องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 478 ฝันว่ากลับไปช่วยเขา
หนานกงเย่ชะงักมือนิดหนึ่งและมองจักรพรรดิอวี้ตี้เหมือนมองสัตว์ประหลาด จากนั้นเขาจึงลุกจากบัลลังก์มังกรและถอยออกไปอยู่ข้างๆ “น้องตกใจมาก ที่จวนยังมีปัญหาอยู่ ต้องขอตัวก่อน”
เมื่อหนานกงเย่หันหลังจะจากไป จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ตรัสว่า “ให้เวลาเจ้าสามปี ถ้าไม่มอบร้านให้เป็นท้องพระคลัง ข้าจะมอบบัลลังก์นี้ให้เจ้า”
หนานกงเย่หยุดชะงักและหันกลับไปมองจักรพรรดิอวี้ตี้ เวลานี้จักรพรรดิอวี้ตี้ยกชาขึ้นมาดูและตรัสอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าให้เจ้าได้ดื่มชาดี แต่ข้าได้ดื่มแค่ส่วนที่เหลือจากเจ้าเท่านั้น”
“…..” หนานกงเย่เอ่ยอย่างเย็นชา “ร้านไม่ใช่ของกระหม่อม สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนเรื่องราชบัลลังก์ พระสนมเอกเซียวจะให้กำเนิดองค์รัชทายาทให้พระองค์”
“หมอหลวงดูตรวจดูแล้ว บอกข้าว่าเป็นองค์หญิง”
“……”
จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้มอย่างเฉยเมยและมีสายพระเนตรเรียบเฉย หนานกงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นน่าอิจฉาจะตาย เขาได้ลูกชายมาเป็นโขยง น่าเสียดายที่ไม่มีลูกสาว
หนานกงเย่เอ่ยลาอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น “กระหม่อมทูลลา”
เมื่อหนานกงเย่หันหลังจากไป จักรพรรดิอวี้ตี้จึงถอนหายใจอย่างโลงพระทัย
ในที่สุดก็ตบตาได้!
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงหน้าพระตำหนักเฟิ่งอี๋ นางกำนัลก็มาเชิญให้นางเข้าไปด้านใน
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพเมื่อเห็นเฉินอวิ๋นชู ถึงอย่างไรเฉินอวิ๋นชูก็เป็นฮองเฮา อะไรที่ควรมีก็ยังต้องมี
เฉินอวิ๋นชูเอนกายลง ร่างกายของนางผอมซูบจนฉีเฟยอวิ๋นตกใจอยู่นานเมื่อได้เห็น ไม่คิดว่าไม่เจอเพียงไม่กี่วัน เฉินอวิ๋นชูจะกลายมาเป็นแบบนี้
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง “หม่อมฉันขอประทานอภัย!”
ฉีเฟยอวิ๋นวางมือลงบนข้อมือของเฉินอวิ๋นชู เฉินอวิ๋นชูค่อยๆ เงยหน้ามองฉีเฟยอวิ๋น นางอยากจะดึงมือกลับทว่าไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดก็ยังไม่มี
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มตรวจสอบร่างกายของเฉินอวิ๋นชูและพบว่านางถูกวางยา เวลานี้พิษเริ่มลุกลามไปทั่วและกำลังเร่งปฏิกิริยาทางร่างกายของเฉินอวิ๋นชู ทำให้นางแก่ตัวลงเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและสั่งว่า “ระหว่างทางจากที่นี่ไปพระตำหนักบำรุงฤทัย หากพบท่านอ๋องเย่ให้บอกท่านอ๋องเย่ว่าให้สั่งคนออกจากวัง กลับไปที่จวนแม่ทัพและหยิบกล่องยามาที่นี่ ถ้าไม่เจอระหว่างทางให้ไปที่พระตำหนักบำรุงฤทัย บอกคำพูดของข้าให้ท่านอ๋องเย่ฟังและบอกให้ไปเดี๋ยวนี้เลย
ทูลเชิญฝ่าบาทมาด้วย บอกไปว่าฮองเฮาพระอาการไม่ดี”
“เพคะ”
นางกำนัลไม่กล้าชักช้าและต้องไปพบคนที่นั่น เห็นได้ชัดว่าต้องวิ่งไปหาและวิ่งอย่างรวดเร็วไปตลอดทางจนเหงื่อกาฬไหลโทรมกาย
หนานกงเย่หยุดเดินระหว่างทางเมื่อเห็นนางกำนัลวิ่งอย่างลนลานมาทางนี้
