ตอนที่ 259 ทำให้คนคิดไปไกล / ตอนที่ 260 เตียงเดียวกัน

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 259 ทำให้คนคิดไปไกล

 

 

เมื่อเหยียนเฟิงกลับถึงบ้าน พ่อกับแม่ของตนยังคงนั่งอยู่ในห้องรับแขก

 

 

“พ่อครับแม่ครับ ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอ”

 

 

“อืม ทำไมกลับดึกจังล่ะลูก” คุณแม่เหยียนยื่นน้ำผึ้งให้เขาแก้วหนึ่ง เห็นว่าเขาดื่มหมดแล้วจึงรีบถามขึ้น “ตอนนี้เหยียนเค่อเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บหนักอยู่ไหม”

 

 

คุณพ่อเหยียนกระแอมเสียงดังหนึ่งที เตือนให้คุณแม่เหยียนอย่าพูดถึงไอ้ลูกบ้านี่ต่อหน้าเขา

 

 

คุณแม่เหยียนไม่สนใจ จ้องหน้าเหยียนเฟิงรอให้เขาเล่าออกมา

 

 

“เขาหายแล้วครับ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว วันนี้ตอนผมไปเยี่ยมก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ผมกับสวีอิ๋งอิ๋งก็ออกไปตามหาเขาแล้วแต่โทรไม่ติด ไม่รู้ว่ามัวไปทำอะไรอยู่”

 

 

เหยียนเฟิงไม่ได้ไปเยี่ยมจริงๆ เพียงแต่ส่งคนไปดูเท่านั้น เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อหน้าพ่อกับแม่เสียหน่อย

 

 

คุณแม่เหยียนร้อนรน “ตาลูกคนนี้เพิ่งหายเจ็บแท้ๆ จะทะเล่อทะล่าออกไปทำไมน่ะหา?”

 

 

“เจ้านั่นก็ทำได้ทุกเรื่องนั่นแหละน่า!” คุณพ่อเหยียนโดนเขาป่วนจนเริ่มหมดอารมณ์แล้ว จึงหันไปพูดกับเหยียนเฟิง “วันนี้แกคงเหนื่อยแล้ว รีบขึ้นไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องไปสนใจน้องชายแกแล้ว”

 

 

“ครับ พ่อกับแม่ก็รีบพักผ่อนนะครับ”

 

 

คุณแม่เหยียนพยักหน้า ในใจยังรู้สึกเป็นห่วงเหยียนเค่ออยู่ “บาดเจ็บหนักต้องรักษาตัวอย่างน้อยหนึ่งร้อยวัน ตาลูกบ้านั่นไปอยู่ที่ไหนกันนะ บ้านก็ไม่กลับ!”

 

 

คุณพ่อเหยียนฟังเธอบ่นจนหูแทบจะชาแล้ว “พอได้แล้วๆ เรียกให้กลับไม่กลับ ถ้าแน่จริงชาตินี้ก็อย่ากลับมาเลยแล้วกัน”

 

 

“หยุดพูดไปเลยคุณ!” คุณแม่เหยียนเดิมทีก็ร้อนใจดั่งไฟสุมอกอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกแย่ “พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาที่คอนโดสักหน่อย”

 

 

เหยียนเฟิงเดินขึ้นบ้านมาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านล่าง ปิดประตูลงอย่างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข ในสายตาของพวกเขามีแค่เหยียนเค่อเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถามถึงเขาเลย

 

 

ไฟชั้นหนึ่งของบ้านตระกูลเหยียนสว่างตลอดทั้งคืน คุณแม่เหยียนยืนยันจะเปิดไฟทิ้งไว้ เผื่อว่า

 

 

เหยียนเค่อกลับมากลางดึกจะได้ไม่หกล้ม คุณพ่อเหยียนก็ว่าอะไรเธอไม่ได้ จึงเดินขึ้นบ้านไปพักผ่อนก่อน

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเห็นว่าเขาไม่กลับมาสักทีจึงไปหาที่ฮุยเถิง

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินที่สะพายกระเป๋ายืนอยู่ที่หน้าประตูสวมผ้าปิดปากแล้วแอบเข้ามา คนที่ป้อมยามยังนึกว่ามีโจรเสียอีก

 

 

เหยียนเค่อมองคนที่คิดว่าตัวเองหลบซ่อนได้อย่างแนบเนียน แต่ความจริงแล้วชะโงกหน้าออกมามองทุกครั้งที่ก้าวเดินตรงด้านล่างของภาพวงจรปิด จึงกดเปิดไมค์ประชาสัมพันธ์อย่างเอือมระอา “ทำตัวให้มันปกติหน่อย แล้วรีบไสหัวขึ้นมา”

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินได้ยินเสียงก้องดังอยู่ภายในโถงใหญ่ก็ตกอกตกใจ แอบชูนิ้วกลางให้ก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์

 

 

