บทที่ 686 : อภัยให้ไม่ได้!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 686 : อภัยให้ไม่ได้!

 

“ร่างไร้วิญญาณงั้นรึ!นี่ทุกคนตายหมดแล้วหรือนี่..”

 

เกาเทียนหลงถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นใบหน้าของเขาซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และปากก็คร่ำครวญออกมาไม่หยุดหย่อน..

 

แม้เกาเทียนหลงจะพอคาดการไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลจะต้องเป็นเช่นนี้..แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความจริง เขาเองก็ยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้ ความรู้สึกของเกาเทียนหลงเวลานี้ไม่ต่างจากการถูกทุบเข้าที่หัวใจอย่างแรง !

 

หลิงหยุนก้มหน้ามองเกาเทียนหลงที่นั่งทรุดกองอยู่กับพื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เกาเทียนหลง.. หากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชาย ก็ลุกขึ้นยืนได้แล้ว!”

 

น้ำเสียงของหลิงหยุนจริงจังหนักแน่นและดวงตาก็เป็นประกายขณะที่จ้องมองเกาเทียนหลงที่กำลังนั่งกองอยู่กับพื้น

 

ปัง!

 

เกาเทียนหลงกำหมัดขวาชกลงบนพื้นอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งบ้านเวลานี้มือขวาของเขาเต็มไปด้วยเลือด ก่อนจะทรงตัวลุกขึ้นยืนทันที!

 

“ข้าจะไปดูพวกเขา!”

 

เกาเทียนหลงไม่สนใจบาดแผลที่มือเขากัดฟันกรอดขณะที่เดินตรงไปยังห้องเก็บของ..

 

หลิงหยุนสังเกตเห็นว่า..ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด คนตระกูลเกาทั้งสิบคนที่ได้กลายเป็นแวมไพร์ และถูกหลิงหยุนจี้จุดพร้อมกับมัดไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำนั้น ต่างก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างก็อ้าปากแยกเขี้ยวยาวออกมาทันที..

 

ไม่เพียงแค่สมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบคนที่อยู่ในบ้านแม้แต่พอลกับเจสเตอร์เองก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน ทั้งคู่ต่างก็ต้องต่อสู้กับความกระหายเลือดของตนเอง สายตาของแวมไพร์ทุกคู่ต่างก็จ้องมองไปยังร่างของเกาเทียนหลง..

 

เหล่าแวมไพร์กำลังกระหายเลือด!

 

แวมไพร์ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแต่พวกมันต้องดื่มเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน พวกมันก็จะยิ่งมีความกระหายเลือดรุนแรงมากขึ้น และอาการกระหายเลือดของเหล่าแวมไพร์นั้น ก็จะรุนแรงยิ่งกว่าเวลาที่มนุษย์เราหิวข้าวเสียอีก เมื่อไหร่ที่รู้สึกกระหายเลือดขึ้นมา ลำคอของพวกมันจะเจ็บปวดรวดร้าวอย่างมาก และนั่นเป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายของพวกมันบีบบังคับให้เหล่าแวมไพร์ต้องออกไปดื่มเลือดมนุษย์.

 

“นี่พวกเจ้าสองคน!” หลิงหยุนส่งเสียงดุพอลกับเจสเตอร์ด้วยสีหน้าเย็นชา

 

เจสเตอร์กับพอลได้สติจึงรีบหุบปากทันทีแต่ถึงกระนั้นพวกมันก็กลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ทีเดียว..

 

“ลุงสี่..ป้าเล็ก.. น้องห้า.. ทุกคน..”

 

ไม่นานเกาเทียนหลงก็เดินมาถึงห้องเก็บของเสียงกรีดร้องด้วยความเศร้าโศกของเกาเทียนหลงดังออกมาจากห้องเก็บของ และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ เกาเทียนหลงคุกเข่าต่อหน้าร่างไร้วิญญาณนับสิบพร้อมกับสะอึกสะอื้น

 

ครั้งนี้นับว่าตระกูลเกาต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมและความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดหรือจะเรียกว่าจมอยู่ในทะเลเลือดก็คงจะไม่เกินไปนัก!

 

หลิงหยุนได้แต่แอบถอนใจ..ช่างโหดเหี้ยมนัก! ร่างไร้วิญญาณนับสิบนั้นต่างก็ตายเพราะถูกดูดเลือดจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวในร่างกาย และทุกคนต่างก็เป็นคนที่เกาเทียนหลรักทั้งสิ้น!

 

“เฉินเฉินรู้เรื่องนี้นี้หรือยังนะ!นี่หากนางรู้เข้าก็คง..” หลิงหยุนแทบไม่กล้าคิดต่อ..