เมื่อเห็นหนานกงเย่ นางกำนัลก็ปรี่เข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรเวิ่นเว้อ นางร้องห่มร้องไห้พลางถ่ายทอดคำพูดของฉีเฟยอวิ๋นให้หนานกงเย่ฟัง
หนานกงเย่ไม่แปลกใจเลยที่นางกำนัลจะร้องไห้อย่างเศร้าโศกเช่นนี้ หากฮองเฮาสิ้นพระชนม์ ผู้คนในตำหนักเฟิ่งอี๋ก็จะต้องตายตกตามไปด้วย
หนานกงเย่กล่าวว่า “ไปทูลเชิญฝ่าบาทมา”
“เพคะ”
นางกำนัลร้องไห้และตรงไปยังพระตำหนักบำรุงฤทัย ส่วนหนานกงเย่ก็ตรงไปที่ประตูวังและส่งคนกลับไปหยิบกล่องยามาที่นี่
เมื่อหนานกงเย่มาถึงก็เห็นจักรพรรดิอวี้ตี้ประทับนั่งอยู่ข้างกายของเฉินอวิ๋นชูแล้ว พระองค์จับมือของเฉินอวิ๋นชูไว้และพูดคุยกับนาง
จักรพรรดิอวี้ตี้หวนรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในสมัยที่ยังเยาว์วัยในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังรอกล่องยา
“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นรีบรับกล่องยาไปที่หนานกงเย่นำมาให้ จากนั้นจึงหันไปเปิดกล่องยาและหยิบยาฉีดออกมาเพื่อเริ่มเจาะเลือดก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าพิษชนิดนี้อาจจะรักษาไม่ได้!
หลังจากการตรวจสอบอย่างง่ายๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็นำเลือดของนางมาหยดลงไปในเลือดของเฉินอวิ๋นชู จากนั้นเลือดก็จับตัวเป็นก้อนอย่างสมบูรณ์
ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเย็นๆ และหันกลับไปมองเฉินอวิ๋นชูที่นอนอยู่บนเตียง
หลังจากวางยาฉีด ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มทดสอบเลือดที่เหลืออยู่
หลังจากเร่งรีบอยู่หลายชั่วยาม ฉีเฟยอวิ๋นก็เหนื่อยจนหมดแรง
หนานกงเย่ก้าวเข้าไปหาและใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้ฉีเฟยอวิ๋น “ไม่สำเร็จก็ช่างมันเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “ข้าอยากช่วยนาง นี่คือชีวิตคนนะเพคะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ นางยังจำเรื่องนี้ได้เสมอ
นางมุ่งเน้นที่การรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คน ไม่ใช่การคร่าชีวิต
ความวุ่นวายในราชสำนักคือทิศทางที่ราชวงศ์จะเป็นไป แต่ถ้าโยนสิ่งอื่นทิ้งไปไม่ต้องพูดถึง นางช่วยชีวิตคนและไม่เกี่ยวข้องกับใครอื่น ก็แค่คนชั่วร้ายคนหนึ่ง เมื่อเห็นคนกำลังจะตายฉีเฟยอวิ๋นจะไม่ช่วยได้อย่างไร นางแยกแยะสิ่งนี้ไว้ชัดเจน ฆ่าก็คือฆ่า ช่วยก็คือช่วย!
หนานกงเย่เดินไปอยู่ข้างๆ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและเช็ดเหงื่อให้ฉีเฟยอวิ๋นโดยที่ไม่ไปรบกวนนาง
หลังจากผ่านไปอีกสองสามชั่วยาม ในที่สุดฉีเฟยอวิ๋นก็ทำยาแก้พิษขึ้นมาได้ แต่ไม่ถึงกับมีเวลาทำเป็นยาลูกกลอน ฉีเฟยอวิ๋นบอกว่า “นำยาไปให้ฮองเฮาดื่ม”
พูดจบฉีเฟยอวิ๋นก็หมดเรี่ยวแรงและล้มลงไปเพราะไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง
หนานกงเย่ประคองฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ นางอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเย่และบอกอย่างงัวเงียว่า “ร่างกายนี้แย่แล้ว!”
