ตอนที่ 303 มีลูกผู้ชายที่ไหนปักดอกไม้
มาถึงกลางคืนตอนที่ผู้คนกลับกันหมดแล้ว อาการป่วยไข้ของเฝิงเยี่ยไป๋ก็ดีขึ้นแล้ว เขาให้คนวางอาหารไว้ที่ห้องของเฉินยาง ตอนที่เข้าไปนั้น เห็นนางนั่งอยู่กับซั่งเหมยกำลังปักดอกไม้ใต้แสงไฟ
เปลวเทียนไหววูบไปมา ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งสว่าง ครึ่งหนึ่งมืด มือของนางใหญ่ไม่ถึงครึ่งของเขา มือที่ถือเข็มอยู่ร้อยไปมาอยู่บนผ้าปักกลับรู้สึกคล่องแคล่วนัก คิ้วทั้งสองขมวดและคลายเป็นบางครั้งเป็นไปตามความตั้งใจบนใบหน้า หากนับดูดีแล้วตั้งแต่ที่แต่งงานกับนางมา สีหน้านี้นอกจากเรื่องกิน นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ใช้กับเรื่องอื่น คิ้วที่อ่อนโยนนั้น เหมือนดั่งทั้งตัวเคลือบไปด้วยแสง ทำเอามองแล้วรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ซั่งเซียงถือชาเข้ามา เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ ก็ย่อตัวแล้วพูดว่า “คารวะท่านอ๋อง”
สาวใช้คนนี้ช่างไม่รู้เรื่องนัก ไม่เห็นแววตาที่ลึกซึ้งของท่านอ๋อง ส่งเสียงเหมือนดั่งฟ้าผ่ากลางวันเช่นนั้น ทำเอาบรรยากาศดีๆ เสียหมดเพราะนาง
สีหน้าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่พอใจนัก เขาถลึงตาใส่ซั่งเซียง โกรธที่นางไม่รู้เรื่อง
เฉินยางได้ยินเสียงก็หันหัวมองไปข้างนอก เห็นเขายืนอยู่ข้างหลังม่านลูกปัดที่อยู่ห้องด้านใน นางขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่บอกว่าป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นหรือ ไฉนถึงยังยืนอยู่ที่นี่ได้อีก
ซั่งเหมยเปิดม่านลูกปัดโค้งตัวคำนับ และถอยออกไปข้างนอกกับซั่งเซียงยืนรอคำสั่ง
เขาไม่ได้สวมชุดทางการ กระดุมที่อยู่บนเสื้อนั้นไม่ได้ติดอยู่หลายเม็ด ดูเหมือนเพิ่งจะตื่นเมื่อครู่ ทั้งตัวเผยความรู้สึกเกียจคร้าน เขานั่งขัดสมาธิลงข้างๆ นาง แล้วพิงร่างกายไปตามธรรมชาติ ริมฝีปากแตะผ่านหูนาง แล้วถามแนบชิดกับแก้มนางว่า “ปักอะไรหรือ”
เฉินยางขยับเข้าไปด้านใน พูดด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อยว่า “ปักมั่วๆ” พูดจบก็เอาผ้าปักวางไว้บนโต๊ะ หันหลังเตรียมจะลงไป
เฝิงเยี่ยไป๋ไปหยิบผ้าปักที่อยู่บนโต๊ะ มือก็ขวางนางไว้พอดี “ให้ข้าดูหน่อย…”
เฉินยางยื่นมือไปแย่ง “อยากดูก็ปักเอง”
“เหลวไหลสิ้นดี!” เขายื่นมือไปแตะปลายจมูกนาง “มีลูกผู้ชายที่ไหนถือผ้าปักลายดอกไม้บ้าง”
แม้แต่แป้งกับชาดเขายังเคยทาเลย ยังจะมีอะไรที่ทำไม่ได้อีก เฉินยางชี้เขาแล้วพูดว่า “ท่านไง! ได้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์พอดี ชื่อเสียงสืบทอดร้อยปี ไม่แน่อาจจะถูกคนแต่งเป็นละครอีก”
ดีเสียเหลือเกิน ขายหน้าขายไปถึงร้อยปีเลย ก็มีเพียงนางที่สามารถทำได้ทุกอย่างต่อหน้าเขา คิดจะพูดอะไรก็พูดสิ่งนั้น หากลองเป็นคนอื่น มีสิบปากก็ไม่พอเย็บ
“เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะขายหน้าด้วยกันกับข้าใช่หรือไม่ พวกเราตายแล้วต้องฝังอยู่ด้วยกัน ข้ารอดไปได้เจ้าก็ไม่รอด”
เฉินยางบุ้ยปากเถียงกลับ “ท่านโตกว่าข้าตั้งเยอะ จะตายก็เป็นท่านตายก่อน ข้าไม่ตายด้วยกันกับท่านหรอก”
เขาได้ยินคำพูดอกตัญญูเช่นนี้จนชิน ตอนนี้กลับไม่รู้สึกโมโห เขาขยับใบหน้าถูที่ใบหน้าของนาง น้ำเสียงมีความเศร้าแฝงอยู่ “ก็ใช่ ข้าจะต้องจากไปก่อนเจ้าอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าไปแล้ว พอหมดลมหายใจ เรื่องบนโลกต่างๆ ก็ไม่รับรู้แล้ว แม้แต่เจ้าข้าก็ดูแลไม่ได้แล้ว เจ้าว่าถึงยามนั้นเหลือเจ้าคนเดียวเจ้าจะทำอย่างไร ข้าไม่วางใจ ถึงตายก็ไม่วางใจ ข้าเห็นแก่ตัวในเรื่องนี้นัก เจ้าจะรักข้ามากกว่าข้ารักเจ้าไม่ได้ ดังนั้นข้าคิดจะตายก่อนเจ้า คนที่ไปก่อนกลับเป็นการหลุดพ้น ให้ข้าเห็นเจ้าตาย ข้าทำไม่ได้ เพียงแต่จะให้ข้าเห็นเจ้าใช้ชีวิตโดยไร้ที่พึ่งพิง ข้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน เฉินยาง…พวกเรามีลูกกันเถิด มีลูกแล้ว ข้าตายไป เขาก็จะได้คอยดูแลเจ้า”
ไฉนถึงได้พูดถึงเรื่องความตายไปได้ นางได้ยินคนใช้บอกว่าเขาป่วยแล้ว คงไม่ใช่โรคที่ถึงชีวิตกระมัง!
——
ตอนที่ 304 ผู้ชายมีความลำบากที่พูดไม่ได้
เฉินยางมีความรู้สึกเศร้าใจที่บอกไม่ถูกนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงที่ ‘น่าตกใจ’ พูดกับนาง ทำเหมือนดั่งจะตายจากกันเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ร้อนรนขึ้นมา นางคว้ามือเขาเอาไว้ ไม่รู้อะไรแต่กลับคลำชีพจรเขาด้วยสัญชาตญาณ “พวกเขาบอกว่าท่านป่วยแล้ว ตกลงป่วยที่ใดหรือ ฮ่องเต้ก็ส่งหมอหลวงมาดูท่านแล้วไม่ใช่หรือ หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
นางเป็นห่วงเขา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในใจเขาดีใจเพียงใด ไม่รู้ว่าปากไม่ตรงกับใจนี้ไปเรียนกับใครมา มีเรื่องอะไรล้วนเก็บซ่อนเอาไว้ เพียงแค่บอกว่าเป็นห่วงเขามันยากขนาดนั้นเลยหรือ เพียงแต่เขาก็ไม่กล้าหวังอะไรมากมายเช่นนั้น ตอนแรกคิดจะจงใจไม่พูด ปล่อยให้นางเดา แต่ก็กลัวนางเป็นห่วง จึงพูดปลอบว่า “อย่างไรคนก็ต้องตาย เพียงแต่เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เป็นไร ยังดีๆ อยู่ ที่บอกว่าป่วยนั้นคือโกหก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนัก”
เฉินยางได้ยินก็โยนมือเขาทิ้งทันที “เช่นนั้นแล้วท่านยังพูดเรื่องความเป็นความตายอะไรนั่นอีก กลางคืนเช่นนี้ไม่กลัวจะโชคร้ายหรือ”
เฝิงเยี่ยไป๋ตบอกพูดว่า “ข้าแข็งแกร่งนัก ไม่กลัวภูตผีปีศาจเหล่านั้น หากเจ้ากลัว เช่นนั้นข้านอนเป็นเพื่อนเจ้า”
คำพูดนี้พูดออกมาช่างทำเอาตกใจยิ่งนัก เรื่องครั้งก่อนยังไม่จบเลย คราวนี้ยังจะมาอีก เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ยอม นั่งตัวตรงแล้วเริ่มผลักเขา “ไม่ต้อง ข้ามีซั่งเหมยกับซั่งเซียง ไม่ต้องให้ท่านอยู่เป็นเพื่อน”
