สำหรับปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัว ชูฮันไม่มีเวลามานั่งสังเกต เขาเคาะนิ่วกับโต๊ะ และเริ่มพูดอีกครั้ง “ผู้รอดชีวิต 10,000 คนและกองกำลังที่ดี 1,000 คน ส่งคนสอดแนมไปติดต่อกับหัวหน้าของพวกเขา และแผนกหน่วยข่าวกรองจะต้องบันทึกข้อมูลของคนมากกว่าหนึ่งหมื่นคนที่กำลังจะมาถึงค่ายเขี้ยวหมาป่าของเรา แผนกหน่วยข่าวกรองจะต้องทำการบันทึกข้อมูลของทุกคนที่มาใหม่ให้สำเร็จภายใน 10 วัน โดยห้ามละเว้นแม้แต่คนเดียว”

 

พอคำสั่งของชฮันนอกมา ทั้งห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง มันมีความกดดันที่มองไม่เห็นกระแทกลงบ่าของทุกคน

 

“สิบวัน…” กูเหลียงเฉินกลืนน้ำลายอึดอย่างกังวล เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ

 

“แค่ 10 วัน แผนกหน่วยข่าวกรองมีสมาชิก 20 คน การเก็บข้อมูลของคนมากกว่าหมื่นคนทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของนาย” ชูฮันพูดเสียงแข็ง “แผนกหน่วยข่าวกรองจะกลายเป็นแผนกที่สำคัญที่สุดของค่ายเขี้ยวหมาป่า และก็จะเป็นไผ่ไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดเบื้องหลังของค่ายเขี้ยวหมาป่าเช่นกัน นอกเหนือจากแผนกโลจิสติกส์ นายจะต้องทำให้ดีที่สุด ครั้งนี้ภารกิจในการเก็บรวบรวมข้อมูงจะต้องสำเร็จภายใน 10 วัน”

 

“ครับท่าน!” กูเหลียงเฉินตอบรับเสียงดัง

 

มาถึงจุดนี้ แผนกหน่วยข่าวกรองเจอศึกหนักเข้าแล้ว ถึงคนอื่นไม่เข้าใจแต่กูเหลียงเฉินต้องเข้าใจ โดยเฉพาะน้ำเสียงที่รุนแรงของชูฮัน กูเหลียงเฉินได้สังเกตเห็นถึงความสำคัญของแผนกหน่วยข่าวกรองแล้ว มันไม่ใช่แค่แผนกที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาในตอนนี้ แต่มันยังเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาการของทั้งกองทัพเขี้ยวหมาป่าในอนาคตอีกด้วย

 

การสนทนาในห้องประชุมอัดแน่นไปด้วยความตึงเครียดและบรรยากาศเร่งด้่วน ในตอนนี้ทุกคนตระหนักได้แล้วว่าที่ผ่านมาความคิดพวกเขาไร้เดียงสาและขี้เกียจขนาดไหน และพอชูฮันประกาศคำสั่งออกมา มันไม่ใช่แค่การส่งเสียงเตือนในใจของทุกคนให้รู้ตัวว่ามันยังมีปัญหาอีกมากมายที่ยังไม่ได้แก้ไข และค่ายเขี้ยวหมาป่ายังอยู่ในรูปแบบเริ่มต้น พวกเขายังต้องปรับแต่งและพัฒนาอีกมาก

 

โชคยังดีที่ชูฮันดึงพวกเขากลับมาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไรอีก!

 

ชูฮันพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดกว่าเดิม “เรื่องสุดท้ายที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงก็คือสัญญาณเตือนภัย ฉันกลับมาถึงค่ายตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลย มันมีช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยในค่ายมากเกินไป”

 

หลายคนที่หวาดกลัวถึงอนาคตต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกเร่งด่วนได้กลายเป็นความตื่นตระหนก ชูฮันเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 นี่คือข้อเท็จจริงที่ทุกคนทราบกันดี แต่การลอบเข้ามาในค่ายของชูฮันกลับไม่มีใครรับรู้เลยสักคน นี่แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของการรักษาความปลอดภัยของค่ายเขี้ยวหมาป่าอย่างแจ่มแจ้ง!

