ตอนที่ 374 สามพันเพลิงคำราม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานโม่ฉือไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน ในเมื่อฉินอวี้โม่กล่าวเช่นนั้น เขาก็ไม่มีข้อกังขาใดๆ เขาเพียงยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ขณะสภาวะพลังจากร่างกายแผ่ออกไปเพื่อช่วยปกป้องรอบตัวนาง

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย นางจำได้ลางๆว่าพลังแห่งความมืดแพ้ทางเพลิงจักรพรรดิเป็นที่สุด

บังเอิญว่าตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางก็ได้ศึกษาเพลิงสมาธิที่ทรงพลังซึ่งทำให้นางพัฒนาตนเองมากยิ่งขึ้น วันนี้นางจะลองทดสอบพลังของเพลิงสมาธิกับข่ายอาคมนี้ดู

“วิชามนตรา —— สามพันเพลิงคำราม!”

ฉินอวี้โม่พึมพำเบาๆขณะเพลิงปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วมือ

เมื่อนางสะบัดปลายนิ้วมือ เพลิงก็แผ่ออกไปในอากาศทันที

ฟึ่บ!

ทันใดนั้น เพลิงที่ในตอนแรกดูเหมือนมีขนาดเพียงแค่ปลายนิ้วก็ปะทุไปด้วยแสงสว่างจ้า

จากนั้นเพลิงสว่างไสวก็ส่องประกายในท้องฟ้าไกลเป็นระยะหลายร้อยลี้

“ร่วงหล่น!”

มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อยและโล่เกราะป้องกันที่เลือนรางก็ปรากฏขึ้นรอบตัวฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในทันที

จากนั้นเพลิงโหมกระหน่ำก็ร่วงหล่นมาจากบนอากาศและพุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดทันที

ฉ่า ฉ่า ฉ่า!

ด้วยเสียงลุกไหม้ที่ดังขึ้นมา หมอกมืดรอบตัวก็ค่อยๆกลายเป็นสีแดงเพลิงพร้อมกับวิสัยทัศน์ตรงหน้าของฉินอวี้โม่และคนอื่นๆที่กลับคืนสู่สภาวะปกติ

“อ๊ากกก!”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นและเพลิงลุกท่วมร่างคนจากฝ่ายมารโดยที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

“ทุกคน ถอยไป!”

เสียงของสมาชิกขุมกำลังมารร้ายที่มั่นอกมั่นใจคนก่อนหน้านี้ฟังดูสิ้นหวังเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีวิชามนตราแบบโจมตีหมู่ที่ทรงพลังเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่มาก่อน ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าเพลิงจักรพรรดิของนางจะส่งผลที่รุนแรงต่อพวกเขาเช่นนี้

เพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่คือศัตรูตัวฉกาจของพลังแห่งความมืด!

ข่ายอาคมของฝ่ายมารถูกทำลายและคฤหาสน์เฟิงหัวกลับคืนสู่สภาวะปกติ ทุกคนมองไปข้างนอกคฤหาสน์และอดประหลาดใจไม่ได้

“แม่นางผู้นี้ยังประหลาดผิดมนุษย์เช่นเคย ไม่คิดเลยว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน นางจะศึกษาเรียนรู้จนเข้าใจวิชามนตราอย่างเพลิงสมาธิได้อย่างแท้จริง!”

หยินหึนมองไปยังเพลิงลุกโชนข้างนอกขณะสัมผัสถึงพลังมหาศาลจากเพลิงดังกล่าวและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“ความแตกต่างระหว่างผู้คนช่างมากเกินไปจริงๆ มันน่าโมโหยิ่งนัก!”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็ทอดถอนหายใจออกมา บัดนี้พวกเขาเริ่มรู้สึกละอายใจกับการที่ตนเองถูกเรียกว่าอัจฉริยะแล้ว

“พี่อวี้โม่ยอดเยี่ยมที่สุด!”

