ตอนที่ 626 เกาะโจมเมฆา โดย ProjectZyphon

จ๊อกๆๆ

สุราสีฟ้ากระจ่างรสฉ่ำหวานไหลรินสู่จอกหยกขาวบริสุทธิ์ ก้นจอกปรากฏฟองอากาศสีแดงสดดั่งเปลวเพลิง

แต่ละฟองราวเมฆหมอกลอยล่องพลิ้วไสว กลายเป็นภาพโครงร่างงามตระการดุจภาพฝัน

นี่ก็คือยอดเมรัย ‘เมฆาจรัสเพลิง’

เป็นเหล้าบ่มชั้นยอดที่ชิงเลี่ยถนอมรักษา รวบรวมสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ร้อยสามสิบหกชนิดอัดลงใน ‘หยกวิญญาณน้ำแข็งหมอกอัคนี’

หลินสวินยกจอกเหล้า กระดกดื่มรวดเดียวหมด

ทันใดนั้นต่อมรับรสที่ปลายลิ้นราวระเบิดออก ได้รสหวานฉ่ำถึงขีดสุดและรสสัมผัสปะทุระอุดุจเพลิงผลาญ ปะทะปะปนพัลวันโหมกระหน่ำในโพรงปาก

เมื่อไหลสู่ลำคอ รสสัมผัสเพลิงน้ำแข็งถึงขีดสุดนั่นพลันกลายเป็นรสเข้มนุ่มนวล แผ่กระจายทั่วร่างกายในชั่วพริบตา

ชั่วขณะเดียวหลินสวินสั่นสะท้านทั่วสรรพางค์กาย รูขุมขนเปิดกว้างทั่วทั้งตัว สิ่งที่เข้าออกจากจมูกปากคือรสชาติล้ำลึกเหลือจะเอ่ย เสมือนช่วงชีวิตหลากรูปแบบ รสชาตินานัปการห้อมล้อมกรุ่นสัมผัส

“เหล้าดี!” หลินสวินอัศจรรย์ใจ

เหล้าชนิดนี้แฝงรสแห่งสัจวิถีที่บอกไม่ถูก ทันทีที่ดื่มลงไป ประหนึ่งทัศนาโลกโลกีย์หลากรูปแบบ ลิ้มรสแห่งโลกหล้า เลิศล้ำเกินบรรยาย

“หึๆ ความอัศจรรย์ของเหล้านี้คือสามารถขัดเกลาจิตใจขจัดภัยพาล เพียงดื่มจอกเดียว ขณะเลื่อนขั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายจากธาตุไฟเข้าแทรก”

ชิงเลี่ยกระหยิ่มยิ้มย่อง “ข้าเห็นว่าเจ้าเหมือนจะเพิ่งก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ ดื่มเหล้าชนิดนี้ เหมาะสมกับการทำให้จิตใจมั่นคงเป็นที่สุด”

“พี่ใหญ่ ข้าขออีกจอกได้หรือไม่” เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ ยิ้มประจบสอพลอยิ่ง

ชิงเลี่ยรีบเก็บน้ำเต้าสุรา แค่นเสียงกล่าว “รู้จักพอเถอะ เหล้านี่มีจำกัด มูลค่าจอกหนึ่งพอๆ กับโอสถวิญญาณชั้นยอดเม็ดหนึ่ง”

บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยอาหารเลิศรสหลายหลาก ล้วนเป็นเอกลักษณ์แห่งท้องทะเล รสชาติพิเศษและหาได้ยาก

ไม่ต้องพูดถึงจักรวรรดิจื่อเย่า แค่ในทะเลกลืนวิญญาณก็ไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถลิ้มรสได้

เท่านี้ก็รู้แล้วว่าชิงเลี่ยต้อนรับพวกหลินสวินด้วยใจจริงๆ

“พี่ใหญ่ ท่านเองก็จะไปตลาดนัดโจมเมฆาหรือ”

ขณะพูดคุย เมื่อรู้จุดหมายครานี้ของชิงเลี่ย หลินสวินอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง “ช่างบังเอิญจริงๆ”

“ทำไม เจ้าหนูเจ้าเองก็จะไปร่วมสนุกด้วยรึ” ชิงเลี่ยถาม

หลินสวินจึงบอกเล่าเรื่องราวที่ตนอยากประมูล ‘ยานขนส่งอวกาศ’ ออกมา

“เจ้าบอกว่าจะโดยสารยานนี้กลับจักรวรรดิจื่อเย่า? เพราะเหตุใดกัน” ชิงเลี่ยกล่าวประหลาดใจ

หลินสวินจนปัญญา ได้แต่เล่าเรื่องราวของตนใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ โดยคร่าวๆ รอบหนึ่ง

ใครเล่าจะคาดคิด เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดชิงเลี่ยถึงกับอ้าปากค้าง ถลึงตามองหลินสวินพลางกล่าว “ที่แท้เจ้าก็คือเด็กหนุ่มเทพมารเผ่ามนุษย์นั่น”

“เอ้อ…” หลินสวินชะงักงัน “พี่ใหญ่… ท่านเองก็เคยได้ยินมาก่อนหรือ”

ชิงเลี่ยแววตาแปลกประหลาด ท่าทางเหมือนเพิ่งได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้ง “ให้ตาย ตอนนี้ในหมู่ขุมอำนาจในน่านสมุทรทะเลใต้ ข่าวเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่ง ข้าไม่ใช่คนหูหนวกก็ต้องรู้เป็นธรรมดา”

พูดถึงตรงนี้เขายังคงยากจะเชื่ออยู่บ้าง “เพียงแต่ ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนทำงั้นรึ เจ้าหนูเจ้าดุดันเกินไปหน่อยกระมัง”

“ไม่เพียงแค่ดุดัน เจ้าหมอนีวิปริตชัดๆ!” เจ้าคางคกที่กำลังก้มหน้าก้มตาสวาปามกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง

“ข้าเองก็ถูกบีบบังคับ ข้าไม่ได้อยากหาเรื่องคนอื่น แต่พี่ใหญ่ท่านเองก็รู้ การช่วงชิงวาสนาเช่นนี้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่า”

หลินสวินจนปัญญาอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าตนเองบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

ชิงเลี่ยตะลึงงัน หลุดหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่ ชี้หลินสวินพลางกล่าว “เจ้าหนู เจ้านี่ได้รับประโยชน์แล้วยังมาตีหน้าใสซื่อ ข้าได้ยินมาว่าการเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะครานี้ ผู้ที่เก็บเกี่ยวได้มากที่สุดก็คือเจ้า!”

ต่อมา ชิงเลี่ยอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนลับอสูรมารอริยะ

นอกจากเรื่องส่วนตัวยิ่งส่วนหนึ่งแล้ว หลินสวินก็มิได้ปกปิดอะไร บอกเล่าทีละเรื่อง

“ถ้าเช่นนั้น ท่านย่าเทพสังหารเผ่าวาฬมังกรถูกวานรเฒ่าผู้อยู่ในระดับอริยะตนหนึ่งสังหารจริงดังคาด…”

ชิงเลี่ยเหมือนครุ่นคิดอะไรได้ เขาตื่นตะลึงอยู่ในใจ กี่ปีแล้วที่ทะเลกลืนวิญญาณไร้อริยะปรากฏกาย

แต่ในแดนลับอสูรมารอริยะนั่นกลับมีอริยะซึ่งยังมีลมหายใจปรากฏตัว ข่าวนี้ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว ทำให้ชิงเลี่ยไม่อาจไม่ให้ความสนใจ

เนิ่นนานเขาจึงพึมพำกับตนเอง “บางทีพิบัติซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน คงใกล้มาเยือนจริงๆ แล้ว…”

พิบัติมหามรรค!

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินสวินหนังตาพลันกระตุกอย่างอดไม่อยู่ นึกถึงทุกสิ่งที่จ้าวจิ่งเซวียนเคยบอก มากสุดร้อยปี มหาสงครามที่แท้จริง หรือมหากลียุคที่แท้จริงจะมาเยือน!

และทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจาก ‘พิบัติมหามรรค’!

