ตอนที่ 37 หนูจะพยายาม

หัวโจก

เมื่อกลับมาอายุสิบแปดอีกครั้ง จึงตั้งใจจะทำตามความฝันของตัวเองให้ได้

ขณะกำลังใจลอย เฮ่อซวินและหยวนคังฉีก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

“ไปไหนกันมา?” โจวจิ้งถามเพราะเห็นบางอย่างในมือพวกเขา

หยวนคังฉียื่นใบสมัครแข่งขันคณิตศาสตร์ให้เธอพลางถาม “สนใจไหม?”

“ต้องเพิ่มคะแนนหรือเปล่า?” เธอถามกลับ

หยวนคังฉีพยักหน้า

การแข่งขันทางวิชาการสำหรับเด็กมัธยมปีที่หก ถูกจัดขึ้นบ่อยครั้ง จะได้มีคะแนนเสริมไปยื่นตอนสมัครเข้ามหาวิทยาลัย หรือใช้เป็นพอร์ตสำหรับยื่นตอนสัมภาษณ์

“ยินดีด้วยนะ พวกนายคงมีคะแนนเสริมเยอะแล้วสิ” โจวจิ้งแซว

“อิจฉาเหรอ?” หยวนคังฉีแซวกลับ

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ระหว่างที่คุย เธอเหลือบไปเห็นหลินเกาและเถาม่านเข้าห้องมาพร้อมกับกระดาษในมือ จึงกระซิบถามหยวนคังฉีว่า

“สองคนนั้นก็แข่งด้วยเหรอ?”

หยวนคังฉีพยักหน้า

“คู่แข่งเยอะก็ไม่ต้องอิจฉาแล้วสิ”

ขณะกำลังจะบ่นต่อ หลินเกาก็เดินมาพูดกับโจวจิ้งว่า“อาจารย์ฉีให้ไปพบที่ห้องพักครู” แล้วก็เดินหนีไปราวกับเธอเป็นตัวเชื้อโรค

“อย่าบอกนะว่า…” เธอหรี่ตามองหยวนคังฉี

“ใช่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เขาหัวเราะชอบใจ

เป็นอย่างที่คิด อาจารย์ฉียื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เธอ “กรอกเอกสารด้วย”

“อาจารย์คะ…” โจวจิ้งทำท่าลังเล “คะแนนของหนูยังไม่ถึงเกณฑ์ ไม่น่าจะลงแข่งได้”

“อาจารย์อู่เป็นคนเสนอชื่อเธอ”

“อาจารย์อู่?”

พอเขาพูดจบ ชายสูงวัยร่างบางก็เดินออกจากโต๊ะมุมห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“คะแนนสอบของเธอแต่ละครั้งดีมาก อย่าทำให้ครูผิดหวังล่ะ” อาจารย์อู่ ครูสอนคณิตศาสตร์ของห้องกิฟต์พูดด้วยเสียงแหบแห้งชวนขนลุก

ไม่ทันจะได้ปฏิเสธ อาจารย์ฉีก็รีบพูดต่อ “อาจารย์อู่หวังดีถึงได้ชวนเธอมาแข่งด้วย การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะได้ง่ายขึ้น ส่วนวิชาสามัญครูจะติวเพิ่มให้เอง”

ลึกๆ โจวจิ้งเป็นคนใจอ่อน ยิ่งอีกฝ่ายหวังดี ก็ยิ่งไม่อยากทำร้ายจิตใจ

“ก็ได้ค่ะ หนูจะพยายาม”

ที่ว่าจะพยายาม คือพยายามตัดขาดจากหลินเกาและเถาม่านต่างหาก!

 

โจวจิ้งเคยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับประเทศมาก่อน ทั้งยังได้รางวัลกลับบ้าน

การแข่งครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในเมือง H แต่จัดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมหัวลี่ในเมือง S แปลว่าเธอต้องร่วมเดินทางไปกับหลินเกา เถาม่าน หยวนคังฉี และเฮ่อซวิน ซึ่งอาจกลายเป็นข่าวดังในเพจของโรงเรียนอีก

พอข่าวนี้กระจายออกไป เพื่อนร่วมชั้นต่างมองเธอในทางที่ดีขึ้น เพราะใบสมัครนี้คือสัญญาณที่บอกว่า ครูของห้องกิฟต์ยอมรับความสามารถของเธอแล้ว

ในที่สุด เด็กมีปัญหาอย่างโจวจิ้งก็กลายเป็นเด็กหัวกะทิของยวู่เต๋อไฮสคูล ซึ่งภาพลักษณ์ของแก๊ง ‘ไฟจราจร’ ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วย

แม้จะยังอยู่ห้องยี่สิบ แต่เจ้าเขียวก็ตั้งใจเรียนขึ้นมาก จนได้เข้าไปอยู่ในท็อป 400 คนแรกของโรงเรียนแล้ว

ส่วนมั่วลี่ที่คะแนนไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ตัดสินใจวิ่งรอบสนามทุกวันเพื่อลดน้ำหนัก ตอนแรกทุกคนคิดว่าเธอจะทำแค่สองวัน สุดท้ายก็ทำทุกวันจนหุ่นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มหนาวเย็น แต่ละวันในโรงเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ถึงสักที” โจวจิ้งยืนสะพายเป้หน้าโรงเรียนมัธยมหัวลี่

การแข่งขันจะเริ่มต้นบ่ายวันพรุ่งนี้ โจวจิ้งและเพื่อนๆ จึงต้องเข้าพักที่หอในของโรงเรียนก่อน

ที่หน้าโรงเรียนมีรถบัสจอดอยู่คันหนึ่ง พอเห็นโจวจิ้งคนในรถก็เดินลงมาหา

เด็กสาวหน้าตาดีสองคนและเด็กหนุ่มหนึ่งคนในเสื้อขนเป็ดตัวหนาพร้อมแมสก์ปิดปากเดินลงมาอย่างเงียบๆ

พวกเธอหน้าตาดีไม่แพ้เถาม่าน คนหนึ่งใส่เสื้อคลุมสีชมพูรองเท้าบูตส์ อีกคนใส่เสื้อแจ็คเกตกางเกงยีนรัดรูปโชว์ขาเรียวสวย

“มาจากยวู่เต๋อหรือเปล่า?” เด็กสาวในเสื้อคลุมสีชมพูถาม

เถาม่านพยักหน้า

“ครูสั่งให้พาพวกเธอไปเซ็นชื่อ ฉัน ‘ถังซือ’ นี่ ‘โม่ตัน’ นั่น‘เยิ่นอี้เจี๋ย’” เธอแนะนำตัว

หยวนคังฉียิ้มตอบแล้วแนะนำเพื่อนๆ ทีละคน “ผมชื่อหยวนคังฉี นี่เฮ่อซวิน นั่นโจวจิ้ง หลินเกา และเถาม่าน”

หน้าตาหล่อเหลาของเขาบวกกับรอยยิ้มแสนอบอุ่นทำถังซือมองตาค้าง ก่อนจะลาดสายตาไปที่เฮ่อซวินและหลินเกาที่หน้าตาดีไม่แพ้กัน

ต่างจากเถาม่าน ที่ถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร รวมถึงผมสีทองของโจวจิ้งด้วย

“ผมของเธอ… พิเศษดีนะ” ถังซือค่อนแคะ

ได้ยินที่เพื่อนพูด โม่ตันก็หลุดหัวเราะเบาๆ

“ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่สีหน้าของเธอกลับไม่รู้สึกผิด

หยวนคังฉีและเฮ่อซวินหันมองโจวจิ้ง แต่เธอไม่ใส่ใจ เพราะรู้ดีว่าหัวลี่ไม่ถูกกับยวู่เต๋อนานแล้ว

หัวลี่คือโรงเรียนรัฐบาลชั้นนำที่มีเงินสนับสนุนค่อนข้างเยอะ เน้นฝึกฝนให้เด็กมีความสามารถรอบด้าน ต่างจากยวู่เต๋อที่เน้นเรื่องคะแนนสอบ