เสี่ยวเหยียนและซูเสี่ยวจวิ้นยังคงยิ้มอย่างมีความสุขและดวงตาเป็นประกายด้วยความชื่นชมในตัว ‘พี่สาว’ เช่นเคย

“บัดซบ!”

ณ โลกภายนอก บุรุษจากฝ่ายมารผู้นั้นกล่าวอย่างดุดันก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งตรงไปโจมตีฉินอวี้โม่

เดิมทีเขาคิดว่าการใช้ข่ายอาคมแห่งความมืดขนาดใหญ่นี้จะทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆรู้ซึ้งถึงความแตกต่างด้านพลัง ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะฝ่าทำลายข่ายอาคมแห่งความมืดอันทรงพลังได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังเป็นภัยร้ายที่ย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขาได้อีก

หากพวกเขาไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ฉินอวี้โม่และพวกได้ประจักษ์ว่าพวกเขาทรงพลังเพียงใด ในสงครามครานี้ ฝ่ายมารก็อาจต้องเสียเปรียบตั้งแต่แรกเริ่ม

ตู้ม!

หานโม่ฉือคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้างฉินอวี้โม่มาตลอด เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของบุรุษผู้นั้น เขาก็เหวี่ยงฝ่ามือออกไปและขวางการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามไว้ทันที

“เหอะ เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเซียน คิดจริงๆรึว่าจะหยุดข้าได้?!”

บุรุษผู้นั้นแค่นเสียงอย่างเย็นชาและจู่ๆพลังของเขาก็แกร่งกล้าขึ้นมากและตอบโต้หานโม่ฉืออย่างซึ่งๆหน้า

สีหน้าของคุณชายตระกูลหานมิได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยและเขาต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างที่ไม่ตกเป็นรอง

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของบุรุษจากขุมกำลังมารร้ายผู้นั้นก็เหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่คิดเลยว่าหานโม่ฉือจะสู้กับตนเองได้โดยที่ไม่เสียเปรียบเช่นนี้ จากเดิมที่คิดว่าตนเองเหนือชั้น บัดนี้เขาเริ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย

ฝ่ายฉินอวี้โม่มีเพียงนางและหานโม่ฉือ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ไม่ต้องการต่อสู้บนท้องทะเลผืนนี้ หากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาอย่างแน่นอน

ส่วนในฝั่งของขุมกำลังมารร้าย เมื่อใดที่สั่งการให้บรรดาสมาชิกคนอื่นๆโจมตีฉินอวี้โม่ ฝ่ายของดินแดนอ้างว้างที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวจะต้องมุ่งหน้าออกมาและโจมตีพวกเขาอย่างแน่นอน

ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาฝ่ายมารจะเสียเปรียบอย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วการดึงดันต่อสู้ไปเช่นนี้จะเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสีย

เมื่อได้คิดเช่นนี้ บุรุษจากขุมกำลังมารร้ายผู้นั้นก็เหวี่ยงฝ่ามือฟาดหานโม่ฉืออีกครั้งก่อนผละออกไปอย่างรวดเร็ว

“เหอะ เราจะรอพวกเจ้าอยู่ที่เกาะไร้จุดจบ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะถูกกวาดล้างจนไม่เหลือซาก!”

บุรุษผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชาขณะโบกมือก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่คิดที่จะไล่ตามไป ทั้งสองจึงพุ่งตรงกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอีกครั้ง

“โม่ฉือ เป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินอวี้โม่จับมือบุรุษคนรักและเอ่ยถามด้วยความกังวล

แม้ว่าสีหน้าของหานโม่ฉือจะดูไม่เปลี่ยนแปลงและเขาดูใจเย็นอย่างยิ่งแม้ในขณะที่ต่อสู้กับบุรุษผู้นั้น อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ หานโม่ฉือตกเป็นรองเล็กน้อยและถูกกดขี่พอสมควร

“ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่พลังมายาของคนผู้นั้นประหลาดยิ่งนัก มันน่าจะเป็นพลังกัดกร่อนพิเศษที่ฝ่ายมารฝึกฝนกันและมันส่งผลกระทบต่อสภาวะพลังของข้าเล็กน้อย”

หานโม่ฉือส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มบางๆและกล่าวตอบ

พลังกัดกร่อนมีผลกระทบต่อเขาพอสมควร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถปล่อยพลังออกมาได้อย่างเต็มที่เมื่อเผชิญหน้ากับคนของฝ่ายมาร ราวกับพลังของเขาถูกยับยั้งไว้เล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น พลังของคู่ต่อสู้ก็แกร่งกล้ากว่าเขาเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนของหานโม่ฉือ คาดการณ์ว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เขาคงจะตกเป็นรองภายในไม่กี่กระบวนท่า

เมื่อหานโม่ฉือกล่าวเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

นางจับมือหานโม่ฉือไว้และเดินตรงไปหาฉินเทียนและคนอื่นๆ หากไม่หาทางแก้ไขปัญหานี้ มันจะยิ่งเลวร้ายสำหรับพวกเขาทุกคน

เมื่อมาถึงห้องโถง ฉินเทียนและคนอื่นๆก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชม พวกเขาชื่นชมพลังอันผิดธรรมชาติที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมาเมื่อครู่นี้

“ท่านพ่อ ทุกคน มีบางอย่างที่ข้าลืมหารือกับพวกท่าน”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั่งลงและกล่าวทันที

“พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนของฝ่ายมารมีผลยับยั้งต่อจอมยุทธ์ทั่วไป หากเราเผชิญหน้ากับพวกเขา ต่อให้จะมีระดับพลังที่เท่าเทียมกัน ฝ่ายของเราก็จะต้องตกเป็นรองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทราบว่าใครพอมีวิธีแก้ไขปัญหานี้รึไม่?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเริ่มไตร่ตรอง

“ก่อนหน้านี้เรามองข้ามเรื่องนี้ไป พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพลังกัดกร่อน หากมันแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเรา มันสามารถกัดกร่อนภายในร่างกายของเราซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเราลดลงอย่างต่อเนื่อง”

ฉีเจิ้นกล่าวพลางขมวดคิ้ว เขาเคยสู้กับคนจากฝ่ายมารมาก่อนและได้เผชิญกับพลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนแล้ว ทั้งสองอย่างนี้เป็นพลังประหลาดที่ทำให้เขารู้สึกปวดหัวไม่น้อย

“อันที่จริงข้าเคยคิดเรื่องนี้มาก่อนทว่าก็ไม่พบหนทางแก้ไขที่ดีๆได้เลย พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนเหล่านี้ แม้แต่เมื่อพันปีก่อนก็สร้างปัญหาให้กับพวกเราจอมยุทธ์เป็นอย่างมาก หากหาทางป้องกันมันไม่ได้ เกรงว่าในสงครามครานี้เราคงจะเสียเปรียบตั้งแต่แรก”

หยินหึนกล่าวต่อ พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนนี้เป็นสิ่งที่กวนใจพวกเขามาตลอด เมื่อพันปีก่อน พวกเขาก็ไม่มีวิธีที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับมันเลยและทำได้เพียงใช้พลังที่แกร่งกล้ากว่าเพื่อปัดเป่ามันออกไป

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดก็ยังมีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจากพลังเหล่านั้น

หากสามารถหาทางควบคุมพลังทั้งสองได้ มันจะลดความเสียหายได้มากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ต่อให้เพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่จะสามารถกำราบพลังแห่งความมืดได้ ทว่าสำหรับพลังกัดกร่อน แม้แต่เพลิงจักรพรรดิก็ไม่สามารถยับยั้งมันได้โดยสมบูรณ์

“ปัญหานี้…เราควรคิดหาทางแก้ให้ได้โดยเร็วที่สุด สำหรับตอนนี้มันอาจไม่มีทางแก้ที่ดี ครานี้เราทำได้เพียงเตือนให้ทุกคนระวังตัวไว้ก่อน เมื่อการต่อสู้ครานี้สิ้นสุดลง เราจะต้องหารือและหาทางแก้ไขกันอย่างจริงจัง”