“ทำไมนายยังไม่กลับล่ะ” เสิ่นจิ้งเฉินหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะผันตัวไปเป็นเด็กทายาอย่างเต็มกำลัง

 

 

“สวัสดีครับประธานเสิ่น” พนักงานที่ไม่มีงานทำเอ่ยทักทายเสิ่นจิ้งเฉินทีละคนสองคน

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินสีหน้าสุขุมลุ่มลึก ท่าทางโง่เง่าของเขาเมื่อกี้ พวกเขาคงไม่เห็นกันหมดแล้วหรอกนะ

 

 

เขาดึงหน้าตึง แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แต่ดวงตายิ้มเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวของเสิ่นจิ้งเฉินออกอาการมากไปหน่อย ถึงจะดูเคร่งขรึมอย่างไรแต่หางตาก็ยังวาดเป็นรอยยิ้ม

 

 

เหยียนเค่อกลับไปนั่งคร่อมลงบนเก้าอี้ สองมือกอดพนักพิงไว้ “มาทายาให้ฉันเถอะ”

 

 

สีหน้าของผู้ช่วยต่างก็แฝงไปด้วยความนัยลึกซึ้ง ต่างคนต่างมองหน้ากัน

 

 

‘ที่แท้บอสก็…’

 

 

‘คิดไม่ถึงว่าจะเป็นประธานเสิ่นกับบอสเลยนะเนี่ย’

 

 

‘ถึงจะเป็นคนที่ดูจริงจังแค่ไหนก็เป็นเกย์ได้เพราะบอสของเรา’

 

 

ในใจของพวกเขาคิดจินตนาการความรักลึกซึ้งแบบคู่กัดระหว่างบอสใหญ่ทั้งสอง ตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าตอนรู้ความลับทางธุรกิจอะไรเสียอีก

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินตบหลังของเขาดังแปะๆ เหล่าผู้ช่วยที่โดนสั่งห้ามไม่ให้มองต่างก็หันไปชมวิวด้านนอกหน้าต่างบานใหญ่

 

 

“นายก็รู้จักอายเป็นด้วยเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินกดนวดให้ก่อนจะฟาดเข้าที่หลังเขาหนึ่งที “เมื่อก่อนชอบโชว์หุ่นต่อหน้าพวกเรามากเลยไม่ใช่หรือไง”

 

 

“อืม ให้มองมากไปก็ดูไม่แพง ฉันจะรอให้พวกนายมาขอร้องให้ฉันถอดเสื้อผ้าก่อนค่อยให้ดูแล้วกัน”

 

 

เหล่าผู้ช่วยต่างก็ตะลึงพรึงเพริดไปกับประเด็นสนทนานี้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 260 เตียงเดียวกัน

 

 

แขนและขาของซย่าเสี่ยวมั่วทาบทับลงบนร่างของสวีรั่วชี กักขังสวีรั่วชีไว้ราวกับพวกอันธพาล

 

 

“เธอทำแบบนี้ฉันอยากแจ้งตำรวจเลยอะ” สวีรั่วชีถีบขาเธอออก แต่เธอก็ยังพาดกลับมาใหม่

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเอื้อมมืออ้อมศีรษะของสวีรั่วชีไปหยิบโทรศัพท์ของเขาบนตู้หัวเตียงอีกฝั่งหนึ่ง

 

 

“เธอจะทำอะไร” สวีรั่วชีก็ไม่ได้สนใจ ปัดมือของซย่าเสี่ยวมั่วที่พาดลงมาออก

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วดึงมือออกแล้วมาหยิบโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะกดถ่ายรูปตัวเองที่เอามือยันหัวไว้แล้วกอด

 

 

สวีรั่วชีแน่น จากนั้นก็ร่างเป็นข้อความ แล้วกดส่งออกไป

 

 

เธอมองดูการแจ้งเตือนว่าข้อความถูกส่งออกไปเรียบร้อยและขึ้นเครื่องหมายว่าอ่านแล้ว ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ลบข้อความนั้นทิ้งก่อนจะเอากลับไปวางคืนให้สวีรั่วชี

 

 

สวีรั่วชีหลับตาลง ไม่รู้ว่าเธอทำอะไร จึงปัดขาที่พาดลงมาบนตัวของตนเองออก ก่อนจะนึกไปถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว “เธอยังจำตอนปอหกที่ฉันอยู่กับเธอได้ไหม”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่รู้ว่าสวีรั่วชีพูดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นทำไม

 

 

“ตอนนั้นฉันร้องไห้หนักมากเลย ตอนนี้พอมานึกแล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียใจอยู่แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว ความจริง…เรื่องทุกอย่างต่างก็เลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเขยิบเข้าไปใกล้เธอแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เธอจะเป็นเสี่ยวชีที่ดีที่สุดของฉันเสมอ”

 

 

สวีรั่วชีครางอืม รู้สึกง่วงงุนอยากนอนขึ้นมา

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเองก็หลับตา ฟังเสียงลมหายใจของเธอแล้วจึงค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราตามไป

 

 

สวีอันหรานที่ได้รับข้อความก็สติแตก รู้สึกอิจฉาซย่าเสี่ยวมั่วเป็นอย่างมาก

 

 

เหยียนเค่อและเสิ่นจิ้งเฉินได้รับข้อความจากสวีอันหรานพร้อมกัน  [ฉันไม่สนว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเป็นของใคร แต่พวกนายทำให้เขาอยู่ห่างจากเสี่ยวชีของฉันหน่อย!]

 

 

เหยียนเค่อสบตากับเสิ่นจิ้งเฉิน กำลังจะพูดว่า ‘ของฉัน’ แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ รู้สึกอิจฉาสวีรั่วชีเป็นอย่างมาก

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเห็นมุมปากของเหยียนเค่อขยับเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา จึงโพล่งขึ้น “ของฉัน!”

 

 

เหยียนเค่อจ้องเขาตาเขม็ง ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความไม่ยอม “นายเลิกฝันไปเลย ฉันไม่ยอมให้

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วมาเป็นน้องสะใภ้ฉันหรอก”

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินไม่สน จงใจยั่วโมโหเขาต่อ “ว้า บอกได้แค่ว่าครอบครัวฉันจัดการเรื่องคู่ครองได้ถูกใจฉันจริงๆ ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้มาเจอผู้หญิงดีๆ อย่างซย่าเสี่ยวมั่ว”

 

 

“ไม่ต้องมาแอ๊บเลย น่าอิจฉาชะมัด” เหยียนเค่อกินของว่างมื้อดึก ทนดูสีหน้าท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเสิ่นจิ้งเฉินต่อไปไม่ได้จริงๆ “ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปได้!”

 

 

“นายว่าฉัน? นายมากกว่ามั้ง” เสิ่นจิ้งเฉินไม่กล้ากินขนมเค้กรสหวานขนาดนั้นในเวลากลางดึกอย่างเหยียนเค่อ ห้ามตัวเองด้วยการกินบะหมี่ไปสักหน่อย

 

 

ขนมเค้กอันหวานเลี่ยนก็ไม่สามารถเติมเต็มหัวใจอันเจ็บปวดของเหยียนเค่อได้ เค้กทั้งก้อนถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว

 

 

“นายจะกลับเมื่อไร”

 

 

“อีกสองวัน นายรอไม่ไหวต้องไล่ฉันไปเลยเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินควักโทรศัพท์ออกมาดูตารางงาน “วันมะรืนฉันเลี้ยงข้าว นายเปิดทางที่หนานซานได้แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

“นายรู้ได้ยังไง”

 

 

“ฉันเป็นคนช่วยหาคนดำเนินเรื่องให้สวีอันหรานเอง ไม่งั้นจะเร็วแบบนี้เหรอ!” เสิ่นจิ้งเฉินตบบ่าเขา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความนัยบางอย่าง “อย่าลืมส่วนของฉันด้วยล่ะ”

 

 

“งั้นไปหนานซานแล้วกัน เพิ่งทำเสร็จด้วย นายจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอ ฉันจะถลุงเงินนายให้หมดเลย”

 

 

เหยียนเค่อเหลือที่ดินผืนหนึ่งที่คนค่อนข้างน้อยไว้แล้วสร้างเป็นสโมสรส่วนตัว พอสร้างเสร็จแล้วก็ไม่เคยได้ไปเหยียบเลยสักครั้ง เสิ่นจิ้งเฉินก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

 

 

“สิ่งที่เป็นของนาย สุดท้ายแล้วยังไงมันก็เป็นของนาย”

 

 

เหยียนเค่อนึกว่าเขาหมายถึงความหมายผิวเผิน ไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไร และก็ไม่ได้สนใจในคำพูดนี้ จึงให้ผู้ช่วยไปร่างหนังสือสัญญาและประกาศแถลงการณ์

 

 

“ตอนนายกลับไปฉันขอดูก่อนว่าจะไปกับนายได้หรือเปล่า ฉันอยากไปหลบสักหน่อย” เหยียนเค่อ

 

 

คิดคำนวณ “ต่อไปจะได้สร้างบริษัทสาขาย่อยที่เมืองหลวง”

 

 

“เงินหลายพันล้านนายยังไม่สนใจเลย จะไปเมืองหลวงทำไม เลิกคิดจะโยนงานมาให้ฉันทำเลยนะ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดให้ชัดเจนก่อน แล้วมองมือของตนอย่างหลงใหล “ฉันไม่แตะต้องเงินสกปรกพวกนั้นหรอกนะ เสียราศีหมด”

 

 

เหยียนเค่อหยิบแฟ้มเอกสารที่นั่งทับไว้ออกมาแล้วตวัดมือฟาดลงบนก้นของเขา “ราศีพวกหัวโบราณคร่ำครึน่ะสิ”