ

 

จะเป็นใครไปได้อีกหากไม่ใช่เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน?

 

พวกนางสวมใส่ชุดเครื่องแบบลูกศิษย์ประจำสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ใบหน้าสะสวยกำลังแสดงถึงความตื่นกลัวสุดขีด ผมเผ้าของพวกนางยุ่งเหยิงตกลงมาปกคลุมใบหน้า ตลอดทั้งร่างกายเปียกชุ่มด้วยเม็ดเหงื่อ

 

เมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสองนางถนัดตา บรรดาเด็กหนุ่มที่อยู่ในงานเลี้ยงก็เบิกตาโตด้วยความสนอกสนใจ

 

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายบ้านนอกอย่างหลินเป่ยเฉินจะมีสาวรับใช้หน้าตางดงามถึงเพียงนี้

 

แม้ขณะนี้พวกนางจะมีสีหน้าหวาดกลัว แต่มันก็ยังไม่สามารถปิดบังความสวยงามของใบหน้าได้อยู่ดี

 

“พวกท่านเป็นใคร…? จับตัวพวกเรามาทำไม?”

 

เฉียนเหมยลุกขึ้นยืนขวางหน้าเฉียนเจินพยายามปกป้อง นางบังคับให้ตนเองมีสีหน้าเยือกเย็น แต่ร่างกายกลับสั่นเทาอย่างไม่เชื่อฟัง น้ำเสียงที่กล่าวออกไปยิ่งสั่นเครือ แสดงออกถึงความหวาดกลัวชัดเจน “พวกเราทั้งสองคนเป็นหญิงรับใช้ของคุณชายหลินเป่ยเฉิน ผู้มีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า พวกท่านไม่มีสิทธิ์มาจับตัวเรา…กรุณาปล่อยพวกเรากลับออกไปเดี๋ยวนี้”

 

“ใช่แล้ว”

 

เฉียนเจินยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังเฉียนเหมย และจับชายกระโปรงของอีกฝ่ายแน่น “มิฉะนั้นแล้ว คุณชายหลินจะไม่ให้อภัยพวกท่านแน่”

 

“ว่าไงนะ?”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

กลุ่มคนที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน

 

มีแต่เพียงฉุยหมิงโหลวผู้เดียวเท่านั้นที่หันไปมองหน้าชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีม่วง ดูเหมือนบุตรชายของท่านเจ้าเมืองจะไม่ทราบมาก่อน ว่าจะมีการจับตัวผู้คนมาที่งานเลี้ยงคืนนี้ “ท่านอ๋องน้อยขอรับ นี่คือเรื่องราวใดกันแน่? ท่านบอกว่านี่จะเป็นเพียงงานเลี้ยงธรรมดาไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนถึงได้ไปจับตัวสาวรับใช้ของหลินเป่ยเฉินมาเช่นนี้เล่า?”

 

ชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงยังคงนั่งเอนตัวยกขาขึ้นพาดโต๊ะอาหารดังเดิม ไม่สนใจตอบคำถามของฉุยหมิงโหลวให้เสียเวลา

 

ชายหนุ่มใบหน้าสามเหลี่ยมในชุดเสื้อเกราะทหารยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่และกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉินนับเป็นตัวอะไร มันควรรู้อยู่แล้วว่าตนเองจะต้องพบเจอกับสิ่งใด ดูจากรูปแบบที่มันสังหารหานเฉิงกับไท้เสว่เหมย ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามันกำลังดูถูกพวกเรา ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้เราปล่อยผ่านไปโดยง่าย แล้วในอนาคตพวกเราจะสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในมณฑลเฟิงอวี่ได้อย่างไร? หือ?”

 

“แต่สาวรับใช้ทั้งสองนางนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยนะขอรับ” ฉุยหมิงโหลวพยายามโต้แย้ง “หากเรื่องราวนี้หลุดรอดออกไป มันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของท่านเอง”

 

พลัน หญิงสาวที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือยิ้มแย้มเย็นชา เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่พูดออกมาว่า “เจ้าเด็กสมองเสื่อมนั่น กระทำสิ่งใดต่อพวกเราเอาไว้ ก็ต้องชดใช้คืนอย่างสาสม นี่นับเป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว”