บทที่ 1734+1735

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1734 ลงทัณฑ์

หลานจิ้งอี๋มีพลังวิญญาณขั้นเก้า การลงมือครั้งนี้สามารถใช้ความสะท้านโลกามหาสมุทรสะเทือนมาบรรยายได้เลย กระบวนท่านี้หากว่าซัดถูกจริง อย่าว่าแต่รูปสลักไม้นี้เลย แม้กระทั่งหลังคาห้องโถงของศาลบูชาแห่งนี้ก็จะระเบิดทะลุไปด้วย!

สายลมกรรโชกคำรามอึงอล ไอปฏิปักษ์ปะทะหน้า

ขณะที่มองเห็นคลื่นแสงสีฟ้าสายนี้กำลังจะซัดถูกรูปสลัก ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าพุ่งวาบออกมาจากที่ใด ว่องไวปานสายฟ้าแลบ ปรากฏขึ้นทีหลังทว่าถึงที่หมายก่อน ต้านรับคลื่นแสงสีฟ้าไว้โดยตรง…

คลื่นแสงสีฟ้าประหนึ่งพบพานน้ำกรดเข็มข้น หลอมละลายเสียงดังฉ่าๆ ลำแสงสีรุ้งโจมตีคลื่นแสงสีฟ้าให้แตกกระจายภายในชั่วพริบตาเสมือนหักโค่นลำไผ่! นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่า หลังจากลำแสงสีรุ้งกำจัดคลื่นแสงสีฟ้าไปแล้วก็ไม่ได้สลายไป กลับทะยานเข้าหาหลานจิ้งอี๋!

ลำแสงสีรุ้งดั่งมังกรรุ้งที่ดุร้าย หลานจิ้งอี๋หน้าเปลี่ยนสีทว่าไม่มีทางหลบหลีกได้ทันกาล เบิกตามองแสงสีรุ้งพุ่งเข้ามา ห่อหุ้มทั้งร่างนางไว้..

“อ๋า…” เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูดังก้องไปตลอดทาง พร้อมด้วยร่างกายของหลานจิ้งอี๋ที่ปลิวออกไปทันที!

‘ปัง!’ หลานจิ้งอี๋ที่ถูกซัดออกนอกประตูไปไม่รู้ว่ากระแทกโดนสิ่งใดเข้า เกิดแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ใบของต้นไม้ใหญ่ด้านนอกปลิวว่อนเกลื่อนพื้น

เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์โง่งมกันไปถ้วนหน้าแล้ว!

และไม่มีผู้ใดมองออกมาว่าแสงสีรู้สายนี้งพุ่งออกมาจาตรงไหน จะบอกว่ามันปรากฏขึ้นกลางอากาศก็มิได้เกินเลยไป

หรือว่ารูปสลักเทพธิดาจะสำแดงปาฏิหาริย์แล้ว?!

หลังจากผู้สักการะที่อยู่ในห้องโถงทึ่มทื่อกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันคุกเข่าลง โขกศีรษะให้รูปสลักเทพธิดา!

หลานเหยากวงก็ตะลึงงันเช่นกัน สายตามองขึ้นไปบนเสาคาน “พ…พี่หวง!”

คนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ใบหน้าเลิศล้ำงามล่มเมืองสวมหน้ากากเอาไว้ รอบกายคล้ายมีแสงฉัพพรรณรังสีโอบล้อมอยู่ อำนาจบารมีแกร่งกล้าไร้เทียมทาน

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์?!”

“เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รึ?!”

“สวรรค์ เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย!”

ไม่น่าเชื่อว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมาที่ศาลบูชาแห่งนี้!

เหล่าผู้สักการะในห้องโถงยังคงตกตะลึงจนเหม่อยลอยอยู่ ยามนี้พอเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดก็คุกเข่าลงไปอย่างตื่นเต้น โขกศีรษะดังตุบๆ

ตี้ฝูอียืนอยู่กลางอากาศอย่างเยือกเย็น ทอดสายตามองด้านล่าง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ถ่ายทอดบัญชาของเปิ่นจุนลงไป ถ้าผู้ใดทำลายอิฐสักก้อนกระเบื้องสักแผ่นวัชพืชสักต้นของศาลทูตสวรรค์กูอีกให้สังหารอย่างไร้ปราณีเสีย!”

“รับทราบ!” นักพรตที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างตอบรับอย่างพร้อมเพรียง! สายตาแต่คนเปล่งประกาย

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญชาด้วยตัวเอง ผู้ใดจะกล้าฝ่าฝืนเล่า?!

เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกปากปกป้องศาลบูชาย่อมกลายเป็นสถานที่ที่สูงส่งที่สุด ภายภาคหน้าควันธูปของศาลทูตสวรรค์กู้ทั้งหมดจึงอบอวลฟุ้งกระจายยิ่งกว่าวัดวาอารามใดๆ…

ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าทำลายแม้เสี้ยวกระผีก

ถึงแม้ในทวีปนี้จะมีคนร่ำลือว่าศาลทูตสวรรค์กู้นี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งขึ้น แต่เป็นเพียงคำร่ำลือเท่านั้น มีคนมากมายนักที่ยังคงไม่เชื่อถือ ซ้ำยังนึกไปว่าเป็นอุบายของผู้ที่สร้างศาลบูชาแห่งนี้ขึ้น

บัดนี้เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายที่นี่ด้วยตัวเอง ซ้ำยังออกโรงปกป้องรูปสลักเทพธิดา ออกปากถ่ายทอดบัญชาด้วยตัวเอง มีผู้สักการะมากมายอยู่ในเหตุการณ์ คนที่ได้เห็นฉากนี้จึงมีมากมายเช่นกัน

วันหน้าย่อมแพร่กระจายถ่ายทอดต่อกันไป แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของแผ่นดินนี้ด้วยความไวแสง…

หลานเหยากวงอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้าง เงยหน้ามองตี้ฝูอี “พี่…พี่หวง นี่…ที่แท้ท่านก็เป็นผู้ที่ศาลบูชาแห่งนี้แก่พี่หญิง จิ้งอี๋ไม่รู้ความ ท่านอย่าถือโทษนางเลย…”

ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เพียงเอ่ยอย่างเฉยชาประโยคหนึ่งว่า “หิ้วหลานจิ้งอี๋เข้ามา!”

หิ้ว?

กู้ซีจิ่วที่เร้นกายอยู่ในมุมสูงสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง ตี้ฝูอีปกป้องหลานจิ้งอี๋มาโดยตลอด ต่อหน้านางก็ยังปกป้องอยู่หลายครั้ง ทำให้ในใจของนางบรรยายความรู้สึกไม่ได้ยิ่งนักอยู่บ่อยๆ คหนนี้เป็นอะไรไปเล่า?

หนนี้หล่านจิ้งอี๋เพียงต้องการจะทำลายรูปสลักไม้ตัวหนึ่งเท่านั้น กูโดนเขาจู่โจมอย่างรุนแรงเสียแล้ว…

กู้ซีจิ่วคาดการณ์ว่ากระบวนท่านั้นของตี้ฝูอีเพียงพอจะเอาชีวิตของหลานจิ้งอี๋ได้กึ่งหนึ่งแล้ว…

หลานจิ้งอี๋ถูกหิ้วเข้ามาจริงๆ…

——————————————————————————-

บทที่ 1735 ลงทัณฑ์ 2

หลานจิ้งอี๋ถูกหิ้วเข้ามาจริงๆ การโจมตีนั้นของตี้ฝูอีมิได้ทำร้ายชีวิตนางไปครึ่งหนึ่ง แต่ทำร้ายชีวิตไปถึงสองในสามส่วน เผยร่างเดิมออกมาทันที กลายเป็นนางเงือกนอนฟุบอยู่บนถนนศิลาเขียวนอกศาลบูชา

เรียกให้เกิดเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจของขบวนฝูงชนที่มามุงดู

เงือกเชียวนะ นั่นคือสายพันธุ์ล้ำค่าหายากของแผ่นดินนี้ ยามนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว!

เมื่อชาวเงือกสัญจรบนบกล้วนจะแปลงกายให้อยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นปวงชนในแผ่นดินนี้จึงยากจะได้เห็นร่างเดิมของพวกเขา ยามนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นตนหนึ่งลอยออกมาจากในศาลบูชา ฝูงชนย่อมมองดั่งของหายาก ล้อมวงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ในทันใด

ใบหน้าพริ้มเพราของหลานจิ้งอี๋แดงก่ำดุจเลือดไก่ แขนนางหัก เกล็ดหลุดไปเจ็ดแปดแผ่นแล้ว ยามที่ร่วงลงบนพื้นนางเจ็บจนเบื้องหน้ามืดมัวเป็นพักๆ ลุกไม่ขึ้นเลย

เนื่องจากตี้ฝูอีออกกระบวนท่ารวดเร็วเกินไป นางยังไม่ทันเห็นชัดๆ ก็ถูกซัดกระเด็นออกไปนอกประตูแล้ว ยามนี้ในใจทั้งโกรธทั้งอาย ปรารถนาจะนำตัวผู้ที่มองเห็นนางเป็นที่น่าขบขันมาสังหารทิ้งให้หมดยิ่งนัก อีกทั้งนึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสีย แน่นอนว่าคนที่นางชิงชังยิ่งกว่าก็คือคนที่ซัดนางออกมา ดังนั้นพอคลายความเจ็บลงบ้างแล้วก็ร้องตะโกนออกมา “ไอ้สารเลวคนใดที่กล้าลงมือกับองค์หญิงอย่างข้ากัน?! ข้าจะขอให้พี่หวงสังหารเจ้าทิ้งอย่างไม่เหลือซาก…”

ประโยคนี้ของนางยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็ถูกคนดึงหางหิ้วขึ้นมา!

มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง “ขออภัยด้วย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้หิ้วท่านไป”

ศีรษะหลานจิ้งอี๋ห้อยลงด้านล่างอย่างกะทันหัน ย่อมโกรธเกรี้ยวสุดขีด ขณะที่กำลังจะดิ้นรนขัดขืน เมื่อได้ยินประโยคนี้ของมู่เฟิง ตัวพลันแข็งทื่อในทันใด “อะ…อะไรนะ?”

มู่เฟิงไม่เอ่ยวาจาให้มากความอีก หิ้วนางเข้าไปในศาลทันที…

ผู้ที่มาสักการะบูชาด้านนอกต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า จากนั้นก็กรูกันไปที่ปากประตู มองเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่กลางห้องโถง ฝูงชนที่อยู่นอกประตูคุกเข่าลงทันใด ต่อให้คุกเข่าอยู่ก็ยังอยากชมเรื่องน่าขบขันฉากนี้

หลานจิ้งอี๋ทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ดิ้นรนอยู่ในมือของมู่เฟิง “เจ้า…เจ้าปล่อยข้านะ! ชายหญิงมิพึงชิดใกล้…”

มู่เฟิงก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “ได้”

ปล่อยมือทันที หลานจิ้งอี๋ร่วงลงพื้นเสียงดังตุบ ทำให้นางเจ็บปวดอีกครา วิงเวียนไปครู่หนึ่ง

หากมิใช่หลานเหยากวงสะบัดแขนเสื้อมาช่วยประคองไว้ได้ทันกาล นางจะต้องล้มหัวฟาดพื้นเป็นแน่!

หลานเหยากวงก็ขมขื่นกล้ำกลืนยิ่งนักเช่นกัน เขาเป็นประมุขเผ่าเงือก น้องสาวของเขาเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ หากว่ายามปกติน้องสาวของเขาถูกผู้อื่นปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เขาคงระเบิดโทสะไปแล้ว!

แต่ตอนนี้น้องสาวของบ้านตนเป็นฝ่ายทำผิดก่อน และผู้ที่ลงทัณฑ์น้องสาวของเขาก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์

เขาก็ไม่กล้าพูดจาเป็นอื่นไปชั่วขณะเช่นกัน ยืนอยู่ด้านข้างมองน้องสาวแล้วก็มองเทพศักดิ์สิทธิ์ คิดจะเอ่ยปากขอความเมตตาให้ตามสัญชาตญาณ “พี่หวง…”

ตี้ฝูอีกวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง “หือ?”

แม้จะเป็นการตอบกลับอย่างราบเรียบประโยคเดียว ทว่ากลับทำให้หัวใจของหลานเหยากวงสั่นระรัว แทบจะกล่าววาจาท่อนหลังไม่ออกแล้ว “เห็น…เห็นแก่ที่นางยังเยาว์วัยไม่รู้ประสาด้วยเถิด…ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงภูมิอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลย ครั้งนี้ละเว้นนางสักหนเถิด”

“เยาว์วัย?” น้ำเสียงของตี้ฝูอีราบเรียบฟังอารมณ์ไม่ออก “อายุกว่าห้าพันปีแล้วก็ยังเรียกว่าเยาว์วัยงั้นหรือ?”

ฝูงชนที่คุกเข่าชมเรื่องครื้นเครงอยู่พากันหัวเราะครืน มีบางคนเอ่ยพึมพำว่า “อายุกว่าห้าพันปีสามารถเรียกขานว่าท่านบรรพชนได้แล้ว เป็นยายเฒ่าแล้ว…”

คนที่อยู่ข้างๆ เขาหัวเราะ “นางเป็นชาวเงือก สายพันธุ์แตกต่างกับเจ้า เจ้าอย่าไปเรียกท่านนางว่าท่านบรรพชนเชียวนา…เพียงแต่ยายเฒ่าก็ดูเข้าทีอยู่…”

มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ผู้คนกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น

เมื่อครู่นี้หลานจิ้งอี๋ยโสโอหังเกินไป วางท่าว่าข้าเป็นองค์หญิงเผ่าเงือกข้าใหญ่ที่สุด ทำให้ฝูงชนที่มุงดูเหล่านี้เห็นแล้วขัดเคืองนัยน์ตายิ่งนัก ยามนี้ย่อมชมเรื่องขบขันของนางอย่างเบิกบาน

หลานจิ้งอี๋ที่อยู่บนพื้นฝืนยันกายขึ้นมา นางเงยหน้ามองตี้ฝูอีอย่างไม่อยากจะเชื่อ…

————————————————————————————-