หนานกงเย่กระชับฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน เหลือบมองจักรพรรดิอวี้ตี้อย่างไม่ใส่ใจว่า “อย่าทำให้อวิ๋นอวิ๋นเสียความตั้งใจล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นมาและเดินจากไป
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสสั่งให้คนนำยามาวางตรงหน้า ยานั้นเป็นยาสีดำเข้มและไม่รู้ว่าข้างในมีส่วนผสมอะไรอยู่บ้าง ที่โรงยาในวังมีทุกสิ่งทุกอย่าง หากฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนไปนำสิ่งที่เป็นพิษมา ยานี้ดื่มไปแทนที่จะช่วยชีวิตกลับจะคร่าชีวิตแทน
จักรพรรดิอวี้ตี้ประคองเฉินอวิ๋นชูให้ลุกขึ้น “ในชีวิตของข้า ผู้ที่ข้ารู้สึกละอายที่สุดคือฮองเฮา ข้าทำร้ายฮองเฮา!”
เฉินอวิ๋นชูมองจักรพรรดิอวี้ตี้ คำพูดที่ออกมาจากปากของคนใกล้ตายย่อมมาจากใจเสมอ นางส่ายหน้า “ให้ข้าดื่มเถิด”
เฉินอวิ๋นชูเริ่มดื่มยาและพิงไหล่ของจักรพรรดิอวี้ตี้ด้วยอาการหายใจหอบ “ฝ่าบาทเพคะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างพระองค์กับหม่อมฉันขอให้เลิกแล้วต่อกัน จากนี้ไปจะไม่ติดค้างอะไรกัน และชาติหน้าก็ขออย่าได้เจอกันอีก!”
เฉินอวิ๋นชูหลับตา ลมหายใจของนางค่อยๆ สม่ำเสมอและท้ายที่สุดก็ผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิอวี้ตี้หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้เฉินอวิ๋นชูและรับสั่งว่า “ออกไปให้หมด”
“เพคะ”
นางกำนัลพากันออกไปจนเหลือเพียงแค่จักรพรรดิอวี้ตี้และเฉินอวิ๋นชูที่อิงแอบกันอยู่เช่นนั้น!
ฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับลึกจนกลับไปอยู่ข้างกายของซูมู่หรง ซูมู่หรงอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลโดยมีเครื่องช่วยหายใจการกำลังให้น้ำเกลืออยู่
รอบๆ ไม่มีใครอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นผลักประตูและเดินเข้าไปด้านใน ที่ด้านข้างมีสมุดบันทึกอาการของซูมู่หรงวางไว้ ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขึ้นมาดู กระดูกหักไปทั่วร่าง ร่างกายฟื้นตัวได้ยาก อวัยวะหลายส่วนล้มเหลว
นางนึกถึงตอนที่ฝันเห็นซูมู่หรงตกจากหน้าผาสูง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้และรีบมองหามีดทันที
แม้จะไม่แน่ใจว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็อยากจะลองดู
ฉีเฟยอวิ๋นกลั้นใจกรีดข้อมือของตนเอง จากนั้นจึงนำเลือดที่ข้อมือของตนให้ซูมู่หรงดื่ม
คลื่นหัวใจที่เคยอ่อนแรงของซูมู่หรงเริ่มอยู่ในระดับที่สม่ำเสมอมากขึ้นหลังจากได้เลือดของฉีเฟยอวิ๋น และอัตราการเต้นของหัวใจของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ซูมู่หรงขยับมือและค่อยๆ ลืมตาขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกและรีบคว้ามือไว้ทันที
ฉีเฟยอวิ๋นมองซูมู่หรงเมื่อหาผ้าพันแผลมาพันไว้รอบๆ แผลแล้ว ซูมู่หรงมองไปรอบๆ และมองฉีเฟยอวิ๋น แม้ว่าจะยังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย แต่ร่างกายของเขาก็กำลังฟื้นตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
ทันทีที่หนานกงเย่ขึ้นมาบนรถม้า ปากแผลที่ข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นก็เปิดออก เลือดไหลออกมาจากข้อมือของนาง ฉีเฟยอวิ๋นผงะและเตรียมจะจัดการทันที แต่เขากอดฉีเฟยอวิ๋นไว้และจับข้อมือของนางเข้ามาประชิดที่ปากของตน เลือดของฉีเฟยอวิ๋นไหลเข้าปากของเขาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งหยุดไหลในที่สุด
หนานกงเย่พยายามมองหลังจากดึงข้อมือของฉีเฟยอวิ๋นออก เมื่อเห็นแผลที่ข้อมือกำลังสมาน หนานกงเย่ก็รีบดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามากอดไว้แน่น
“ข้าก็จะไปด้วย” หนานกงเย่ไม่ยอมและยิ่งกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นได้รับบาดเจ็บ