เช่นนั้นร่างของหานลี่อยู่ปรากฏออกมาต่อหน้ามารอสูรระดับสูงร้อยกว่าตน ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

ลำแสงเงาวับคือเคล็ดวิชาลับชนิดใดกัน คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ แม้แต่การล่องหนก็ยังถูกทำลายโดยง่าย และยิ่งไปกว่านั้นมารอสูรตัวนี้รู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไร?

 

 

แต่เรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าพลันปรากฏขึ้น!

 

 

ในเวลาเดียวกันที่ร่างของเขาปรากฏกายขึ้น ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งก็มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นคุ้นตาปรากฏขึ้น

 

 

เขาจ้องเขม็งมองไปนั่นก็คือสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นั้น

 

 

ไม่รู้ว่าสตรีเผ่าผลึกผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาอำพรางกายอันใด คาดไม่ถึงว่าแม้เขาจะใช้เนตรวิญญาณนารีกระจ่างเมื่อครู่ ก็ยังมองไม่เห็นร่องรอย

 

 

ทว่าตอนนี้ร่างกายถูกเปิดเผยแล้ว สตรีผู้นี้จึงมีสีหน้าตกตะลึง

 

 

หานลี่ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สองมือพลันร่ายอาคม เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่แผ่นหลัง ปีกขนนกแวววับคู่หนึ่งปรากฏออกมา

 

 

สีหน้าลนลานของเซียนเซียนหายวับไป อ้าปากออกในมือมียันต์วิเศษสีเงินระยิบระยับปรากฏขึ้น

 

 

ทั้งสองฝั่งมีเสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกัน ไอมารสีดำพวยพุ่งออกมาทั้งจากสองฟาก กดลงมาที่ตรงกลางราวกับจะถอนภูเขาพลิกมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น

 

 

มารอสูรระดับสูงร้อยกว่าตัวลงมือพร้อมกัน ฉากจะยิ่งใหญ่แค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว

 

 

เกรงว่าแม้แต่ระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่อาจรับมือกับการโจมตีนี้ได้

 

 

หานลี่สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง กระพือปีกที่แผ่นหลังฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวขาวสายหนึ่ง แค่เปล่งแสงวาววับก็จมหายไปกลางอากาศ

 

 

ส่วนหญิงสาวเผ่าผลึกนั้นก็แปะยันต์วิเศษสีเงินไปบนร่าง กลายเป็นลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป

 

 

ชั่วขณะนั้นไอมารทั้งสองฝั่งพลันม้วนวนไปกลางอากาศ

 

 

ครู่ต่อมาเส้นไหมสีเขียวขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา

 

 

หานลี่มาปรากฏตัวออกมาประมาณร้อยจั้งเศษ หันหน้าไปมองอสูรน้อยที่ปล่อยลำแสงเงาวับออกมาแวบหนึ่ง ร่างกายก็พลิ้วไหวจมหายไปกลางอากาศ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบสตรีนามว่าเซียนเซียนผู้นั้นก็มาปรากฏตัวกลางอากาศติดๆ กัน หันกลับไปฉีกยิ้มเบิกบานให้กับเหล่าอสูรแล้วร่างกายก็บิดเบี้ยวหายวับไป

 

 

ไอสีดำม้วนวนแล้วกระจายตัวออก มารอสูรนับร้อยตัวปรากฏตัวขึ้น อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้

 

 

“จะให้พวกมันหนีไปอย่างนั้นหรือ” ลำแสงดวงหนึ่งเปล่งแสงสว่างจ้า เงาร่างอสูรน้อยเงาวับปรากฏขึ้นต่อหน้าอสูรทุกตน มองไปยังอากาศที่ว่างเปล่าแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

 

 

“ต้องโทษที่พวกเราไร้ประโยชน์ ถึงได้สูญเสียโอกาสงามๆ ไป” อสูรมารรูปร่างคล้ายหมูป่าตนหนึ่งพ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา

 

 

มารอสูรระดับสูงตนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเผยสีหน้าละอายใจและกลัดกลุ้มออกมา

 

 

“เรื่องนี้ก็โทษพวกเจ้าไม่ได้ เคล็ดวิชาอำพรางกายของสองคนนี้ช่างวิเศษจริงๆ แม้ว่าข้าจะพบหนึ่งในสองคนนั้น แต่อีกคนหนึ่งบินมาใกล้ๆ ได้อย่างไรก็ไม่รู้เลยสักนิด”

 

 

“เช่นนั้นพวกเราต้องดักซุ่มอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่” มารอสูรระดับสูงตนหนึ่งอดไม่ไหวเลยเอ่ยถามขึ้น

 

 

“แน่นอนว่าต้องรอต่อไป ต่อให้จับสองคนนั้นไม่ได้ ก็ต้องจับคนอื่นๆ ไปสักคนสองคน มิเช่นนั้นจะไม่อาจกลับไปรายงานได้” อสูรน้อยเงาวับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของอสูรน้อย มารอสูรตนอื่นๆ ก็ว่ามีเหตุผล ทันใดนั้นก็สลายตัวออกบินกลับไปซ่อนตัวอยู่ในบริเวณรอบอีกครั้ง

 

 

……

 

 

หานลี่ที่อยู่ในลำแสงสีเงินบินไปด้านหน้า

 

 

ประจุไฟฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนร่อนลงมาจากกลางอากาศไม่หยุด โจมตีไปยังลำแสงสีเงินและพลิ้วไหวอย่างต่อเนื่อง

 

 

ด้านหลังของเขาไม่ไกลนักลำแสงสีเงินอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามเขามาติดๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้าท่ามกลางเสียงอัสนีฟ้าฟาดเช่นกัน

 

 

……

 

 

สองสามชั่วยามต่อมา ลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านหมอกเบาบาง ลำแสงสีเงินสองกลุ่มบินออกมาจากด้านใน

 

 

จากนั้นลำแสงพลันหม่นแสง ร่มยักษ์สีเงินระยิบระยับสองคันปรากฏออกมา

 

 

และใต้ร่มยักษ์นั้นบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

 

 

นั่นก็คือหานลี่และเซียนๆ!

 

 

“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว ครั้งนี้ช่างเป็นการขโมยไก่ไม่ได้ยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือเสียจริง ไม่เพียงจะไม่ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ แม้แต่ลมปราณและสมบัติอาคมก็เสียหายไปไม่น้อย เป็นหนี้บุญคุณสหายแล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกมองหานลี่แวบหนึ่ง กลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ

 

 

“เหตุใดท่านเซียนเซียนถึงได้ต้องโศกเศร้าเพียงนั้น ครั้งนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป มารอสูรระดับสูงปรากฏขึ้นเป็นฝูง รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” หานลี่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผ่อนคลาย

 

 

“พูดอย่างนั้นก็ถูก ครั้งนี้มีมารอสูรระดับสูงจำนวนมากเฝ้าอยู่ที่ทางออก ผู้ที่ออกมาได้เกรงว่ามีเพียงไม่กี่คน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของเรา รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เซียนเซียนหันกลับไปมองเขตต้องห้ามแวบหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาขณะเอ่ย

 

 

แน่นอนว่าหานลี่พลันพยักหน้าอย่างไม่มีข้อคิดเห็น ทันใดนั้นทั้งสองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งไปยังส่วนลึกของม่านหมอก

 

 

หลังจากพวกเขาจากไปหนึ่งชั่วยาม ฉับพลันนั้นกลางม่านหมอกอีกด้านหนึ่งก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งเจิดจ้าพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็มีเงาร่างคนปรากฏขึ้น

 

 

เป็นชายชราร่างกายอ้วนพีสวมชุดคลุมสีดำสีหน้าร้อนใจ

 

 

ชราผู้นี้กวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยพึมพำว่า

 

 

“จากไปแค่ครึ่งวันคงไม่ได้คลาดกับคนที่จะออกมาจากด้านในหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้แซ่กู่ก็ไม่อาจหยุดพักกับเจ้าหลิวบ้าง่ายๆ แน่ ทั้งๆที่รู้ว่าข้ามีธุระสำคัญยังจะบีบให้มาประลองกันใหม่อีก การเจอเจ้าบ้านั่นช่างเป็นเรื่องที่ซวยจริงๆ”

 

 

ชายชราร่างอ้วนเอ่ยพึมพำกับตัวเองไปพลาง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าที่ยอมรับความโชคร้ายของตัวเอง

 

 

ส่วนเขานั้นมีพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำยากที่จะคาดเดา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง

 

 

ทว่าชนต่างเผ่าแซ่กู่ผู้นี้ย่อมคิดไม่ถึงว่า ตนเองที่เฝ้ารออยู่ที่นี่อย่างยากลำบากมาหลายวันจะปล่อยให้เป้าหมายของตัวเองหนีไปใต้จมูกของตนด้วยเพราะการปรากฏตัวของ ‘เจ้าบ้าหลิว’ ผู้นั้น

 

 

นี่ไม่รู้ว่าหานลี่โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

 

 

จากนั้นชายชราแซ่กู่ก็ใช้มือหนึ่งร่างอาคม ร่างกายเปลี่ยนเป็นเลือนรางสุดท้ายก็หายวับไปท่ามกลางเมฆหมอกอย่างไร้ร่องรอย

 

 

……

 

 

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าตนเองหลบความยุ่งยากไปได้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาและเซียนเซียนไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเมฆาอัสนี แต่อ้อมผ่านไปและบินตรงไปนอกทะเลหมอก

 

 

ครึ่งวันต่อมาในที่สุดทั้งสองคนก็บินออกมาจากทะเลหมอก พลางพุ่งแหวกอากาศไป

 

 

หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่และสตรีเผ่าผลึกก็มองเห็นเคล้าโครงเมืองเมฆาที่สูงตระหง่านกลางท้องฟ้าอยู่ลิบๆ

 

 

ทั้งสองถึงได้หยุดลำแสงหลีกหนีอยู่กลางอากาศชั่วคราว

 

 

“ท่านเซียนเซียน เพื่อเป็นการป้องกันคนที่จับจ้องอยู่ พวกเราสองคนแยกกันเข้าเมืองเถอะ” หานลี่เอ่ยกับเซียนเซียนอย่างราบเรียบ

 

 

“พี่หานพูดถูก หากเราสองคนเข้าเมืองไปด้วยกันจะต้องสะดุดตาแน่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สหายเข้าเมืองไปก่อน อีกหนึ่งเค่อน้องหญิงค่อยเข้าไปเป็นอย่างไร?” เซียนเซียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราน้อยๆ ออกมา

 

 

“ไม่มีปัญหา” หานลี่เอ่ยเห็นด้วยอย่างดีใจ

 

 

“ใช่แล้วพี่หานเอาแก่นมารระดับศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าก่อน หากจะซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้าของสหายข้าต้องจัดการแกนมารเสียก่อน และใช้เคล็ดวิชาลับหลอมมันสักรอบ เช่นนั้นพี่หานก็จะได้สวมเกราะมารที่ซ่อมแซมแล้วในอีกไม่ช้าก็เร็วแล้ว” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

 

 

หานลี่ได้ฟังกลับหัวเราะยกมือขึ้นโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ชั่วขณะนั้นกล่องหยกใบหนึ่งก็บินออกมา

 

 

เซียนเซียนมีใบหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่มือเรียวพลันยกขึ้นดูดกล่องหยกเข้ามาในมือ

 

 

ทว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เปิดฝากล่องออก แต่ดวงตาคู่งามกลับเบิกมองหานลี่อยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้มีเสียง “พรึ่บ” ดังออกมาพร้อมกับเอ่ยและกลั้วหัวเราะออกมา

 

 

“พี่หานวางใจน้องหญิงจริงๆ ได้สมบัติมาอย่างยากเย็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมอบให้ข้าง่ายๆ”

 

 

“หึๆ ไม่ใช่ข้าวางใจ แต่ผู้แซ่หานเชื่อว่าสหายเซียนคงไม่ทำเรื่องที่โง่เขลาเพียงเพราะแกนมารระดับศักดิ์สิทธิ์แกนหนึ่ง” หานลี่กลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อพี่หานวางใจจะมอบสิ่งนี้ให้ข้า น้องหญิงจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่ ครึ่งเดือนหลังจากนี้สหายก็มาหาข้าที่ร้าน ข้าจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อซ่อมแซมเกราะมารเหนือฟ้าให้สหาย” มุมปากของเซียนเซียนเผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา

 

 

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านเซียนเซียนแล้ว” หานลี่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา

 

 

จากนี้ทั้งสองคนก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อย แล้วหานลี่ก็ประสานกำปั้นกล่าวลา

 

 

เห็นเพียงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี สายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังกำแพงเมืองสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็สลายหายไปท่ามกลางเมฆหมอกอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ส่วนสตรีนามว่าเซียนเซียนก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองทิศทางที่หานลี่จากไป แววตาเปล่งแสงสว่างวาบพลางขบคิดอะไรสักอย่าง

 

 

“อันใดเจ้าคิดจะดึงคนผู้นี้มาเป็นพวกหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก

 

 

“เงากิเลนเจ้าตื่นแล้ว!” เซียนเซียนได้ยินเสียงนี้ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อออกไป

 

 

ชั่วขณะนั้นเงาสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาท่ามกลางหมอกลำแสง หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นเงากิเลนขนาดเท่ากำปั้น

 

 

อสูรตัวนี้สะบัดหัวไปมา เอ่ยกับหญิงสาวเผ่าผลึกด้วยรอยยิ้มขมขื่น

 

 

“สองสามวันก่อนข้าฝืนตื่นขึ้น แต่เพราะช่วยเจ้าเชื่อมต่ออาคมใหญ่ ผลคือเสียหายไปมากจริงๆ จึงต้องพักผ่อนสักหน่อย”

 

 

“การเดินทางครั้งนี้นับว่าไร้ประโยชน์จริงๆ คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะเกิดความผิดปกติ แม้แต่เจ้าตัวที่เหมือนกับเจ้าก็ไปถึงที่นั่นแล้ว หากไม่ใช่เพราะดวงดีพวกเราก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้นจริงๆ” เซียนเซียนเอ่ยอย่างจนปัญญา

 

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทว่าโชคดีที่เจ้าเด็กแซ่หานนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่อาจรอดออกมาจากเทือกเขามารสีทองได้ ทว่าเจ้าคิดจะคบค้ากับคนผู้นี้ต่อเพื่อจะได้เตรียมการกับรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งต่อไปหรือ?” เงากิเลนพยักหน้าแล้วเอ่ยถามย้อนกลับ

 

 

“การปรากฏของรังจิตวิญาณเที่ยงแท้ครั้งต่อไป เป็นเรื่องอีกนมนาน ข้าไม่อาจขบคิดไกลขนาดนั้น แต่ต่อให้ไม่ขบคิดเรื่องนี้ คนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์มากมายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น ข้าจะคบค้าเอาไว้ก็ไม่เสียหาย” มุมปากของหญิงสาวเผ่าผลึกกระตุกเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย

 

 

“มีเหตุผล แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดก็มีอิทธิฤทธิ์ถึงเพียงนี้ คุ้มค่าให้คบค้าเอาไว้จริงๆ” หลังจากที่เงากิเลนขบคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

 

“ทว่าครั้งนี้เสียหายไปมากและยังเสี่ยงอันตรายอีก สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา ช่างทำให้ข้าไม่พอใจจริงๆ” หญิงสาวเผ่าผลึกกำหมัดในแขนเสื้อแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม

 

 

“หึๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ไปชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีวิธีปรับเปลี่ยนคุณสมบัติเผ่าผลึกของเจ้า เพื่อช่วยให้เจ้าบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์” หลังจากที่เงากิเลนขบคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย

 

 

“อะไรนะ! หรือว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของรังวิญญาณเที่ยงแท้รังที่สอง” เซียนเซียนได้ยินพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความยินดี

 

 

“หึๆ รังวิญญาณเที่ยงแท้ที่สองข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ข้ารู้ซากปรักหักพังโบราณอีกแห่งหนึ่ง นั่นเป็นที่พำนักของปรมาจารย์ปรุงยาที่มีชื่อเสียงในอดีตกาลคนหนึ่ง…”

 

 

เงากิเลนสะบัดหัวไปมาแล้วเอ่ยขึ้น ส่วนเซียนเซียนก็ตั้งใจฟังด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ…