บทที่ 596 ดาวเคราะห์เมืองผีมืด

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 596 ดาวเคราะห์เมืองผีมืด
ประกายสว่างวาบในแววตาของหวังเป่าเล่อ ขณะมองชนพื้นเมืองที่กำลังหนีตายกันจ้าละหวั่นตัวสั่นงันงก กระนั้นในฉากหน้า สีหน้าของชายหนุ่มก็แสร้งเป็นทำตัวไม่ถูก เขาลอยลงไปยืนข้างรูปปั้น กวาดตามองฝูงชนที่กำลังหวาดกลัว

“มีผู้ใดในที่แห่งนี้พูดภาษาของอารยธรรมที่ไร้เทียมทานที่สุด อย่างสหพันธรัฐเป่าเล่อบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มกระแอม ก่อนพูดอย่างสงบนิ่งด้วยภาษาของสหพันธรัฐ

แต่มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นกลับมองหน้ากันไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดเลยแม้แต่คนเดียว นี่ทำให้ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาลแทน

คราวนี้เหล่ามนุษย์ต่างดาวผิวดำหันขวับไปมองชายชราในหมู่พวกเขาทันที ชายผู้นั้นมีผิวเหี่ยวย่นไปทั้งตัว สีหน้าขมขื่นโดดเด่นออกมาจากฝูงชนและยังตัวสั่นไม่หยุด เขาทำมือคารวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความเคารพ มือของผู้เฒ่าผู้นี้เล็กกว่าเท้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดีขอรับท่าน ข้าคือผู้เดียวในหมู่บ้านนี้ที่เข้าใจภาษาของอารยธรรมยิ่งใหญ่โบราณ โปรดถามคำถามที่ท่านต้องการคำตอบมาเถิด” ชายชราต่างดาวพูดด้วยสำเนียงประหลาดโดยใช้ภาษาถิ่นแทบทุกคำ แต่ยังโชคดีที่หวังเป่าเล่อฟังเข้าใจ

“นี่คือดาวอะไร ทำไมพวกเจ้าต้องกราบไหว้รูปปั้นนี้ เป็นรูปปั้นของใครหรือ” ชายหนุ่มถามคำถาม ก่อนมองหน้าผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านเพื่อรอคำตอบ

ผู้ถูกถามกระพริบตาปริบ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาประเมินหวังเป่าเล่อด้วยสายตา ก่อนจะพูดตอบเสียงแผ่ว

“ท่านขอรับ ขณะนี้พวกเราอยู่บนดาวเคราะห์วายุทมิฬ นี่คืออนุสาวรีย์ขององค์จักรพรรดิ อนุสาวรีย์นี้มีอยู่ในทุกหมู่บ้านของชาววายุทมิฬ เราต้องบูชาท่านทุกวันเป็นกิจวัตร หากไม่ทำแล้วละก็ อนุสาวรีย์นี้จะเริ่มอับแสงจนดับไปในที่สุด องค์จักรพรรดิวายุทมิฬจะคอยตรวจตราดูอยู่ประจำ หากอนุสาวรีย์ของหมู่บ้านใดไม่ส่องแสงเรืองรองอีกต่อไป ท่านจะตราหน้าว่าหมู่บ้านนั้นไม่เคารพท่าน และจะกินทุกคนในหมู่บ้านนั้นให้หมดสิ้นขอรับ”

เป็นเช่นนี้นี่เอง… หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเลิกสนใจเหล่ามนุษย์ต่างดาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เขาหันไปศึกษาอนุเสาวรีย์ตรงหน้าอย่างละเอียดแทน ในตอนที่เขาหันไปสนใจรูปปั้นนั้นเอง ชายชราต่างดาวที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อก่อนหน้า ก็ขยับนิ้วเท้าเล็กน้อยโดยฉับพลัน ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีโลหิตก็สาดออกจากดวงตาทั้งสองของรูปปั้น

แสงนั้นปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาที และเข้าห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนเป็นผนึกแช่แข็งร่างของชายหนุ่มเอาไว้อยู่กับที่ หวังเป่าเล่อชะงักค้างราวกับร่างกายและวิญญาณของเขาหยุดนิ่งลงในวินาทีนั้น!

ในตอนนั้นเอง ที่มนุษย์ต่างดาวที่ตื่นกลัวก่อนหน้า ทั้งชายหญิง เยาว์วัยและแก่ชรา เผยยิ้มน่าสยดสยองบนริมฝีปาก พวกเขาไม่ได้ตัวสั่นอีกต่อแล้ว แววตาเต็มไปด้วยประกายประหลาด ในตอนนั้นเองที่กลางหน้าผากของพวกเขาปริแยกออก หมอกสีดำที่พวยพุ่งออกจากรอยแตก เหมือนวิญญาณชนิดหนึ่งที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ วิญญาณหมอกทมิฬสีดำเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้โชคร้ายในทันที!

“ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อมาเหยียบที่นี่นานเป็นชาติแล้ว ช่างส้มหล่นเสียจริง!”

“ไอ้หมอนี่ชะตาขาดแล้ว มันโดนดวงตาของท่านจักรพรรดิแช่แข็งไว้เรียบร้อย!”

“ช่างกล้าดีนักที่มาเหยียบดาวเคราะห์วิญญาณของเรา พับผ่า ข้าชอบดวงตาของมันชะมัด ใครอย่าคิดจะชิงดวงตาของไอ้หมอนี่ไปจากข้าเชียว!” วิญญาณผีกรีดร้องด้วยเสียงแหลม ทุกตนต่างพากันกรูเข้ามาหาหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้น คนที่เร็วที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายชราที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่อเมื่อก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณที่แหวกหน้าผากของเขาออกมามีขนาดใหญ่ที่สุด และมีไอพลังงานเข้มข้นที่สุด ดวงวิญญาณดวงใหญ่ของชายชรามาถึงข้างกายหวังเป่าเล่อในฉับพลัน ปากใหญ่กว้างของมันอ้าออก หมายกลืนศีรษะของชายหนุ่มเข้าไปในคำเดียว!

ปากกว้างนั้นดูเหมือนจะเปิดออกได้อย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่มีวันฉีกขาด ขยายกว้างมากเสียงจนขนาดเท่ากะโหลกของหวังเป่าเล่อ แต่ยังไม่ทันได้กลืนเข้าไปให้สมใจอยาก เสียงที่เจือความรำคาญก็ดังมาเข้าหูเสียก่อน

“พวกเจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง” เสียงนั้นมาพร้อมกับมือขวาของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ง้างขึ้นมาจับคอของวิญญาณชายชรา ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างพากันตกใจจนต่อต้านไม่ทัน มือนั้นบิดเข้าจับคอของชายชราเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้ ดวงวิญญาณชราที่ถูกจับตาเบิกโพลง ดิ้นรนพยายามจะหนีแต่ก็ไม่เป็นผล อุ้งมือแข็งแรงเหมือนเหล็กของหวังเป่าเล่อ จองจำมันเอาไว้อยู่กับที่จนขยับไม่ได้

นี่ทำให้วิญญาณดวงอื่นๆ ที่รายล้อมหยุดชะงักทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยร่นไปด้วยความเร็วสูง กระนั้นก็ยังหนีเปลวไฟสีดำที่ชายหนุ่มปล่อยออกมาไม่ทัน

ลูกไฟเย็นสีดำที่มีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง แพร่กระจายออกเป็นวงกลมในทุกทิศทาง ดวงวิญญาณสีดำเหล่านั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง เปลวไฟล้างผลาญทุกหย่อมหญ้าของหมู่บ้าน ราวกับกำลังจัดการขจัดมลทินครั้งใหญ่ วิญญาณทุกดวง เว้นแต่วิญญาณชายชราที่หวังเป่าเล่อจับเอาไว้ พากันตัวสั่น ก่อนหายวับไปกับตาทันทีที่เปลวไฟสีดำพุ่งผ่าน

วิญญาณทุกดวงอันตรธานหายไปจากจักรวาลโดยสิ้นซาก!

เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นกับตา วิญญาณชายชราที่ดิ้นพราดๆ อยู่ก่อนหน้าก็ตัวสั่นในทันที มันหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ ร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้

ชายหนุ่มเจ้าของเปลวไฟสีดำไม่แม้แต่จะหันไปสนใจวิญญาณที่ล้างบางไปเมื่อก่อนหน้า และไม่หันไปมองวิญญาณชายชราที่ตนจับเอาไว้ในมือด้วยซ้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางแสงเรืองรองสีแดงที่โอบล้อมตัวเอาไว้ พิจารณารูปปั้นตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน

ความจริงแล้วในตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นหมู่บ้าน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นคือวิญญาณผี ที่เร้นกายอาศัยอยู่ในร่างของชนพื้นเมือง!

ร่างของชนพื้นเมืองที่เสียชีวิตลงนานหลายปีดีดักนั้นไม่เน่าเปื่อยผุพัง หากแต่กลายสภาพเป็นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มวิญญาณผีเอาไว้ แต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็อาจจับสังเกตไม่ได้ จนเป็นไปได้ว่าจะตกอยู่ในอันตราย แม้จะหลบเลี่ยงการโจมตีของผีเหล่านี้ไปได้ก็ตาม

นี่ก็เพราะแสงสีแดงที่รูปปั้นปล่อยออกมานั้น มีหน้าที่สะกดวิญญาณของเป้าหมายให้หนีไปไหนไม่ได้นั่นเอง แต่แน่นอนว่าใช้ไม่ได้ผลกับบุตรแห่งความมืดอย่างหวังเป่าเล่อ ที่ไม่ได้มีความกลัววิญญาณผีเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยตั้งแต่แรก อย่างเดียวที่เขาละสายตาไปไม่ได้คือวัสดุของรูปปั้นจักรพรรดิ เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าไปจับและลองเคาะดู ดวงตาของเขาวาววับขึ้นในทันที

ใช่จริงๆ เสียด้วย นี่มัน… มีชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวผสมอยู่! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นในทันที เขายังเคลือบแคลงอยู่เมื่อก่อนหน้า แต่เมื่อได้ยืนยันสมมติฐานของตนเองเรียบร้อยแล้วหลังจากได้ตรวจดู ชายหนุ่มก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

เขารู้ดีว่าชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวนั้นมีมูลค่ามหาศาลเพียงใด และรู้ดีว่าเขาต้องการชิ้นส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร แต่การจะหามันมาได้นั้นก็ยากเลือดตาแทบกระเด็น นอกเสียจากว่าจะทำลายดวงดาวให้สิ้นซากเสีย

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงทำการใดไม่ได้เลยในตอนที่ยังอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะโชคหล่นทับขนาดนี้ ขณะทำบททดสอบบนดวงดาวอันแสนประหลาดน่าขัน

ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นหมายหยิบรูปปั้นเข้ากระเป๋า ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ทวีความเข้มข้นขึ้น ราวกับกำลังต่อต้านการกระทำของเขา แต่ทันทีหวังเป่าเล่อเรียกเปลวไฟสีดำขึ้นมาในมือขวา แสงสีแดงนั้นก็สิ้นอิทธิฤทธิ์ ทำให้เขาเก็บรูปปั้นไปได้โดยไม่มีอุปสรรคอันใด

หลังจากนั้นเขาก็ก้มลงมองวิญญาณชายชราที่ตนเองจับเอาไว้ในมือ พร้อมเลียริมฝีปากและคลี่ยิ้ม

“เจ้ามีสองทางเลือก พาข้าไปที่หมู่บ้านอื่น หรือให้ข้าจับกินเป็นอาหาร”

วิญญาณชราตัวสั่นหงึก หากเป็นคนอื่นมาบอกว่าจะกินตนเข้าไปมันคงไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการล้างบางวิญญาณทุกตนในหมู่บ้านกับตาของตนเอง ประกอบกับสีหน้าของชายหนุ่มที่เลียฝีปากเมื่อครู่นี้ มันก็เข้าใจได้ในทันทีว่าปีศาจร้ายจากต่างดาวตนนี้จะกินมันเข้าไปจริงๆ

“ข้า… ข้ารู้จักหมู่บ้านมากมายอยู่!” วิญญาณชายชราตัวสั่น รีบพูดเสียงดังในทันที

“เช่นนั้นก็นำทางไปเสีย” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ก่อนปล่อยมือขวาด้วยท่าทีไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวิญญาณจะเผ่นหนีไป วิญญาณชราลังเลอยู่แว่บหนึ่ง แต่หลังจากนึกสีหน้าของหวังเป่าเล่อตอนเลียริมฝีปากได้ ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี มันเริ่มออกเดินทางนำหวังเป่าเล่อไปยังหมู่บ้านใกล้สุดที่มันรู้จัก

ด้วยเหตุนี้ หนึ่งมนุษย์หนึ่งผีจึงออกเดินทางไปด้วยกันในอากาศ เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ต่อไป สามชั่วโมงต่อมา หวังเป่าเล่อก็ได้รูปปั้นมาอีกหนึ่ง และล้างบางหมู่บ้านไปอีกแห่งเป็นที่เรียบร้อย วิญญาณชายชรายังคงกลัวตัวสั่น ในขณะที่แววตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขึ้นในทุกนาที

เขาไม่สนใจทำบททดสอบให้เสร็จอีกต่อไปแล้ว ดาวแห่งนี้เปรียบเสมือนหีบสมบัติที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ล้ำค่า ดาวดวงนี้คือสถานที่จริง หาใช่ภาพมายาไม่ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับเขาที่จะเพิ่มความมั่งคั่งให้ตนเอง

เมื่อเข้าใจดังนั้น หวังเป่าเล่อก็มองวิญญาณชราข้างกายด้วยสายตาตื่นเต้นเอ่อล้น

“เจ้าตีนโต ทำผลงานให้ดีๆ เล่า หากข้าพอใจ ข้าจะเมตตาไม่กินเจ้าเป็นอาหาร”