 

ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆหลิงหยุนก็นึกถึงข้องความที่เกาเฉินเฉินส่งให้ฉางหลิง..

 

-ฉางหลิง..ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร! เรื่องระหว่างฉันกับหลิงหยุนคงเป็นไปไม่ได้ เธอช่วยดูแลหลิงหยุนแทนฉันด้วย และช่วยทำให้เขาลืมฉันให้ได้ ขอให้เธอกับหลิงหยุนและเพื่อนๆทุกคนในห้องมีแต่ความสุข 0125-

 

“จริงหรือ..ทุกอย่างเรียบร้อยดีจริงอย่างนั้นรึ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรจริงรึ?!”

 

“ให้ข้าลืมเจ้าเสีย!จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”

 

หลิงหยุนสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับกำหมัดแน่นขณะที่รำพึงรำพันออกมาเบาๆ!

 

ข้อความที่เกาเฉินเฉินส่งมามีความหมายเช่นไรนั้นหลิงหยุนย่อมรู้ดีที่สุด!

 

เมื่อครั้งก่อนที่เขาจะลงไปสำรวจหลุมยักษ์นั้นเขาเองก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-3 ตอนนั้นแม้แต่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 เขายังไม่สามารถเอาชนะได้เลย เกาเฉินเฉินคงจะกลัวว่าเขาจะบุกมาที่บ้านเธอ และเกรงว่าเขาจะได้รับอันตรายถึงตาย จึงได้ส่งข้อความเช่นนั้นมา..

 

‘เฉินเฉิน..ข้ามาถึงปักกิ่งแล้ว! ข้าจะไม่ยอมให้คนรักของข้าต้องได้รับอันตรายอย่างแน่นอน ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้เร็วที่สุด ข้าสัญญา!’

 

หลิงหยุนสาบานกับตัวเองในใจ..แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังเฉินเจี้ยนกุ่ยและตระกูลเฉิน.. และเขาจะไม่มีวันอภัยให้กับพวกมันอย่างแน่นอน!

 

“เจสเตอร์..พอล.. บอกข้ามาว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยมันทำกับคนพวกนี้ยังไงบ้าง” หลิงหยุนถามเสียงเบา..

 

“เจ้านายที่เคารพ..เฉินเจี้ยนกุ่ยชาติชั่วนั่น มันต้องการเลือดมนุษย์จำนวนมากเพื่อใช้ฝึกวิชา สำหรับคนที่ยังใช้ประโยชน์ได้ มันก็จะทำให้ตกเป็นบริวารของมัน ส่วนคนที่ไม่มีประโยชน์กับมัน มันก็จะดูดเลือดของคนผู้นั้นจนหมด เพื่อยกระดับความเป็นแวมไพร์ของมัน เท่าที่ข้ารู้.. มนุษย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งจะมีเลือดอยู่เพียงแค่ห้าหรือหกกิโลกรัมเท่านั้น…”

 

โดยเฉลี่ยแล้ว..มนุษย์จะมีเลือดในร่างกายอยู่ราว70 ถึง 80 มิลลิลิตร หรือเจ็ดถึงแปดเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม หากคนผู้นั้นมีน้ำหนักตัวราวหนึ่งร้อยกิโลกรัม ก็จะมีเลือดราว 6 กิโลกรัม

 

“ชั่วช้าสิ้นดี!”

 

หลิงหยุนแผดเสียงออกมาอย่างเคียดแค้นเขาเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาพร้อมกับร้องตะโกนออกไป..

 

“คอยดู..ข้าจะใช้กระบี่เล่มนี้ดูดเลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยออกมาไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว..!”

 

“แล้วเหตุใดแวมไพร์พวกนี้ไม่กลายร่างเหมือนเจ้าสองคน”

 

หลังจากที่ระบายความคั่งแค้นใจออกมาแล้วหลิงหยุนก็หันไปถามพอลกับเจสเตอร์ต่อ..

 

ปกติแล้ว..แวมไพร์จะกลายร่างได้ภายในเวลาน้อยกว่าสิบวินาทีด้วยซ้ำไป หลิงหยุนสู้กับเกาจิ้นสงและเกาซิงฉางอยู่ตั้งนาน แต่พวกเขากลับไม่กลายร่าง และอีกแปดคนก็ไม่กลายร่างเช่นกัน ทำให้หลิงหยุนค่อนข้างงุนงงสับสน

 

“โอ้เจ้านายที่เคารพ..การกลายร่างของแวมไพร์อย่างพวกเรานั้นต้องค่อยเป็นค่อยไป ใช่ว่าเป็นแวมไพร์แล้วจะสามารถกลายร่างได้ทันที..”