แม้หัวลี่จะไม่มีเด็กหัวกะทิระดับประเทศ แต่มีเด็กที่ได้รางวัลเกี่ยวกับกิจกรรมค่อนข้างเยอะ เช่น ดนตรีออร์เคสตรา ศิลปินวาดภาพเด็ก แข่งรถ และนวัตกรรมแห่งชาติ

แนวการสอนของสองโรงเรียนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง หัวลี่มองว่ายวู่เต๋อสอนเด็กให้เป็นหุ่นยนต์ วันๆ เอาแต่เรียนหนังสือ ส่วนยวู่เต๋อก็มองว่าเด็กหัวลี่ไม่มีอนาคต ต่อไปจะหางานทำได้ยาก

บริษัทของโจวจิ้งมีเด็กฝึกงานที่จบจากสองโรงเรียนนี้หลายคน แค่บริษัทแจกสมุดโน้ตไม่ครบทุกคน พวกเขาก็ทะเลาะกันเอาเป็นเอาตาย

เมื่อรู้ว่าเด็กของทั้งสองโรงเรียนไม่ถูกกัน ตอนถูกส่งมาแข่ง เธอจึงหนักใจไม่น้อย

หลังลงทะเบียนเสร็จ ถังซือเดินนำพวกเขาไปที่หอพัก ซึ่งเถาม่านต้องนอนห้องเดียวกับโจวจิ้ง

พอวางของได้ เถาม่านก็ออกจากห้องทันที ทิ้งให้โจวจิ้งนอนกลิ้งไปมาบนเตียงจนรู้สึกเบื่อ หยิบแบบฝึกหัดในกระเป๋าออกมาทำก็ไม่หาย จึงหยิบมือถือขึ้นส่งข้อความหาหยวนคังฉี

พอรู้ว่าเขาอยู่ที่หอพักชาย เธอก็ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วออกไปพบ

เนื่องจากหัวลี่ไม่บังคับเรื่องการแต่งกาย จะใส่อะไรทำผมทรงไหนมาเรียนก็ได้ ระหว่างทางโจวจิ้งจึงพบกับแฟชั่นที่หลากหลายโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ต่างจากชุดนักเรียนแสนจืดชืดของเธอมาก

ช่วงบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์ การรักษาความปลอดภัยใต้ตึกค่อนข้างหละหลวม เธอจึงมุดเข้าด้านในโดยง่าย

ห้องของหยวนคังฉีอยู่ชั้นสาม ขณะเดินอยู่ชั้นสอง โจวจิ้งบังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยอย่างอารมณ์ดีของถังซือและโม่ตัน พวกเธอตื่นเต้นดีใจเพราะเพิ่งได้คุยกับหยวนคังฉีมา

พอเห็นโจวจิ้ง ทั้งสองก็หยุดเดินแล้วโบกมือทักทาย

“จะไปไหนเหรอ?” โม่ตันถาม

“จะมาชวนหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินไปกินข้าว”

“นึกว่ามาหาหลินเกาเสียอีก” ถังซือทำหน้ารู้ทัน ก่อนจะปรายตามองผมสีทอง “ปกติยวู่เต๋อจะส่งเด็กเรียนดีมาแข่ง แต่กลับลดมาตรฐานลงแล้วส่งเธอมาแทน เส้นคงใหญ่น่าดู”

น้ำเสียงดูถูกเสียดสีแบบนี้ไม่ต่างจากเด็กฝึกงานในบริษัทของเธอเลย

“เส้นสายบ้าบออะไร แปลกใจด้วยซ้ำที่ครูให้มาแข่ง เพราะฉันไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย หรือครูจะคิดว่า… คู่แข่งอย่างพวกเธอแค่ฉันก็คงพอแล้ว ไม่ต้องถึงมือเฮ่อซวินหรอก” โจวจิ้งเยาะเย้ย

“เธอ!”