“ได้ๆๆ ไม่ต้องการข้า” เขาปล่อยนางด้วยความจนใจ “พวกเรากินข้าวก่อน ตาเฒ่าพวกนั้นวุ่นวายนัก จนยามนี้แล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่มีความสามารถอื่นใด เพียงแต่เรื่องการเอาใจผู้หญิงนั้นก็ยังใช้ได้อยู่ บางทีที่เขาพูดอาจจะไม่ผิด ใจคนล้วนเป็นเนื้อ ไม่มีใครที่ไม่ใจอ่อน ด่วนเอาแต่ได้มักจะได้ความสุขมาชั่วคราว เพียงแต่พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน ล้มลุกคลุกคลานก็ดี สุขสำราญก็ดี ล้วนต้องใช้ชีวิตด้วยกัน ชีวิตหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ เปลี่ยนใจนาง นางไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย ใครดีกับนางนางจะยังดูไม่ออกอีกเชียวหรือ
…..
“เขาก็สำนึกผิดในเรื่องชั่วร้ายที่ตัวเองทำแล้ว ตอนนี้เศร้าเสียใจยิ่งนัก” เหลียงอู๋เย่ว์รู้ว่าเว่ยหมิ่นไปดูเฉินยาง เรื่องนี้นางก็ต้องรู้แน่ๆ นางเป็นผู้หญิง นางไม่รู้ว่าผู้ชายหากอดทนถึงขั้นนั้นจนทรมานเช่นไร ไฟราคะในร่างกายระบายไม่ออกก็จะลามขึ้นมาที่หัว เผาจนสติหายไปหมดสิ้น
เว่ยหมิ่น “หืม” ออกมา “เจ้าไม่เห็นแผลบนร่างกายของเฉินยางสักหน่อย พอข้าได้เห็นครั้งแรก ยังนึกว่านางถูกเฝิงเยี่ยไป๋ตีเสียอีก เจ้าก็ช่วยเขาพูดให้ดูดีสินะ หากวันใดเขาลงมือกับเฉินยางจริงๆ เจ้าก็คงช่วยเขากระมัง!”
เหลียงอู๋เย่ว์ตบอกรับรอง “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ อย่างอื่นข้าไม่กล้ารับปาก แต่ความรักที่เฝิงเยี่ยไป๋มีต่อเฉินยางนั้น ใต้ฟ้าเจ้าหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว เว่ยเฉินยางเป็นชีวิตของเขา ไม่มีชีวิตแล้ว เจ้าว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ”
“พอได้แล้วกระมัง หากเขาเห็นเฉินยางเป็นชีวิตตัวเองจริงๆ จะลงมือได้เ**้ยมโหดเช่นนี้หรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์หัวเราะที่นางไม่เข้าใจ “รอให้วันใดเจ้าเป็นผู้ชายก็จะรู้เอง ผู้ชายมีความลำบากที่พูดไม่ได้ โดยเฉพาะ… ในเรื่องนั้น”
เว่ยหมิ่นมองเขาขึ้นๆ ลงๆ หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วหยิกหูเขา “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นหรือ ตอนที่ข้าอยู่หรู่หนานก็ได้ยินเรื่องเจ้าชู้ของเจ้าไม่น้อยเหมือนกัน ใช้ได้เลยนะเหลียงอู๋เย่ว์ เที่ยวได้สนุกนัก แถมยังกอดซ้ายกอดขวา เอะอะก็นอนอยู่ที่หอนางโลม ไฉนแม่นางเหล่านั้นถึงไม่ได้รีดเจ้าจนว่างเปล่าเล่า หรือว่าเจ้า…ใช้การไม่ได้หรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์ถูกจี้จุด เขาดีดตัวขึ้นมาทันที “คำพูดนี้พูดมั่วไม่ได้ โดยเฉพาะกับผู้ชาย เจ้าก็… เจ้าก็ไม่เคยลองเหมือนกัน ไฉนถึงรู้ว่าข้าใช้การไม่ได้”