 

หยางเทียน เป็นผู้รับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยของค่ายเขี้ยวหมาป่านั้นหน้าซีดเหงื่อเย็นผุดออกตามกรอบหน้าทันที ตามมาด้วยความกลัวที่ครอบงำจิตใจ ชูฮันสามารถลอดผ่านการป้องกันอย่างเข้มงวดมาด้วยความสามารถของวิวัฒนาการระยะ 4 แม้แต่การป้องกันที่แน่นหนาที่สุดซึ่งก็คือศูนย์กลางของค่ายที่อยู่ชั้นในสุด ก็สามารถผ่านเข้ามาได้จนถึงห้องประชุม แล้วถ้าเป็นวิวัฒนาการะยะ 6 ละก็ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับค่ายเขี้ยวหมาป่าจะร้ายแรงขนาดไหน หยางเทียนไม่อยากจะนึกภาพเลย

 

เมื่อเห็นว่าในที่สุดทุกคนก็รู้จักกับความกลัวที่แท้จริงแล้ว ชูฮันก็หยิบแผนที่ของค่ายเขี้ยวหมาป่าขึ้นมา คว้าปากกาขึ้นมาและเริ่มขีดเขียนลงบนตัวแผนที่ “นี่คือจุดที่ถูกละเลย ควรเสริมความป้องกันเข้าไป นอกเหนือจากนี้ ตรงจุดพวกนี้ที่ฉันระบายไว้ให้เพิ่มการป้องกันขึ้นเป็นสองเท่า ถ้ากำลังคนไม่เพียงพอให้โอนคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าไปช่วยก่อน”

 

ที่จริงแล้ว การรักษาความปลอดภัยของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็ดีอยู่แล้ว แม้มันอาจจะไม่สามารถเทียบได้กับพวกค่ายหลักใหญ่ๆ แต่มันก็ยังไม่เรื่องง่ายที่จะพัฒนามาถึงขนาดนี้ทั้งๆที่ค่ายยังอยู่ในช่วงแรกเริ่ม แต่คำขอของชูฮันก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะทำได้ เพราะถ้าพวกเขาไม่ทำตาม ผลที่ตามมาที่อาจเกิดขึ้นอาจกลายเป็นหายนะใหญ่หลวงก็ได้

 

“โอนนักรบของกองทัพเขี้ยวหมาป่ามา?” หยางเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แต่พวกเขายังมีภารกิจสังหารหมู่ซอมบี้ที่ในเมืองอันลูอยู่นะครับ!”

 

“การกวาดล้างซอมบี้สามารถชะลอลงไปได้ก่อน ดังนั้นให้เหล่าทหารผ่านศึกรักษาความปลอดภัยเป็นกะไปชั่วคราวก่อนจนหน้าจะหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยมาเพิ่มได้” ชูฮันนิ่วหน้า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ของค่ายเขี้ยวหมาป่าคือการขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะจำนวนของคนที่สามารถไว้วางใจได้

 

“ครับ” แม้หยางเทียนจะไม่เข้าใจแผนของชูฮัน แต่เขาก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับ

 

“แล้วการผลิตกระสุนจัดล่อซอมบี้ไปถึงไหนแล้ว?” ชูฮันรีบเข้าสู่เรื่องต่อไปทันที สายตาจับจ้องไปที่ซางจิ่วตี้

 

“การผลิตจำนวนมากตอนนี้อยู่ที่จำนวน 300 ชุดค่ะ แบ่งต้นแบบการผลิตออกเป็นสามต้นแบบตามขนาดของกระสุน” ซางจิ่วตี้รายงานอย่างรวดเร็ว “ต้นแบบที่ง่ายที่สุดผลิตออกมาได้แล้ว 150 ชุดค่ะ แต่ละกลิ่นมีรัศมีการกระจายอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 100 เมตร ต้นแบบที่สองนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถผลิตได้แล้ว 100 ชุดค่ะ การแพร่กระจายมีรัศมีอยู่ที่ 200 เมตรค่ะ ส่วนต้นแบบที่สามนั้นแข็งแกร่งที่สุด รัศมีการแพร่กระจายอยู่ที่ 300 เมตร แต่ตอนนี้เราพึ่งสามารถผลิตได้แค่ 50 ชุดค่ะ”

 

ชูฮันพยักหน้า “ดำเนินการผลิตต่อไปและเพิ่มอัตราการผลิตขึ้น กระสุนที่สำเร็จแล้ว 300 ชุดนี้จะถูกนำไปใช้ในอีกสองวันข้างหน้า เพราะงั้นกองทัพเขี้ยวหมาป่าจะไปรอที่เมืองอันลูและฉันจะเป็นคนไปตรวจสอบการฝึกฝนด้วยตัวเอง คอยตรวจสอบให้การผลิตของแผนกโลจิสติกส์รักษาระดับเอาไว้”

