บทที่ 1738+1739

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1738 ตี้ฝูอี สรุปแล้วท่านทำไปทำไม?

ตนไม่ใช่หลานจิ้งเคอจริงๆ ด้วย หลานจิ้งเคอกับตนไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด!

ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอมีเพียงความสัมพันธ์ฉันท์สหายกัน เขาไม่เคยรักนางเลย และไม่เคยคิดจะฟื้นคืนชีพให้นางด้วย…

ทุกอย่างที่เขาลงไปก็เพื่อตัวเธอกู้ซีจิ่วทั้งสิ้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่เขารักมีเพียงกู้ซีจิ่ว…

เช่นนั้นเขาจงใจทำให้เธอเข้าใจผิด ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสไปเพื่ออะไรกันแน่?

กู้ซีจิ่วล่องลอยอยู่ในอากาศชมละครฉากใหญ่จนจบ รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่หลายสาย ในใจทั้งหวานทั้งขม ทั้งฝาดเฝื่อนทั้งเผ็ดร้อน บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเป็นความรู้สึกใด ในสมองมีเสียงดังหึ่งๆ ไม่อาจสงบใจใคร่ครวญได้ชั่วขณะ…

เธอรู้สึกว่าตนที่อยู่ในสภาวะกายจิตสมองประมวลผลค่อนข้างเชื่องช้า ดังนั้นจึงมึนงงอยู่ตลอด

เธอจึงติดตามตี้ฝูอีไปตลอดทางด้วยสภาพที่มึนเบลออยู่ตลอดเวลา

ตี้ฝูอีกอดสังขารนั้นของเธอเอาไว้ตลอดนั่งรถม้าแก้วผลึกคันนั้นตระเวนไปทั่ว สถานที่ทุกแห่งที่ไปเยือนล้วนเป็น ‘ศาลทูตสวรรค์กู้’

ที่ ‘ศาลทูตสวรรค์กู้’ แต่ละแห่ง เขาล้วนอุ้มสังขารนั้นเข้าไปรั้งอยู่พักหนึ่ง ด้วยบารมีของเขา ทุกครั้งกู้ซีจิ่วล้วนต้องติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้

เขานั่งอยู่บนคานกับสังขารนั้นบางครั้งก็เอ่ยพึมพำงึมงำ บางครั้งก็มองดูรูปสลักไม้อย่างใจลอย

ส่วนกู้ซีจิ่วก็ล่องลอยอยู่ใกล้ๆ พวกเขา เธอก็มองรูปสลักไม้หรือไม่ก็ตี้ฝูอีอย่างใจลอยเช่นกัน

ในสมองคล้ายจะมีความคิดสารพัดวนเวียนไปมา แต่เธอไม่แยแสไปชั่วขณะ เพียงติดตามเขา มองดูเขาไปตามสัญชาตญาณ

ถูกบีบคั้นให้แยกจากกันถึงครึ่งปี ถึงแม้เธอจะเกลียดเขา แต่ไยจะไม่คะนึงหาเขาเล่า?

ความชิงชังเป็นล้นพ้น ทว่าก็คำนึงหาเป็นล้นพ้นเช่นกัน ที่กล่าวมาคือสภาพของเธอในครึ่งปีนั้น…

ตอนนี้เธอควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลยได้แต่ติดตามเขาไปอย่างโง่งม มองดูเขา แยกจากไปไม่ได้เลยสักครู่ ไยจะมิใช่การทดแทนรูปแบบหนึ่งเล่า

เธอมองออกแล้วว่ารูปสลักเหล่านั้นเป็นฝีมือของตี้ฝูอีทั้งสิ้น ลายเส้นชัดเจน ละเอียดประณีต ลักษณะท่วงท่าของรูปสลักไม้แต่ละตัวแตกต่างกันไป บางตัวยิ้มน้อยๆ บางตัวสีหน้าเยือกเย็น บางตัวมีความสุข บางตัวขึงขังจริงจังยิ่งนัก…

อากัปกริยาของรูปสลักแต่ละตัวล้วนละเอียดลออสมจริง หากมิใช่ว่าจดจำท่วงท่ากิริยาทั้งหมดของเธอไว้ในใจอย่างตราตรึงยิ่ง เขาจะสามารถแกะสลักเธอออกมามากมายถึงเพียงนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนได้อย่างไร?

หากกล่าวว่าหลังจากที่กู้ซีจิ่วได้ยลยินละครฉากนั้นแล้ว ความรู้สึกในใจที่มีต่อเขายังคงคลางแคงอยู่บ้าง แต่หลังจากได้เห็นรูปสลักไม้แต่ละตัวนี้แล้ว เธอก็ไม่คลางแคลงในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว เขารักเธอ รักมากมายเหลือเกิน…

ในเมื่อรักเธอถึงเพียงนี้ แล้วทำไมตอนนั้นถึงหักใจทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนั้นเล่า?

ตี้ฝูอี สรุปแล้วท่านทำไปทำไม? ทำเพื่ออะไร?

ในใจของเธอฝาดเฝื่อนขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากถามเขาเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะล่องลอยอยู่ข้างกายเขาอย่างไร เขาก็มองไม่เห็นเธอเลย…

เธอติดตามเขาอยู่เช่นนี้ต่อเนื่องกันห้าวัน ในห้าวันนี้เขาเดินทางอยู่ตลอด เธอไม่เคยเห็นเขาจะพักผ่อนอะไรเลย ถึงขั้นที่ไม่เคยเห็นเขางีบเลยด้วยซ้ำ!

ถึงแม้เขาจะเป็นเทพ แต่ก็สมควรจะพักผ่อนบ้างมิใช่หรือ?

ยามที่เขาอยู่ในรถม้า บางครั้งก็ใช้พลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยงให้สังขารนั้นให้ดุจมีชีวิตอยู่ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าหยิบท่อนไม้จากไหนออกมาแกะสลัก ฝีมือการแกะสลักของเขายอดเยี่ยม แต่ละมีดที่สลักลงไปละเอียดประณีต สิ่งที่เขาแกะสลักออกมาล้วนเป็นรูปสลักมนุษย์ทั้งสิ้น เป็นเธอทั้งนั้น ยังคงเป็นตัวเธอในอิริยาบถต่างๆ เคืองขุ่นเอย โกรธเกรี้ยวเอย มีแม้กระทั่งแง่งอนกระเง้ากระงอด หยิ่งทะนงภาคภูมิ…

เธอสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ส่วนใหญ่ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะมีบุคลิกเป็นหญิงแกร่งที่เข้มแข็งเย็นชา มีเพียงต่อหน้าเขาเท่านั้น ที่เป็นเหมือนเด็กสาวตัวน้อย แง่งอนเป็น ภาคภูมิใจเป็น ขุ่นเคืองเป็น…

ทุกครั้งที่แกะเสร็จหนึ่งตัว เขาล้วนเหม่อมองอยู่นานสองนาน ยิ้มละไมลูบไล้ดวงหน้าของรูปสลักน้อยตัวนั้น

———————————————————————–

บทที่ 1739 ท่านเห็นข้าหรือ?

ซ้ำบางครายังนำไปชิดริมฝีปากแนบจุมพิต กระซิบเบาๆ ว่า ‘เด็กน้อย’

เป็นการกระทำที่เรียบง่ายยิ่งนักชัดๆ ทว่ากู้ซีจิ่วที่มองอยู่ด้านบนกลับรู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว อยากร้องไห้ออกมา

โชคดีที่เธออยู่ในสภาพนี้จึงไม่มีน้ำตา เพียงแต่ความรู้สึกต่างๆ ยังคงอยู่เท่านั้น

เธอติดสอยห้อยตามเขาอยู่หลายวันก็มิได้ติดตามอย่างเสียเปล่า เธอพบว่าตนคล้ายจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

ในวันแรกประสาทการได้ยินและประสาทการรับกลิ่นของเธอฟื้นฟูคืนมา วันที่สองประสาทรับรสของเธอฟื้นฟูกลับมา เธอสามารถลิ้มรสของบูชาได้แล้ว ถึงแม้จะกัดไม่เข้า แต่ก็ยังรับรู้รสชาติได้

วันที่สามประสาทการได้ยินของเธอเฉียบคมขึ้นกว่าเดิม หากกล่าวว่าวันแรกเพียงได้ยินเสียงผู้คนสนทนากันได้เหมือนคนทั่วไป เช่นนั้นวันที่สามนี้นางก็ถึงขั้นที่ได้ยินบทสนทนาของผู้คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรได้อย่างชัดเจนแล้ว แถมยังไม่สับสนปนเปสักนิดเลยด้วย!

เวียนมาถึงคืนจันทร์เพ็ญอีกแล้ว

คืนนี้ตี้ฝูอีสั่งการให้พักแรมในโรงเตี๊ยมอย่างที่พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก ให้สี่ทูตได้ดื่มกินพักผ่อนอย่างดี

กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าท่าทีของสี่ทูตค่อนข้างผิดปกติ หลายครั้งที่เธอเห็นพวกเขาทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ออกมา ทว่าฝืนสะกดกลั้นเอาไว้อยู่ตลอด ปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้ฝูอีมอบหมายให้พวกเขาอย่างเคร่งครัดจริงจัง

กู้ซีจิ่วคิดว่าคืนนี้ตี้ฝูอีต้องพักผ่อนดื่มกินเป็นอย่างดีแน่นอน กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะลงครัวจัดเตรียมสำรับโต๊ะหนึ่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ให้คนตั้งโต๊ะที่สวนดอกไม้หลังโรงเตี๊ยม

เขาอุ้มสังขารนั้นมานั่ง เงยหน้ามองดวงเดือนอยู่สักพัก ถอนหายใจออกมาอีกครา “เด็กน้อย คืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำแล้วนะ เจ้าเคยบอกว่าเมื่อถึงวันขึ้นสิห้าค่ำพระจันทร์จะกลับมาเต็มดวง แต่เจ้ากับข้า… ” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็นิ่งไป หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ยัดตะเกียบคู่หนึ่งใส่มือของร่างนั้น “ซีจิ่ว…”

เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วๆ “อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เจ้าเคยโปรดปรานทั้งสิ้น…ลองสิว่ายามนี้ยังชอบอยู่หรือไม่?”

ร่างนั้นย่อมไม่สามารถกินอาหารได้ เพียงแต่ตี้ฝูอีก็ไม่ได้ขยับตะเกียบเช่นกัน

กลับเป็นกู้ซีจิ่วที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นอาหารโต๊ะนี้เข้า จู่ๆ ก็รู้สึกหิวขึ้นมา!

ระยะนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอใกล้จะเหมือนในอดีตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่เพิ่งมีความรู้สึกหิวโหยเป็นครั้งแรก!

อาหารบนโต๊ะคือกุ้งมังกรอบน้ำมัน ปลาบั้งหางกระรอกที่เธอชอบที่สุด เธอลอยลงมาอย่างอดใจไม่ไหว อยากจะคว้าตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมา ทว่าจนปัญญาที่หามือของตนไม่พบ

ทำได้เพียงเขยิบเข้าไปสูดดมกลิ่น ปลอบประโลมความตะกละที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา…

นึกไม่ถึงว่ายิ่งดมท้องก็ยิ่งหิวขึ้นเรื่อยๆ เธอมอดูทั้งสองฝั่ง ไม่มีใครเห็นเธอเลย

เธอตัดสินใจในฉับพลัน ก้มตัวลงไปกัดทันที…

เธอพยายามอยู่พักหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะกัดโดนเนื้อกุ้งนิดหน่อยแล้ว!

เอ๊ะ เธอกัดของจริงเข้าแล้วเหรอ?!

กู้ซีจิ่วอุตสาหะต่อไป เข้าไปกัดกุ้งทั้งตัว…

กุ้งในจานที่ถูกเธอกัดพลันลื่นไถล จากนั้นก็ไถลออกจากจานแล้วหล่นลงบนโต๊ะ

กู้ซีจิ่วไม่กินที่สิ่งที่ตกไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้กุ้งตัวนั้นจะอวบเด้งมากพอ กู้ซีจิ่วก็ยังคงปล่อยไป หันไปโจมตีกุ้งตัวที่สอง…

หนนี้เธอรีดเค้นเรี่ยวแรงที่บ่มเพาะมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาออกมา ในที่สุดก็คาบกุ้งตัวนั้นออกจากจานได้สำเร็จ…

‘เพล้ง!’ มีเสียงจอกสุราร่วงลงพื้นแว่วขึ้นมา ทำให้กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง! จากนั้นกุ้งตัวนั้นย่อมลื่นหลุดออกจากปากเธอ หล่นกลับไปในจาน

เธอเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ สบเข้ากับสายตาตกตะลึงของตี้ฝูอี!

เธอตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ยืดกายขึ้นอย่างอิหลักอิเหลื่อ ออกห่างจากโต๊ะตัวนั้น เอ่ยถามว่า “ท่านเห็นข้าหรือ?”

สายตาของตี้ฝูอีไม่ได้หันเทตามร่างเธอ สายตาของเขาร่อนลงบนกุ้งมังกรที่หล่นกลับสู่จานตัวนั้น

ตะลึงงันอยู่นานสองนาน เขาถึงยื่นตะเกียบไปคีบกุ้งตัวนั้นขึ้นมา ปลายนิ้วเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ค่อยๆ นำกุ้งตัวนั้นมาจ่อที่ปลายจมูก คล้ายว่าจะสุดดมหากลิ่นอายบนนั้น

กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าบนนั้นจะมีน้ำลายผีเหลืออยู่หรือเปล่า…

————————————————————————————-