CLS ตอนที่ 4****17: เรื่องสนุก
คำขอของเริ่นหลงทำให้อี้เทียนหยุนตกใจ ไม่คิดว่าเริ่นหลงจะไม่อยากเป็นจักรพรรดิ คนจำนวนมากต่างก็หมายปองตำแหน่งนี้ แต่เขากลับไม่ต้องการมัน กลับต้องการออกไปเที่ยวรอบโลกแทนซะงั้น
พูดได้ว่าการได้ออกไปท่องโลกมีความตื่นเต้นมากกว่า การอยู่ที่นี่ทำให้เขาขาดอิสระ การที่ต้องคอยจัดการดูแลที่นี่ เขาจะไปหาอิสระได้จากที่ไหน
“นี่…. กลัวว่าข้าคงไม่มีความสามารถพอที่จะตอบรับคำขอของท่าน จริงๆ แล้วข้าก็ไม่อยากได้ตำแหน่งนี้เช่นกัน ทำไมไม่ให้จื่อโหรวเป็นล่ะ ให้เธอเป็นเสิ่นหนี่อะไรนั่น จากนั้นก็แต่งตั้งให้เธอเป็นผู้จัดการดูแลอาณาจักรเทียนหลงแห่งนี้” อี้เทียนหยุนผลักภาระนี้ให้กับเริ่นจื่อโหรว
“โอ้ ข้าก็เกือบลืมไปเลย ยังมีน้องสาวอีกคนนี่นา!” เริ่นหลงตาเป็นประกาย “งั้นก็ได้แล้ว ข้าจะไปพูดกับเธอดู ตอนนี้ด้วยบารมีของเธอ การที่จะกลายเป็นเสิ่นหนี่ย่อมไม่มีปัญหา อันดับแรกคงต้องทำให้เธอเป็นเสิ่นหนี่ก่อน หลังจากนั้นก็ส่งมอบบัลลังก์ให้กับเธอ ให้เธอค่อยๆ เข้ามาจัดการดูแลอย่างช้าๆ หลังจากที่เธอควบคุมดูแลทุกอย่างได้แล้ว ข้าก็จะสามารถไปจากที่นี่ได้ ไปท่องเที่ยวให้ทั่วทุกสารทิศเลย!”
อี้เทียนหยุนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ จักรพรรดิอย่างนี้ก็มีด้วย! ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้จะพูดว่า หากว่ามีผู้ใดมีความสามารถมากพอ เขาก็พร้อมที่จะปล่อยตำแหน่งจักรพรรดินี้ไป ที่แท้ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ต้องการมันแต่แรกแล้วนี่เอง แน่นอนว่าย่อมกล้าพูดคำนี้ออกมาได้เป็นธรรมดา
ตำแหน่งที่ตระกูลเริ่นต่อสู้ฝ่าฝันกว่าจะได้มา การส่งมอบมันให้กับเขาเช่นนี้ เหมือนกับว่าจะเป็นการทำร้ายตระกูลของตนอย่างไงอย่างงั้น
“พี่ใหญ่เริ่น แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ?” อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้อย่างมาก
“ก็ไม่ดีนั่นแหละ แต่ว่าข้าชอบที่จะได้ออกไปท่องโลก ท่องไปยังสถานที่ภายนอกที่เต็มไปด้วยอันตราย แบบนี้ถึงจะช่วยให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น” เริ่นหลงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะไล่ตามโลกแห่งการฝึกยุทธ์ที่ไม่มีขีดจำกัดนี้ตลอดไป ไม่ใช่โลกแห่งอำนาจแห่งนี้! นี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ หากว่าแข็งแกร่งมากพอ อำนาจใดใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า ก็กลายเป็นไร้ความหมาย!”
เขามีความรู้สึกต่อเส้นทางนี้อย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือเล่ห์กลใดใด เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่ไร้เทียมทาน ก็กลายเป็นไร้ความหมาย หากว่ามีคนรนหาที่ตายก็จัดการทำลายมันด้วยหมัดเดียว แต่ถ้าหากว่าหมัดเดียวยังจัดการไม่ได้ งั้นก็ต่อยมันสองหมัด!