 

“อ่า? ครับ ครับ” เหลาเกาตอบรับ

 

ในขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งในใจของเหลาเกา การมอบหมายภารกิจให้กองทัพเขี้ยวหมาป่าไปกวาดล้างซอมบี้ในเมืองอันลูนั้นส่งผลต่อปริมาณการบริโภคอาหารต่อวันอย่างมาก อาหารในแผนกโลจิสติกส์ถูกส่งต่อวันไปที่เมืองอันลูเป็นจำนวนมหาศาล

ค่ายอื่นๆต่างกำลังพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเองเพื่อรักษาการทำงานของค่าย แต่ทำไมชูฮันถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาของกองกำลังก่อน?

 

เฉพาะการฝึกฝนของกองทัพเขี้ยวหมาป่ามันก็ทำให้เสบียงของแผนกโลจิสติกส์ลดลงอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งซอมบี้ในเมืองอันลูนั้นมีมากถึง 1.5 ล้านตัว ยังไม่รวมถึงเหล่าซอมบี้ที่กระจัดกระจายอยู่รอบเชตเมืองอันลูอีก การจะกวาดล้างซอมบี้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นการเสียเวลาเปล่า ตอนนี้จำนวนของซอมบี้ในโลกนั้นมีเป็นพันล้านตัว แม้แต่ซางจิงที่เป็นค่ายใหญ่สุด อุมดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรมากที่สุดก็ยังไม่กล้าพูดเลยจะกวาดล้างซอมบี้ในเมืองตัวเองให้หมด

 

แต่ชูฮันกลับมั่นใจอย่างมาก พวกเขาควรจะเชื่อมั้ย?

 

แม้จะมีกระสุนหลอกล่อซอมบี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าซอมบี้ที่มีมากกว่า 1.5 ล้านตัวได้ ทุกคนก็รู้ดีว่ากองทัพเขี้ยวหมาป่ามีสมาชิกเพียงแค่ 700 คนเท่านั้น แถมมากกว่า 500 ก็ยังฝึกฝนไม่สำเร็จเลย เป็นพวกคัดใหม่เท่านั้นเอง

 

ไม่ใช่แค่เหลาเกาเท่านั้นที่ไม่เข้าใจแผนการของชูฮัน ซางจิ่วตี้ หยางเทียนและคนอื่นๆที่คุ้นเคยกับชูฮันดีก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ชูฮันไม่พูดหรืออธิบายอะไรเลย พวกเขาจึงทำได้สงสัยต่อไป

 

วันต่อมาเป็นวันง่ายๆสำหรับชูฮัน นอกเหนือจากการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยของค่าย การมีแค่การรอให้โมเซอปรากฏตัวขึ้น และก็จัดการกับกองเอกสารบนโต๊ะ มันมีกลุ่มคนขาดให้กำลังมุ่งหน้ามาหาเขาจากค่ายเจียนอี๋แต่มันต้องใช้เวลาอีกหลายวันอยู่สำหรับการเดินเท้า ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็นคนธรรมดา เพราะฉะนั้นมันจึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการเดินทาง

 

ทหารผ่านศึกกว่า 1,000 ที่ออกมาจากค่ายเจียนอี๋เดินทัพช้ามาก พวกเขาต้องรักษาลำดับในการเดินพร้อมกับกลุ่มผู้รอดชีวิตกว่าหมื่นคนไปด้วย อีกอย่างพวกเขาเองก็เต็มไปด้วยอาวุธครบครันในมือซึ่งมันส่งผลต่อน้ำหนักที่ร่างกายต้องแบกเช่นกัน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา มีบางที่เปลี่ยนเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่แต่ก็ไม่ได้มีระยะสูงอะไร

 

ชูฮันไม่ได้รีบร้อน เขาติดต่อให้แผนกสอดแนมคอยสอดส่องแล้ว ชูฮันไปจากค่ายเขี้ยวหมาป่าก่อนที่ชินหยวนจะมาถึง ชูฮันกลับไปที่เมืองอันลูอีก ไปหากองทัพเขี้ยวหมาป่าที่จุดนัดพบสำหรับภารกิจฆ่าซอมบี้