 

เจสเตอร์รีบอธิบายให้หลิงหยุนฟังในทันที“หลังจากที่เป็นแวมไพร์แล้ว แม้ว่าจะมีชีวิตที่ยืนยาวแต่การกลายร่างก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ก่อนอื่นต้องรอให้เขี้ยวทั้งสองข้างงอกจนยาวเสียก่อน.. และเล็บสองข้างก็ต้องยาวและแหลมคม อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามถึงหกปีเหมือนฉันกับพอล ถึงจะสามารถกลายร่างได้..”

 

“ถึงอย่างไรพวกเราก็ทำได้แค่กลายร่างเท่านั้นแต่ไม่สามารถมีปีกงอกออกมาได้ แวมไพร์ที่มีปีกงอกออกมานั้นจะสามารถบินไปมาในอากาศได้ และจะกลายเป็นแวมไพร์ที่แท้จริง แต่อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นบารอน..”

 

“แวมไพร์ไม่เพียงกลายร่างใหญ่โตได้แต่ยังสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้อย่างเช่นค้างคาวดูดเลือด เหมือนอย่างที่ฉันเคยเล่าให้ท่านฟังในรถไงล่ะ..”

 

หลิงหยุนพยักน้าพร้อมกับถามต่อว่า“งั้นก็หมายความว่าตอนนี้เฉินเจี้ยนกุ่ยมันก็มีปีกแล้วสิ”

 

พอลกับเจสเตอร์พยักหน้าพร้อมกันทันที“แวมไพร์ที่ไม่มีปีกจะไม่มีคุณสมบัติเป็นบารอนได้ ตอนที่อยู่อเมริกา เฉินเจี้ยนกุ่ยก็มีปีกสีดำคู่ใหญ่แล้ว.. โคตรน่าอิจฉาเลย..”

 

หลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วและได้แต่คิดในใจว่า หากเฉินเจี้ยนกุ่ยมีปีกและสามารถบินได้เช่นนี้ การจะฆ่าเฉินเจี้ยนกุ่ยก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!

 

“แล้วมันบินได้สูงกี่เมตรและบินได้เร็วแค่ใหน”

 

หลิงหยุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลแวมไพร์อย่างละเอียดเพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับเฉินเจี้ยนกุ่ย..

 

“โอ้..เจ้านายที่เคารพ..ท่านเคยเห็นนกหรือค้างคาวบ้างมั๊ย หรือไม่ก็นกอินทรี.. เพดานบินของมันก็จะสูงประมาณนั้นล่ะ..”

 

“ส่วนเรื่องความเร็ว..แวมไพร์บินได้เร็วกว่านั้นมาก! ข้าว่าไม่ได้ช้าไปกว่าการเคลื่อนไหวของท่านเลยล่ะ..”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องบินได้ทั้งเจสเตอร์และพอลต่างก็ตาโตเป็นประกายด้วยความอิจฉา และหวังว่าวันหนึ่งพวกมันจะสามารถบินได้เช่นนั้นบ้าง

 

หลิงหยุนพยักหน้า..พร้อมกับกำลังครุ่นคิดว่าคงจะต้องประดิษฐ์คันธนูขนาดใหญ่สักอัน และคงต้องเตรียมลูกศรที่ทำจากเงินไว้หลายๆดอก

 

หลิงหยุนจะสามารถเหาะเหินได้เมื่อเขาเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่เท่านั้นและหากจะใช้จิตหยั่งรู้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นพลังชี่-3 จึงจะสามารถใช้งานจิตหยั่งรู้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่หลิงหยุนก็ไม่ได้หวาดกลัวเฉินเจี้ยนกุ่ยเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องตระเตรียมอาวุธที่จะสามารถโจมตีระยะไกลได้ เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถหยุดเฉินเจี้ยนกุ่ยได้

 

ตอนนี้..เฉินเจี้ยนกุ่ยยังไม่ปรากฏตัวและมันก็คือศัตรูหมายเลขหนึ่งในบัญชีรายชื่อของหลิงหยุนนอกเหนือจากฆาตกรที่สั่งฆ่าเขา

 

‘หรือไม่ข้าก็ต้องหาปืนดีๆพร้อมดับกระสุนเงินสักกระบอก..’หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ

 

ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้นเกาเทียนหลงก็กลับมาพอดี ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำ ดูเหมือนเกาเทียนหลงจะโขกศรีษะจนหน้าผากแตก และเลือดที่กำลังไหลออกมาจากบาดแผลของเขา ก็ทำให้สมาชิกตระกูลเกาถึงกับแยกเขี้ยวอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นเลือดสดๆ

 

หลิงหยุนรีบใช้ยันต์บำบัดสองแผ่นจัดการรักษาบาดแผลให้กับเกาเทียนหลงทันทีและจัดการใช้ยันต์ธาราชำระล้างคราบเลือดบนร่างกายของเขาออก เหล่าแวมไพร์ทั้งหลายรวมทั้งพอลกับเจสเตอร์จึงสงบลงได้..

