บทที่ 182 สร้างหุ่นเชิด

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 182 สร้างหุ่นเชิด

หลังจากทุกคนแยกย้ายกันออกไป ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ หลิงตู้ฉิงดึงตัวหลิงฟ่างหัวเข้ามาหาและถามด้วยความกังวล “เจ้าสบายดีไหม พ่อเห็นเมื่อครู่เจ้าได้ใช้พลังวิญญาณของเจ้าเองไปจนหมด เจ้ารู้สึกไม่สบายอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”

หลิงฟ่างหัวที่ในตอนนี้สีหน้าของนางยังคงซีดเซียว เมื่อนางรู้ถึงความกังวลของหลิงตู้ฉิงนางก็ส่ายหัวและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าสบายดี ข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อย”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หลับให้สบาย พ่อจะให้แม่เฟ่ยเอ๋อของเจ้าอุ้มเจ้าไปนอนแล้วเจ้าจะดีขึ้น!”

“ให้ข้าอุ้มนาง!” เหลียงเฟ่ยเอ๋อรีบพูด

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ในขณะที่เจ้ากำลังอุ้มนาง โคจรเคล็ดวิชากายาปฐพีของเจ้าไปด้วย มันจะสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายของนางไปในตัว”

เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้าและรีบอุ้มหลิงฟ่างหัวไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับเริ่มโคจรเคล็ดวิชากายาปรฐพีตามที่หลิงตู้ฉิงบอก

“นายท่าน มีอะไรผิดปกติกับคุณหนูฟ่างหัวงั้นหรือ?” โม่หยูถังถาม

ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยเป็นพิเศษว่าหลิงฟ่างหัวใช้วิชาแบบไหนในการสังหารฟางเหล่ยถงที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2 ได้

ในขณะที่คนอื่น ๆ คิดว่าหลิงตู้ฉิงเป็นผู้ลงมือสังหาร มีแต่เพียงโม่หยูถังเท่านั้นที่รู้ว่าหากหลิงตู้ฉิงต้องการจะสังหารฟางเหล่ยถงแล้ว หลิงตู้ฉิงไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวอะไรไร้สาระมาเพื่อเป็นข้ออ้างเลยแม้แต่น้อยอย่างที่เขาทำไปก่อนหน้า

โม่หยูถังจึงเหลือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวถึงสาเหตุการตายของฟางเฟล่ยถงก็คือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 3 เท่านั้น

นี่เป็นเรื่องแปลกเกินไป

ต่อให้หลิงฟ่างหัวจะกลับชาติมาเกิดแบบเดียวกับหลิงตู้ฉิง แต่มันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่ระดับการบ่มเพาะของนางเพียงแค่เท่านี้จะสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้

ดังนั้นเขาจึงอยากรู้อย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงฟ่างหัว

“นางยังไม่เชี่ยวชาญในการใช้พลังของนางอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นเมื่อวันนี้นางใช้มัน นางก็ต้องถูกอำนาจพลังของนางเองสะท้อนกลับมาบ้างเป็นธรรมดา” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ

หลิงตู้ฉิงพูดหยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาไม่ได้อธิบายถึงความสามารถของหลิงฟ่างหัวให้กับโม่หยูถังฟังต่อ เนื่องจากถึงแม้ว่าโม่หยุถังจะดูไว้ใจได้แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงกับความปลอดภัยของลูก ๆ ของเขา

ร่างกายจ้าวมิติอ้างว้าง เป็นร่างกายที่หายากมากทั้งบนสวรรค์และโลก นี่คือสิ่งที่จะกระตุ้นความอิจฉาริษยาของผู้อื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความช่วยเหลือของ ‘ประตู’ ที่ถูกฝังไว้ด้วย ‘ผลึกมิติดาราหายนะ’ ที่เขาเสียบไว้และเคล็ดวิชาบังคับกระแสมิติที่นางฝึกฝน หลิงฟ่างหัวที่อายุน้อยแค่นี้กลับสามารถทำให้เกิดการเชื่อมต่อของมิติขนาดเล็กได้ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้ หลาย ๆ คนจะพุ่งเป้าไปที่นาง

ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงไม่ต้องการอธิบายให้ใครก็ตามรอบข้าง หากเขายังไม่มั่นใจว่าจะปกป้องลูก ๆ ของเขาได้เต็มกำลัง

เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง โม่หยูถังรู้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ต้องการอธิบาย ดังนั้นเขาจึงหยุดคิดถึงเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อโม่หยูถังนึกถึงหลิงเทียนหยุน เขาก็มีรอยยิ้มทันที “นายท่าน แล้วท่านได้ลองไตร่ตรองเรื่องที่ข้าขอท่านไปแล้วหรือยัง เรื่องนายน้อยเทียนหยุน…ข้ารับประกันกับนายท่านได้เลย หากท่านอนุญาตให้เขาไปอยู่ที่สำนักเก้าเทพอสูรของข้า ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของเขา เขาจะต้องได้ขึ้นเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตของสำนักเก้าเทพอสูรได้แน่นอน”

“นอกจากนี้นายท่านเองก็คุ้นเคยกับสำนักเก้าเทพอสูรของข้ามากจนสามารถร่ายคาถาอย่าง ‘ซุ่มเสียงแห่งเทพอสูร’ ได้ นายท่านก็ควรจะทราบดี ถ้าหากนายน้อยเทียนหยุนได้เรียนรู้วิถีอันยิ่งใหญ่ของเก้าเทพอสูรมาปรับใช้กับพรสวรรค์ของเขาแล้ว อนาคตของเขาจะได้กลายเป็นตัวตนที่ไม่ต่ำต้อยกว่าจักรพรรดิปีศาจเก้าเทพอสูรอย่างแน่นอน”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่โม่หยูถังที่กำลังขอร้องและพูดอย่างเสียไม่ได้ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าสัญญากับเจ้าว่าในอนาคตข้าจะให้เขาลองไปที่สำนักเก้าเทพอสูรของเจ้าดูสักครั้งเพื่อตัดสินใจ แต่ข้าขอพูดตามตรงว่าอันที่จริงเขามีสถานที่ที่ดีกว่าและควรจะไปมากกว่า แต่ด้วยมันมีปัญหาบางอย่างที่ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าสถานที่นั้นมันจะทำให้เขาพอใจได้ไหม ฉะนั้นหากในอนาคตเมื่อเขาไปที่สำนักเจ้าแล้ว และเขาชอบที่จะอยู่ในสำนักเก้าเทพอสูรของเจ้า ข้าจะให้เขาเข้าควบคุมสำนักเก้าเทพอสูรของเจ้าก็แล้วกัน”

โม่หยูถังดีใจมาก เขารีบพูดว่า “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณสำหรับการให้โอกาสของท่านกับสำนักของข้าครั้งนี้! ว่าแต่นายท่านข้าควรจะสอนวิชาในคัมภีร์ ‘เก้าเทพอสูร’ ให้กับนายน้อยเทียนหยุนในตอนนี้เลยดีไหม? หรือข้าควรจะลองถ่ายพลังวิญญาณเทพอสูรของข้าไปยังร่างของเขาก่อนดี และรอดูว่าเขาสามารถสัมผัสวิถีอันยิ่งใหญ่ของเก้ายมโลกได้หรือไม่?”

หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ! แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะสอนวิชาในคัมภีร์ ‘เก้าเทพอสูร’ ในอนาคตเทียนหยุนก็อาจจะไม่อยากไปอยู่กับสำนักของเจ้าก็เป็นได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคัมภีร์ ‘เก้าเทพอสูร’ ของเจ้า มันมีเนื้อบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่เช่นกัน เจ้าลองกลับไปนึกดูดี ๆ ว่ามันมีส่วนไหนที่ยังไม่สมบูรณ์กันแน่ อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าหากเจ้าจะอยากสอนมันทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน เพราะอย่างมากเทียนหยุนก็คงแค่ยืมบางเคล็ดวิชาของเจ้ามาใช้เท่านั้น”

โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่น

เขาเชื่อคำพูดของหลิงตู้ฉิงอย่างสมบูรณ์ เขาจะสงสัยคนที่สามารถใช้ ‘ซุ่มเสียงแห่งเทพอสูร’ ได้อย่างไร?

ส่วนเรื่องที่หลิงตู้ฉิงบอกว่า เนื้อหาในคัมภีร์เก้าเทพอสูรของเขายังไม่สมบูรณ์นั้น โม่หยูถังคิดว่า เขาค่อยทบทวนเกี่ยวกับมันหลังจากที่เขาได้พลังของตัวเองกลับมาอย่างถาวรก่อนดีกว่า

ตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องมุ่งเน้นไปก็คือการสอนหลิงเทียนหยุนให้รู้จักกับคัมภีร์ ‘เก้าเทพอสูร’

โม่หยูถังเดินมาหาหลิงเทียนหยุนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “นายน้อยสามข้าจะสอนวิชาในคัมภีร์ เก้าเทพอสูร ให้กับท่าน! การบ่มเพาะของท่านนั้นคล้ายคลึงกับสำนักเก้าเทพอสูรของข้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นวิชาของสำนักข้ามันจะช่วยให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน”

หลิงเทียนหยุนพยักหน้าและพูดว่า “ได้สิ! แล้ววิชาเก้าเทพอสูรของท่านนี่มันฝึกยังไงกันล่ะ?”

โม่หยูถัง เมื่อเห็นว่าหลิงเทียนหยุนกระตือรือร้นที่จะเรียน เขาดีใจเป็นอย่างมากและรีบวาดอาณาเขตแยกเขากับหลิงเทียนหยุนออกจากคนอื่นและเริ่มการสอนทันที

เสี่ยวเยว่เฟิงที่กำลังดูอยู่มองไปที่หลิงตู้ฉิงแล้วหันกลับไปมองโม่หยูถัง ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ

สำนักเก้าเทพอสูรเป็นสำนักใหญ่อันทรงพลังมาก ในอดีตช่วงที่สำนักนี้รุ่งเรืองจนถึงขีดสุดพวกเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นสำนักที่ไร้คู่เปรียบในช่วงเวลานั้นเลยด้วยซ้ำ

แล้วสำนักเช่นนี้ยังจำเป็นต้องขอร้องให้ใครมาเป็นเจ้าสำนักของพวกเขาด้วยงั้นเหรอ?

นางมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นมองไปที่หลิงไช่หยุนด้วยสีหน้าครุ่นคิด

หรือจะเป็นไปได้ไหมที่หลิงไช่หยุนยังมีสายเลือดของบรรพบุรุษสำนักของนาง แล้วหลิงเทียนหยุนผู้นี้จะมีสายเลือดที่ไม่ธรรมดาคล้ายกัน!

ทันใดนั้นนางก็ตะลึง ถ้าสองคนนี้คล้ายกันแล้วคนอื่นล่ะ? อีก 5 คนเหมือนกันไหม?

หลิงไช่หยุนที่มีสายเลือดฟีนิกซ์เพลิงสวรรค์จึงทำให้นางสามารถจดจำหลิงไช่หยุนได้ แล้วคนอื่น ๆ ที่นางจำไม่ได้ล่ะ?

นางหายใจเข้าลึก และเดินมาที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง นางพูดด้วยเสียงต่ำ “นายท่านข้าควรใช้พลังเพลิงฟินิกซ์บรรพกาลของข้า ช่วยคุณหนูไช่หยุนฝึกฝนเพื่อให้นางบ่มเพาะได้เร็วขึ้นดีไหม?”

“เจ้าไม่ต้องรีบ ปล่อยให้นางค่อย ๆ ฝึกฝนไปอย่างช้า ๆ” หลิงตู้ฉิงยิ้มขณะที่เขาส่ายหัว “นางยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะที่ทำให้นางยกระดับการบ่มเพาะเร็วเกินไป”

“ถ้างั้นข้าควรจะสอนความลับในการใช้เปลวเพลิงของสำนักข้าให้กับนางได้ไหม?” เสี่ยวเยว่เฟิงถาม

“เจ้าสามารถสอนนางได้ แต่อย่าบังคับนาง นางมีวิธีฝึกของตัวเอง” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ

เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าทราบแล้ว นายท่าน!”