เจอคนปากตลาดที่ลับฝีปากกับมนุษย์ป้าในหมู่บ้านและลูกค้างี่เง่ามานักต่อนักอย่างโจวจิ้ง ถังซือกับโม่ตันก็ถึงกับไปไม่เป็น

พอรู้ว่าเถียงสู้ไม่ได้ ทั้งคู่ก็ขุดเรื่องเก่าๆ ของโจวจิ้งขึ้นมาแขวะ

“ระดับความสามารถของเธอมากน้อยแค่ไหนฉันไม่รู้ รู้แค่ว่าคงอยู่ไม่เป็นสุขที่เห็นหลินเกาและเถาม่านมาด้วยกัน สรุปว่ามาแข่งหรือมาเล่นตลกให้พวกฉันดูกันแน่ ไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะบ้างเหรอ
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ถังซือเริ่มก่อน

ไม่ทันที่โม่ตันจะได้แขวะต่อ หลินเกาก็โพล่งขึ้นที่ด้านหลัง “ขอโทษนะ ฉันไม่คิดว่ามันตลกตรงไหน”

โจวจิ้งสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนี้ พอหันไปมองก็พบกับหลินเกาที่เดินลงบันไดมากับเฮ่อซวินและหยวนคังฉี ถ้าเมื่อครู่คนที่พูดคือเฮ่อซวินหรือหยวนคังฉี เธอจะรู้สึกซาบซึ้งกว่านี้ เมื่อเป็นหลินเกาจึงไม่ได้รู้สึกขอบคุณอะไร

ถังซือทำตัวไม่ถูกจึงหันมองหยวนคังฉีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขานิ่งเฉย

“พูดจาไม่น่าฟังเลยนะ!” เฮ่อซวินว่าถังซือ ก่อนจะหันไปทางโจวจิ้ง “คุยเสร็จแล้วก็ตามมา”

“มีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีฉันไปก่อนนะ” โจวจิ้งเดินตามเฮ่อซวินไปที่ห้อง

ถังซือจ้องโจวจิ้งด้วยความโกรธแค้น พอตาเริ่มแดงคล้ายจะร้องไห้ โม่ตันก็รีบลากเพื่อนออกไป

หลินเกายังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาอุตส่าห์ใช้น้ำเสียงจริงจังเพื่อช่วยโจวจิ้ง แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมิน

โจวจิ้งไม่เข้าใจว่าหลินเกาทำแบบนี้เพื่ออะไร แค่อย่าคิดเกินเพื่อนกับเธอก็พอ

หยวนคังฉีมองหน้าโจวจิ้งตลอดทางเดินกลับห้อง จนเธอต้องถามออกไปตรงๆ “มองอะไร?”

“ตั้งแต่เรียนที่ยวู่เต๋อมา นี่คือครั้งแรกที่หลินเกาสนใจเธอ” หยวนคังฉีตอบ

“ฉันน่ารังเกียจมากเลยเหรอ? ไปไหนใครๆ ก็ด่า ใครๆ ก็หาเรื่อง”

นอกจากนักเรียนของยวู่เต๋อแล้ว นักเรียนของหัวลี่ก็ยังรู้กิตติศัพท์ของเธอ

“ปัญหาไม่ได้เกิดจากเธอหรอก” หยวนคังฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลองมองรอบๆ ตัวดูสิ”

“หมายความว่ายังไง?”

“มีหนุ่มหล่ออย่างฉันและเฮ่อซวินอยู่เคียงข้าง จะไม่ให้ถูกเกลียดได้ยังไง” เขาทำหน้ามั่นใจ

“โอ๊ย! เกิดมายังไม่เคยเจอคนหลงตัวเองขนาดนี้เลย!” โจวจิ้งกลอกตามองบน

“พูดเรื่องจริงให้ฟังก็รับไม่ได้อีก” หยวนคังฉีทำหน้างอน

“ขอบคุณที่เตือน” พูดจบก็เดินไปคว้ามือเฮ่อซวินจนเขาตกใจสะบัดมือออก

“จะทำอะไร?”

“สร้างความอิจฉาไง” เธอตอบ “ไหนๆ ก็ถูกเกลียดแล้ว ต้องเอาให้สุด!”

ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทำหยวนคังฉีหัวเราะก๊ากออกมา