“คำพูดนี้ พูดไป ข้าว่าจื่อโหรวคงไม่เห็นด้วยอย่างสุดๆ….” อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงชิเสวี่ยอวิ๋นผู้เป็นน้าของเขา ในใจก็ให้รู้สึกถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง เธอทั้งใจเย็นและมั่นคง แต่ก็ไม่ละซึ่งความพยายามที่จะก้าวหน้า
“เรื่องนี้เธอคงไม่เห็นด้วยจริงๆ นั่นล่ะ หากว่าเธอไม่ต้องการ งั้นก็ไม่ต้องทำ เพราะยังไงนี่ก็แค่ตำแหน่งจักรพรรดิเท่านั้นเอง…..” เริ่นหลงยักไหล่ ทั้งยังพูดออกมาง่ายๆ หากว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ที่นี่ล่ะก็ พวกเขาคงต้องจัดการตบเขาให้รู้สำนึกอย่างแน่นอน
“อืม…..” อี้เทียนหยุนตอบได้เพียงคำนี้เท่านั้น
“เอาล่ะ ข้าขอไปพูดเรื่องนี้กับน้องสาวก่อนล่ะ” เริ่นหลงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหาเริ่นจื่อโหรว แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว เกือบลืมบอกเจ้าเลย เจ้าเด็กที่อยู่กับเจ้าก่อนหน้านี้ชื่อสวี่เฟยใช่ไหม คนที่เหมือนต้องการแต่งกับลูกสาวของตระกูลฉินน่ะ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นมันบ้าเลือดจริงๆ…. ในสนามรบก่อนหน้านี้เขานั่นกล้าหาญมาก หลังสงครามจบลง เขาก็จากไปโดยไม่คิดจะเข้ามาทักทายพวกเราเลยสักนิด รู้สึกเหมือนว่าเขาตั้งใจหลบหน้าเจ้าอย่างไงอย่างงั้น”
อี้เทียนหยุนหรี่ตา เขาไม่คิดจะมาทักทายอย่างงั้นเหรอ ในสงครามนั้น สวี่เฟยนั้นไม่หลบไม่ซ่อน แต่ว่าเขาไม่ได้เข้ามาใกล้เขาสักนิด ทั้งยังสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญด้วย ยิ่งกว่านั้น เขายังไปสังหารศัตรูที่แนวหน้า เปรียบได้ดั่งวีรบุรุษเลยทีเดียว ตัวเขานั้นคอยสังเกตสถานการณ์ของสวี่เฟยอยู่ไกลๆ แต่ว่าหลังจากสงครามจบลง เขาก็หนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เข้ามาหาเขาเลยด้วยซ้ำ
เหมือนกับที่เริ่นหลงพูด เป็นไปได้ว่าเขากำลังต้องการหลบหน้าเขาอยู่
“เจ้าหนูนี่ ช่างเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ” อี้เทียนหยุนยิ้ม ทันใดนั้นก็เหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“จะไม่ให้คิดเล็กคิดน้อยก็คงไม่ได้ ด้วยฐานะที่แตกต่าง รวมถึงพลังที่ต่างกันมาก เขาย่อมรู้สึกว่าไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้ชิดกับเจ้าอีก นี่เป็นเพราะในใจของเขารู้สึกกริ่งเกรง” เริ่นหลงตบไหล่เขา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ว่าเจ้าเด็กนั่นก็เป็นคนดีจริงๆ เขานำกำลังทหารหน่วยหนึ่งเข้าสังหารศัตรูอย่างกล้าหาญ นับว่าน้องอี้เจ้ามีสายตาที่ดีจริงๆ”
พูดจบเริ่นหลงก็เดินจากไป ไม่รั้งอยู่ที่นี่ต่อ
อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย คงจะได้เวลากลับวังเทียนหยุนสักที แต่ว่าก่อนหน้านั้น คงต้องไปหาสวี่เฟยก่อน จากนั้นก็พากลับไปด้วยกัน
“ตระกูลฉิน ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแล้วสินะ ข้าคงต้องไปดูหน่อยแล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้มออกมา จากนั้นก็หายไปจากด้านนอกท้องพระโรง
หลังสงคราม ความเสียหายของอาณาจักรเทียนหลงไม่ได้มากมายอะไร ดังนั้น ทุกอย่างจึงไม่ได้ต่างไปจากแต่ก่อน กระทั่งมีงานเลี้ยงฉลองเกิดขึ้น เป็นงานเลี้ยงฉลองทั่วทั้งอาณาจักร
ตระกูลฉินก็เป็นเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งล้วนไม่ต่างไปจากปกติ แต่ในตอนนี้ก็ได้มีร่างมาเยือนด้านนอกตระกูลฉิน คนเฝ้าประตูยังไม่ทันได้ตอบสนอง คนผู้นั้นก็พลันเปิดปากพร้อมตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ฉินเสวี่ยแห่งตระกูลฉิน ข้ามาพบเจ้าแล้ว!”
เขาตะโกนเสียงดังมาก ดังจนทั่วทั้งตระกูลฉินได้ยิน คนหลายคนต่างก็พากันโถมออกมาจากด้านใน และเมื่อเห็นว่าคนที่ร้องตะโกนเป็นสวี่เฟย พวกเขาก็พากันมองมาด้วยความโกรธ
“เจ้าเด็กนี่ ยังไม่ยอมตัดใจอีกอย่างนั้นเหรอ! ก่อนหน้านี้ท่านประมุขก็ได้บอกไปแล้วว่าไม่มีทางให้คุณหนูแต่งงานกับเจ้า ท่านได้ตัดสินใจให้คุณหนูแต่งงานกับนายน้อยตระกูลฟู่แล้ว!” ผู้อาวุโสตระกูลฉินเดินออกมา พร้อมกับมองมาที่เขาอย่างกรุ่นโกรธ “เจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซะ หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าคือนายน้อยตระกูลสวี่แล้วล่ะก็ เจ้าคงถูกไล่กระทืบออกไปแล้ว!”
“ฉินเสวี่ย ข้ามาพบเจ้าแล้ว!” สวี่เฟยไม่สนใจพวกเขา ยังคงตะโกนเสียงดังต่อไป
“เจ้าเด็กนี่ ดูเหมือนว่าสุราคารวะไม่ชอบ ชอบดื่มสุราจับกรอก หากไม่ต่อเจ้าสักหมัด เจ้าคงไม่รู้สำนึกอย่างงั้นสินะ!” ผู้อาวุโสตระกูลฉินระเบิดความโกรธออกมา พร้อมกับเดินออกจากประตู เตรียมที่จะต่อยใส่เขาสักหมัด แต่ก็ถูกเสียงที่ดังมาจากข้างในหยุดเอาไว้
“ผู้อาวุโสรอง โปรดหยุดก่อน!” ในตอนนี้เอง ได้มีหญิงสาวที่น่าดึงดูดเดินออกมาจากข้างใน แม้จะห่างจากคำว่างามล่มเมือง แต่ก็ดูอ่อนโยน คุ้มค่าแก่การมองผู้หนึ่ง
“เสี่ยวเสวี่ย!” เมื่อสวี่เฟยเห็นหญิงสาวคนนี้เดินมา ในสายตาก็พลันเต็มไปด้วยความสุขจนล้นปรี่
“พี่สวี่!” นัยน์ตาที่งดงามของฉินเสวี่ยคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “อะไรทำให้ท่านกังวลจนต้องมาที่นี่…..”
“เสี่ยวเสวี่ย ข้ารอไม่ไหวแล้ว หากว่าตระกูลฉินให้เจ้าแต่งกับตระกูลฟู่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรอแล้ว” สวี่เฟยพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะต้องแต่งกับเจ้า!”
“จริงเหรอ….” นัยน์ตาคู่งามของฉินเสวี่ยเผยประกายแห่งความสุขออกมา ขนาดหัวใจยังอดไม่ได้ต้องเต้นแรงขึ้นกว่าปกติ
“น่าขำ เจ้าตัดสินใจจะแต่งกับคุณหนูของเรา?” ผู้อาวุโสรองพูดอย่างดูถูก “พรสวรรค์ยังไม่มี ฐานะยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนาดในตระกูลสวี่เอง ฐานะของเจ้ายังต่ำแบบสุดๆ ตอนนี้ข้าขอถามเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”
“ข้าเต็มใจจะแลกมันด้วยสมบัติชิ้นนี้!” ในตอนนี้เอง สวี่เฟยก็ได้หยิบไข่มุกล้ำค่าออกมา หลังจากผู้คนได้เห็น ก็พากันตกใจในทันที นี่คืออุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่ำ ถือว่าเป็นสุดยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง “นี่คือไข่มุกเทียนหลิง สมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่ำ หากว่าพกมันติดตัว จะช่วยให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มเร็วขึ้นสามเท่า ข้าวางแผนว่าจะใช้มันเองและเมื่อวันใดที่ระดับของข้าสูงพอแล้ว ข้าก็จะมาขอแต่งงานอีกครั้ง แต่ตอนนี้ข้าเต็มใจใช้สมบัติชิ้นนี้เป็นของหมั้น เพื่อแต่งงานกับเสี่ยวเสวี่ย!”
เพิ่มความเร็วในการฝึกฝนขึ้นสามเท่า นี่ถือเป็นสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมากจริงๆ กระทั่งคนส่วนใหญ่ยังไม่มี นี่เป็นสมบัติที่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ถึงจะมีได้ ทำให้ในใจของหลายคนเริ่มเต้นแรง
“โชคของเจ้าเด็กนี่ช่างดีจริงๆ กระทั่งสมบัติชิ้นนี้ยังได้มา” ในตอนนี้เอง ได้ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นที่มุมแห่งหนึ่ง พร้อมกับกำลังมองมายังเหตุการณ์นี้ เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมาในทันที แต่ต้องการดูว่าสวี่เฟยจะได้ฉินเสวี่ยมาครองได้ยังไง
แค่ดูก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็ชอบพอกัน ซึ่งนี่มีค่าให้ช่วยอย่างมาก แต่ถ้าเป็นการบีบบังคับ ต่อให้เขาจะชื่นชมสวี่เฟย เขาก็จะไม่ช่วย ตอนนี้สวี่เฟยเป็นหนึ่งในคนที่เขาจะให้มาเป็นแม่ทัพของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องให้การช่วยเหลือด้วยฐานะองค์ชายอี้ของเขา!
ตอนนี้เขากำลังรอให้ตระกูลฟู่มาถึง เพราะเขายังอยากจะเห็นว่าสวี่เฟยมีความสามารถอะไรบ้าง