บทที่ 332 หวนคืนสู่ชีวิต

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 332 หวนคืนสู่ชีวิต

เขา เขาชนะแล้วจริงๆ…

การแสดงออกของหนานกงเชี่ยนโหรวยากเกินจะคาดเดา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงใบหน้าอันร้อนผ่าวราวกับถูกใครตบลงที่หน้า

แม้ว่าจะอาศัยเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊อเพื่อให้ได้ชัยชนะ แต่ความสามารถของเขาในการเอาชนะยอดฝีมือขั้นสี่สองคนก็หมายความว่าเขาสามารถเอาชนะพวกเราได้…

ฆ้องทองคำจำนวนมากตกอยู่ในอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เพียงรู้สึกว่าตนเองได้ทำงานหนักมาครึ่งชีวิตแล้ว อาจจะไม่สามารถเอาชนะเด็กที่เมื่อครึ่งปีที่แล้วยังอยู่ในช่วงหลอมปราณได้

การต่อสู้นั้นหนักหนาเกินไป สร้างความกระอักกระอ่วนให้ฆ้องทองคำชั่วขณะหนึ่ง

“ชนะแล้ว ชนะแล้ว…”

ยายเด็กน้อยตัวร้ายส่งเสียงโห่ร้อง หากไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์และเกียรติอันสูงศักดิ์ขององค์หญิง นางคงจะกระโดดสูงสามไม้บรรทัดราวกับการกระโดดของกระต่ายแล้วเป็นแน่

สาวน้อยเจ้าเสน่ห์มีความสุขแทบทะลัก

เพราะต้องต่อสู้กับสำนักพุทธ จึงน่าไม่แปลกใจหากท่านโหราจารย์จะให้การสนับสนุนเขา…

แต่ครั้งนี้เขาเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้ถึงสองคนด้วยการฝึกตนขั้นหกอันบริสุทธิ์…

ฮว๋ายชิ่งไม่โห่ร้องเหมือนหลินอันที่ทำไปโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์แบบนั้น แต่ความตกใจของนางก็มีไม่น้อย

“ไม่ใช่ว่าความแตกต่างของพวกเขาห่างกันมากหรือ? เด็กคนนี้ถึงเอาชนะได้” ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในหมวกริ้วตาข่ายของพระมเหสีจ้องมองที่ฉู่เซียงหลงราวกับซักไซ้เอาความ

ดวงตาของฉู่เซียงหลงเบิกกว้าง ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย เดิมทีต้องการอธิบายสองสามคำแต่เมื่อเขานึกถึงฉากการต่อสู้ที่เพิ่งจบลง เขาพลันรู้สึกว่าการโต้แย้งใดก็ตามของเขาอาจเบาบางไร้ซึ่งน้ำหนัก

มุมปากบางของพระมเหสีจึงยกขึ้นเล็กน้อยพลางร้องฮัมเพลงในใจ

เสียงโห่ร้องดังขึ้นทีละน้อย ประชาชนทั่วไปไม่ลังเลที่จะส่งเสียงโห่ร้อง ชื่นชมชายหนุ่มที่ค่อยๆ ร่อนลงบนฝั่ง

ขุนนางท่านหนึ่งอยู่ในอารมณ์ยากจะคาดเดา ทอดถอนใจพลางพูดขึ้น “อยู่เมืองหลวงมากี่ปี ยังไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนใดที่เป็นที่รักของผู้คนมากมายเช่นนี้เลย”

ผู้คนต่างโห่ร้องดีใจ ท่าทางที่กระตือรือร้นทำให้พวกเขาพลันนึกถึงการสู้รบของด่านซานไห่ ชัยชนะของกองทัพและประชาชนในเมืองหลวงที่ให้การต้อนรับผู้คน

ในปีนั้นเว่ยเยวียนผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลก็สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้

ขุนนางอีกคนหนึ่งพูดอย่างเคร่งขรึม “สังเกตหรือไม่ว่าหลังจากการต่อสู้ในพิธีต้าวฮวด ชื่อเสียงของเขาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น”

“ท้ายที่สุดแล้วพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ใครก็ตามที่ชนะในพิธีต้าวฮวดจะได้รับเกียรติมากทีเดียว”

“อืม กล่าวได้ว่าโคจรปราณของเขาดีมากทีเดียว”

พี่ใหญ่ชนะแล้วจริงๆ เขาใช้วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อของข้าด้วย…

สวี่ซินเหนียนเก็บเกี่ยวความปลื้มใจเพิ่มเป็นสองเท่า สายตาเหลือบมองไปที่คุณหนูตระกูลหวางที่อยู่ด้านข้างซึ่งกำลังแสดงสีหน้าตกใจ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โอ้อวดและยกย่อง

“พี่ใหญ่ของข้ามักสามารถทำสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้เสมอ”

‘และข้าก็จะขอติดตามเขาต่อไปด้วยใจที่หาญกล้า’…สวี่เอ้อร์หลางกล่าวเสริมในใจ

หวางซือมู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางชอบความเย่อหยิ่งของสวี่เอ้อร์หลาง อันที่จริงเป็นเพราะความเย่อหยิ่งนี้ เขาถึงไม่เคยกล่าวด้อยค่าลูกพี่ลูกน้องหรือกล่าวโทษตนเอง

บนฝั่งแม่น้ำ สวี่ชีอันอุ้มหลี่เมี่ยวเจินไว้ในอ้อมแขนของเขา ค่อยๆ เดินผ่านผู้คนที่กำลังตื่นตาตื่นใจ ผ่านชาวยุทธ์ที่ตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก ผ่านใบหน้าที่แสดงออกแตกต่างกันออกไป

เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกระพือปีกที่มองไม่เห็นแล้วบินจากไปพร้อมกับหลี่เมี่ยวเจินในอ้อมแขน

ฉู่หยวนเจิ่นเฝ้ามองแผ่นหลังของเขาจนลับหายไป บทกวีหนึ่งก้องอยู่ในใจของเขา ‘วันนี้แสดงให้เห็นแล้ว ใครกันที่อยุติธรรม’

นี่คือครึ่งหลังของบทกวีที่สวี่ชีอันพูดก้องในหูของเขา

ชั่วครู่ ฉู่หยวนเจิ่นตัวสั่นอย่างอธิบายไม่ถูกราวกับถูกฟ้าผ่า ดังนั้นจึงปล่อยดาบไม่ดิ้นรนกับผลของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อีกต่อไป

“วันนี้แสดงให้เห็นแล้ว ใครกันที่อยุติธรรม…” เขาพึมพำกับตัวเอง

‘ข้าเฝ้าดูแลดาบมาหลายปี ครั้นถึงวันที่ได้สำแดงอีกครั้งมันจะต้องเผยความคม แล้วก็จะไม่มีใครที่ต้านทานข้าได้แท้ๆ…เดิมทีในศึกระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ข้าต้องการปลดดาบ เอาชนะหลี่เมี่ยวเจิน และคืนความสง่างามของวีรบุรุษ…แต่ข้ากลับคิดผิดมหันต์ หลี่เมี่ยวเจินเป็นคนกล้าหาญด้วยบุคลิกอันชอบธรรมและประพฤติดี ไม่สมควรตายด้วยดาบของข้า หากข้าฆ่าคนดีเพราะความเห็นแก่ตัวเอง ในภายภาคหน้าข้าคงได้กลายเป็นปีศาจ คร่ำครวญไปตลอดชีวิต…สวี่ซินเหนียนช่วยข้าเอาไว้จริงๆ

ในวันนั้นเขาจงใจไม่พูดถึงครึ่งหลัง เพราะคาดการณ์ว่าจะมีวันนี้’…วันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นว่าใครกันแน่ที่มีความอยุติธรรม ซึ่งเป็นความตั้งใจดั้งเดิมของดาบ…ฉู่หยวนเจิ่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์

เขาเคลื่อนไปทางด้านหลังห่างออกไปจากสวี่ชีอัน พลางแสดงความเคารพอย่างลึกซึ้ง

“พวกเจ้าดูสิ ฉู่หยวนเจิ่นยังเลื่อมใสสุดจิตสุดใจว่าเขาพ่ายแพ้ และได้แสดงการเคารพนอบน้อมแก่สวี่ชีอัน”

“สวี่ชีอันเป็นผู้ที่เทพเซียนประทานพรสวรรค์ให้โดยแท้”

ผู้คนต่างมีความสุขมากที่ได้เห็นสวี่ชีอันโน้มน้าวศัตรูของเขา

รีบหนีดีกว่า หากไม่ชิงหนีทุกคนคงจะได้เห็นข้าถูกโจมตีด้วยวรยุทธ์ของขงจื๊อ สุดท้ายภาพลักษณ์ของข้าก็จะสูญสิ้นไป…สวี่ชีอันกระพือปีกที่มองไม่เห็นของเขากลับไปที่เมืองหลวง

เขาพลางนึกถึงข้อดีและข้อเสียของการมีส่วนร่วมในศึกระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ในใจ

“พลังเทพวชิระได้บรรลุผลสำเร็จตามที่ต้องการแล้ว ก่อนจะขึ้นขั้นสี่คงไม่ต้องบำเพ็ญเพียรอีกต่อไป ข้อได้เปรียบคือการป้องกันของข้าเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขั้นสี่หรือแข็งแกร่งกว่า แน่นอนว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นยังคงห่างไกลกันนัก”

เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มอบ ‘หนังสือเวทมนตร์’ ให้ข้าใช้ห้าหน้า โดยหน้าหนึ่งสำหรับแก่นปราณแห่งลัทธิเต๋า หน้าหนึ่งสำหรับสำนักพุทธศีล สองหน้าสำหรับคาถาและหลักปฏิบัติของลัทธิขงจื๊อ อืม ยังมีอีกหน้าหนึ่งที่ถูกหลี่เมี่ยวเจินทำลายไป…การสูญเสียค่อนข้างหนักหนา ข้าคงต้องหาทางไปที่สำนักอวิ๋นลู่เพื่อท่องนารีสักหน่อย ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะมีอยู่ในคลังสักกี่ชิ้น…