ฉินเทียนกล่าวกับทุกคน พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะจัดการได้ง่ายๆ สำหรับตอนนี้ที่ยังคิดหาทางออกไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงย้ำเตือนให้จอมยุทธ์ทุกคนระวังตัวมากขึ้น

“จอมยุทธ์อย่างพวกเราดูดซับพลังฟ้าดินเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น ถ้าหากต้องการคุณสมบัติพิเศษใดๆ เราก็ต้องฝึกยุทธ์ในพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจงนั้นๆเพื่อพัฒนาพลังให้แข็งแกร่งขึ้น นั่นหมายความว่ามันก็ต้องมีพื้นที่ที่พิเศษซึ่งเต็มไปด้วยธาตุมืดเพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาพลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนของตนเองเช่นกันไม่ใช่รึ?”

เฟิงอู๋ชางซึ่งนิ่งเงียบมาเป็นเวลานานเอ่ยความคิดของตนเองออกไป

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ทุกคนก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าพวกเขาก็เข้าใจชัดเจนขึ้นเช่นกัน

“ใช่แล้วล่ะ หากข้าคาดเดาไม่ผิด ฝ่ายมารจะต้องครอบครองพื้นที่ที่พิเศษซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยธาตุมืดเพื่อที่คนจากฝ่ายมารจะได้ฝึกฝนพลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตราบใดที่เราทำลายสถานที่แห่งนั้นได้ การฝึกยุทธ์ในอนาคตของพวกเขาก็จะช้าลงและภัยที่มีต่อเราก็จะลดน้อยลงไม่ใช่รึ?”

ซูเทียนหยาเอ่ยข้อสันนิษฐานของตนเอง

พลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนเป็นปฏิปักษ์กับพลังฟ้าดิน หากทำการฝึกยุทธ์เหมือนคนทั่วไป ความเร็วในการฝึกฝนจะเชื่องช้าอย่างมาก

สาเหตุที่ฝ่ายมารไม่อ่อนแอเกินไปเป็นเพราะพวกเขามีพื้นที่พิเศษสำหรับฝึกฝนและที่นั่นจะต้องเปี่ยมด้วยพลังธาตุมืดอย่างแน่นอน หากว่าทำลายที่แห่งนั้นได้ มันก็ยากที่ฝ่ายมารจะตามหาสถานที่ที่มีคุณสมบัติเช่นนั้นได้อีก

เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่ง ความเร็วในการฝึกยุทธ์ก็จะช้าลงมากและจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อดินแดนอ้างว้างอีกต่อไป

“ผู้นำซูพูดถูก หากเราตามหาที่นั่นพบและทำลายมันเสีย ในอนาคตข้างหน้า เราก็ไม่ต้องกังวลมากนัก”

ฉินเทียนพยักศีรษะเห็นด้วยกับความคิดของซูเทียนหยา

“เพียงแต่สถานที่แห่งนั้นจะต้องได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและซ่อนอยู่ลึกมากเป็นแน่ หากเราคิดจะทำลายมัน เราต้องใช้กองกำลังที่ทรงพลังกว่านี้มาก เพราะฉะนั้นแล้วมันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย”

ทุกคนพยักศีรษะ ทว่าฉินอวี้โม่ก็กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

คำพูดของซูเทียนหยาได้ทำให้นางคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของขุมกำลังมารร้ายในดินแดนอ้างว้าง หากวันหนึ่งนางเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา นางเพียงต้องตามหาสถานที่ที่มีพลังธาตุมืดที่หนาแน่นที่สุด คาดการณ์ได้ว่ามันคงจะเป็นสถานที่ที่สำนักงานใหญ่ของขุมกำลังมารร้ายตั้งอยู่

หากเป็นเช่นนั้น…

.