พูดจบเสี่ยวเยว่เฟิงเดินไปอุ้มหลิงไช่หยุนขึ้นพร้อมกับเริ่มสอนความลับการใช้เพลิงของสำนักนางทันที

ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจากเหลียงเฟ่ยเอ๋อ ผู้ซึ่งใช้เคล็ดวิชากายาปฐพีเพื่อบำรุงร่างกายของหลิงฟ่างหัว คนอื่น ๆ ก็กำลังฝึกฝนตามเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขาต่อเช่นกัน

บรรดานักศึกษาทุกคนในศาลาศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เห็นการประลองของลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงในวันนี้ พวกเขาต่างรู้สึกกริ่งเกรงในอัจฉริยะภาพของเด็ก ๆ เหล่านี้ พวกเขาจึงต้องการที่จะตั้งใจบ่มเพาะให้มากขึ้น

เดิมทีพวกเขามีความสุขมากหลังจากการประลองในวันนี้ พวกเขารู้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นเหนือกว่าเพื่อน ๆ ในคณะเก่า แต่เมื่อมาตอนท้ายพวกเขากลับเห็นพวกเด็ก ๆ เหล่านี้ที่ในตอนแรกพวกเขามองว่า ‘เอาแต่เล่น’ แต่จู่ ๆ กลับสามารถสำแดงพลังออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อ พวกเขารู้สึกกดดันอย่างจัง ดังนั้นเพื่อชดเชยความหวาดหวั่นในจิตใจ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝึกให้หนักขึ้น

เมื่อหลิงตู้ฉิงและทุกคนกลับมาถึงคฤหาสน์ เขาก็พบผู้บุกรุกที่ลอยแข็งค้างอยู่กลางอากาศทันที

หลิงตู้ฉิงจึงจัดแจงสร้างหุ่นเชิดขึ้นจากผู้บุกรุกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราผู้นี้ทันที

จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้หุ่นเชิดตัวนี้ที่เขาพึ่งสร้างมาเสร็จหมาด ๆ ให้ไปยืนถือดาบเฝ้าประตูคฤหาสน์สราญรมย์

หลิงตู้ฉิงไม่แม้แต่จะถามว่าคนนี้เป็นใครและใครส่งเขามา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่

นี่เป็นเพราะทุกคนในเมืองหลวงควรจะมีความคิดฝังหัวไว้อยู่แล้วว่าคฤหาสน์สราญรมย์มันเป็นพื้นที่ต้องห้าม หากมีผู้เชี่ยวชาญหน้าไหนที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารากล้าบุกรุกเข้ามาไม่ว่าจะมาแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันผู้นั้นจะต้องจ่ายราคาค่างวดที่กล้าเข้ามาสร้างความรำคาญให้กับเขาอย่างหนักหน่วงโดยไม่มีการไต่สวน

ในตอนนี้เมื่อกงหนิวเห็นภาพที่หลิงตู้ฉิงสามารถสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้ง่าย ๆ เขาเข้าใจได้ทันทีว่าในอดีตตอนที่หลิงตู้ฉิงยื่นข้อเสนอให้เขานั้นหลิงตู้ฉิงไม่ได้ล้อเล่น

เขาจึงเริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมา แม้ว่าเขาจะถูกบังคับให้ลากรถม้า แต่สายเลือดของเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาและเขายังได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากหลิงตู้ฉิง ในช่วงเวลาสั้น ๆ ระดับการบ่มเพาะของเขาได้เพิ่มขึ้นจากขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2 เป็นระดับ 4 ความก้าวหน้าแบบนี้เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ดังนั้นแม้ว่าจะต้องลากรถม้าเขาก็เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น