นักบวชเต๋าจินเหลียนยังคงติดหนี้สมบัติล้ำค่าข้าอยู่หนึ่งชิ้น คงต้องทวงถามเขาในภายหลัง

“ในครั้งนี้เป็นศึกต่อสู้ที่แทรกแซงระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ฝ่ายนิกายมนุษย์นั้นก็ไม่เลว อย่างไรก็ตามลั่วอวี้เหิงก็มีส่วนได้เสีย นิกายสวรรค์…”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สวี่ชีอันก็มองไปที่หลี่เมี่ยวเจิน ลูบไล้ใบหน้าเรียวของนางพลางกระซิบ “ช่างสวยจริงๆ มาเป็นอนุข้าเสียเถอะ ฮ่าฮ่า…”

สิ้นคำพูดไหล่ของเขาก็สั่นไหว เมื่อพบว่ากระแสลมไม่เคลื่อนไหวผ่านตัว ปีกล่องหนก็พลันหายวับไป ทันทีหลังจากนั้น ความเจ็บปวดราวสมองถูกฉีกทึ้งก็แล่นแปลบขึ้นมา ก่อนที่ดวงตาจะมืดบอดและร่วงลงในทันที

ในห้วงสุดท้ายของสติ เขากอดหลี่เมี่ยวเจินแน่นในอ้อมแขน เพื่อให้แน่ใจว่าเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์จะไม่ถูกทิ้งขว้างให้ตาย

ณ อารามรัตนะ

วันนี้ลั่วอวี้เหิงไม่มีกะจิตกะใจที่จะบำเพ็ญเพียร บางครั้งก็เล่นกับชุดน้ำชา บางครั้งก็อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋า บางครั้งก็ยืนอยู่ที่ลานบ้าน จ้องมองไปที่ท้องฟ้าสีครามนอกกำแพง

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ตั้งใจมาหานางเพื่อบำเพ็ญลมปราณ

ทำให้ลูกศิษย์ในอารามต่างยำเกรง เดินเหินและพูดคุยด้วยเสียงเบา ไม่นานอารามรัตนะก็ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันหดหู่และตึงเครียด

จนกระทั่งชายในชุดเขียวพร้อมด้วยดาบบนหลังของเขาก้าวเข้ามายังอารามรัตนะ ก่อนจะเดินผ่านห้องโถงและสวนเข้าไปในส่วนลึกของอารามเต๋า

“ฉู่หยวนเจิ่นกลับมาแล้ว”

“ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์จบลงแล้วหรือ? พี่ฉู่ แพ้หรือชนะ?”

“พี่ฉู่ ท่านเอาชนะหลี่เมี่ยวเจินแล้วใช่หรือไม่?”

ขณะนั้นบรรยากาศตึงเครียดถูกทำลาย หลังจากได้ยินข่าวนักพรตนิกายมนุษย์ก็เข้ามาล้อมฉู่หยวนเจิ่นเพื่อถามไถ่

ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหัวและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าแพ้”

เสียงพูดคุยหยุดลงกะทันหัน นักพรตนิกายมนุษย์ต่างมองหน้ากันอย่างเศร้าโศก

ฉู่หยวนเจิ่นเพิกเฉยต่อเหล่านักบวชที่มองโลกในแง่ร้ายพลางเดินตรงไปยังลานเล็กๆ ของลั่วอวี้เหิง เมื่อเข้าไปในลานเขาก็พบร่างสะสวยราวกับเทพธิดายืนอยู่ริมสระน้ำ

“ท่านราชครู” ฉู่หยวนเจิ่นทำการคำนับ

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้บทสรุปแล้ว ที่เจ้าไม่หยิบดาบออกมาคงมีเหตุผลของตนเอง ข้าไม่โทษเจ้าหรอก นิกายมนุษย์ฝึกฝนโดยอาศัยพลังปราณของราชวงศ์ แต่ไม่ได้ต้องการให้ชะตากรรมมีอายุสั้นลง”

“นี่เป็นสวรรค์ลิขิตและไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้…”

‘ข้าเพียงเอ่ยว่าข้าแพ้ แต่ไม่ได้บอกว่าหลี่เมี่ยวเจินชนะเสียหน่อย…ตอนนี้ข้าคงต้องทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนใช่หรือไม่ แล้วบอกกับนางว่าผู้ชนะคือสวี่ชีอัน…ดูเหมือนว่าคงถูกท่านราชครูตบปางตายเป็นแน่…’ หยวนเจิ่นลังเลในใจ

ลั่วอวี้เหิงมองไปเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาจึงกล่าวอย่างปลอบโยน “ไม่ต้องโทษตัวเอง อย่างที่ข้าบอกไป มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

ฉู่หยวนเจิ่นกระแอมพลางพูดว่า “ท่านราชครู ข้าไม่ชนะก็จริง แต่หลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ใช่ผู้ชนะเช่นกัน ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด สวี่ชีอันถึงรีบออกมากลางคันและเข้าแทรกแซงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ จนเอาชนะหลี่เมี่ยวเจินและข้าได้สำเร็จ

“ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ อันที่จริง…ยังไม่ทันเริ่มขึ้นเลยด้วยซ้ำ”

………………………………………………