 

“ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้กลุ่มนภากับกลุ่มมังกรทราบข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ตระกูลเฉินทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ต่อไปอีกอย่างแน่นอน!”

 

เกาเทียนหลงเริ่มเป็นห่วงประเทศชาติและนึกถึงกลุ่มนภากับกลุ่มมังกรขึ้นมาทันที

 

หลิงหยุนยิ้มเย้ยพร้อมกับส่ายหน้าและพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นี่เจ้าสับสนอะไรงั้นรึ ตระกูลเฉินไม่ได้มีเพียงแค่เฉินเจี้ยนกุ่ยเพียงคนเดียว แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าตระกูลเฉินได้ตระเตรียมแผนการมานานแล้ว อีกทั้งยังเตรียมการมาเป็นอย่างดีด้วย หากกลุ่มนภาและกลุ่มมังกรต้องการจะจัดการกับตระกูลเฉินจริงๆ เหตุใดต้องรอให้เจ้าไปรายงานพวกมันด้วย?”

 

หลิงหยุนนึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีที่แล้วดังนั้น.. ไม่ว่าจะกลุ่มมังกรหรือกลุ่มนภาอะไร เขาก็ไม่เชื่อถือและไว้ใจทั้งนั้น..

 

ที่นี่คือเมืองหลวง..ตระกูลเกาเองก็เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นกับตระกูลเกา หากจะบอกว่าเป็นเพราะตระกูลเฉินสามารถควบคุมสมาชิกตระกูลเกาไว้หมดแล้ว จึงไม่มีผู้ใดรับรู้เลยนั้น หลิงหยุนไม่มีวันเชื่ออย่างแน่นอน!

 

เกาเทียนหลงถึงกับอึ้งไปและหลังจากที่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นี่เจ้าหมายความว่ากลุ่มนภากับกลุ่มมังกรรู้ว่าตระกูลเกาเกิดเรื่องแล้วเช่นนั้นรึ”

 

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า“ขอบอกตามตรง.. ข้าเองก็ไม่มั่นใจ! แต่เจ้าลองคิดพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันว่า.. เจ้าเลือกที่จะเชื่อว่ากลุ่มนภากับกลุ่มมังกรรู้เรื่องโศกนาฏกรรมในตระกูลเกาแล้ว แต่เลือกที่จะนิ่งเฉย หรือว่าพวกเขาจะยังไม่รู้โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่นี้จริงๆ”

 

คำพูดของหลิงหยุนนั้นบ่งบอกความหมายไว้อย่างชัดเจน– เกิดหายนะใหญ่หลวงกับตระกูลเกาเช่นนี้ หากกลุ่มนภากับกลุ่มมังกรยังไม่รู้เรื่อง นี่ไม่เท่ากับว่านภาไม่อาจปกป้องผืนดิน และมังกรไม่อาจปกป้องเผ่าพันธุ์ได้อย่างนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนี้.. จะมีประโยชน์อะไรเล่า สู้สมาชิกในกลุ่มกลับไปนอนกอดภรรยา หรือเล่นกับลูกอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ..

 

จากนั้นหลิงหยุนจึงพูดต่อว่า“ในกลุ่มนภากับกลุ่มมังกรก็มีคนของตระกูลเฉินอยู่ด้วยไม่ใช่รึ และสมาชิกกี่มากน้อยที่สนิทสนมกับตระกูลเฉิน? ถ้าให้ข้าเดา.. ไม่แน่ว่าเจ้าไปถึงยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำไป ก็อาจถูกจับตัวด้วยข้อหาผู้ป่วยทางจิตก็เป็นได้..”

 

“เอ่อ..ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรต่อดี” เกาเทียนหลงถามขึ้น และแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้

 

“ข้าว่า..พวกเราต้องช่วยเหลือตัวเองและไว้ใจตัวเองได้เท่านั้น”

 

หลิงหยุนตอบเสียงเย็น“ตอนนี้พวกเราไม่ควรอยู่ในตระกูลเกาต่อไป และควรต้องรีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน แล้วค่อยหารือกัน..”