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ชิงเลี่ยถอนหายใจพลางกล่าว “น่าเสียดาย ช่วงเวลาอันใกล้นี้ข้าไม่อาจจากไปไกล มิฉะนั้นคงสามารถส่งเจ้ากลับจักรวรรดิจื่อเย่าด้วยตนเอง”

เขาเปลี่ยนประเด็นทันที “แต่ว่า ข้าสามารถช่วยประมูลยานขนส่งอวกาศนั่นมาให้เจ้าได้”

หลินสวินเพิ่งคิดจะบอกปัดก็ได้ยินชิงเลี่ยเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมล้วนเป็นคนใหญ่คนโตจากแต่ละเผ่า เป็นราชันระดับสังสารวัฏเช่นข้าก็มีจำนวนไม่น้อย ตอนนี้ศัตรูที่เจ้ามีเรื่องด้วยมีมากเกินไป ไม่ควรปรากฏตัวเปิดเผยฐานะ ให้ข้าช่วยเจ้าจะปลอดภัยที่สุด”

หลินสวินในใจสั่นสะท้าน แค่ชุมนุมประมูลสมบัติงานหนึ่ง ถึงกับดึงดูดราชันระดับสังสารวัฏมากมายมาเข้าร่วม นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดายิ่ง

“เช่นนั้นต้องลำบากพี่ใหญ่แล้ว” หลินสวินสีหน้าจริงจัง

“เรื่องขี้ปะติ๋ว” ชิงเลี่ยพลันยิ้มปราศจากกังวล

หลังจากนั้นทั้งสองคุยถึง ‘โบราณสถานบรรพกาล’ ในคราแรกที่พบกัน

ชิงเลี่ยบอกกับหลินสวินว่า โบราณสถานแห่งนั้นก็อยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้ต่างจากแดนลับอสูรมารอริยะโดยสิ้นเชิง แต่หากกล่าวถึงความล่อแหลมอันตรายและความเร้นลับ ก็ไม่ด้อยไปกว่าแดนลับอสูรมารอริยะเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในโบราณสถานบรรพกาลนั่นมีวาสนายิ่งใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน!

น่าเสียดายทางเข้าไม่อาจเสาะหาพบ เหมือนกับจู่ๆ ก็หายไป ทำให้ชิงเลี่ยเองเสียดายพอควร

เขาเคยถูกขังอยู่ในชั้นแรกของโบราณสถานบรรพกาลนั่นนานกว่าพันปี จากที่เขาคาดเดา โบราณสถานแห่งนั้นยังมีชั้นที่สอง ชั้นที่สาม… ถึงขั้นมีสถานที่ซึ่งลี้ลับยิ่งกว่า!

“บางทีเมื่อพิบัติมหามรรคที่แท้จริงมาเยือน ความลับของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏบนโลกาพิภพอีกครั้ง!”

นี่คือการสันนิษฐานของชิงเลี่ย

กระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง จู่ๆ สายตาชิงเลี่ยก็มองไปยังเจ้าคางคกพลางกล่าว “น้องชาย รอเมื่อถึงตลาดนัดโจมเมฆา ให้น้องชายตัวน้อยเผ่าพันธุ์คางคกทองสามขาคนนี้เดินเล่นกับข้าสักรอบได้หรือไม่”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง!”

ไม่รอให้หลินสวินตอบรับ เจ้าคางคกรับคำอย่างร้อนรนทนไม่ไหว ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด

ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้สามารถดึงดูดราชันระดับสังสารวัฏจำนวนมาก จะต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมายมาเปิดประมูลเป็นแน่

สำหรับเจ้าคางคกซึ่งรักทรัพย์ยิ่งชีพแล้ว นี่คือสิ่งล่อใจอันยากต้านทานประการหนึ่งอย่างแท้จริง!

“ฮ่าๆๆ มีน้องชายตัวน้อยไปเป็นเพื่อน ชุมนุมประมูลสมบัติครานี้ไม่แน่ว่าอาจทำให้ข้าค้นพบสมบัติชั้นดีอยู่บ้าง!”

ตะพาบเขียวหัวเราะร่า เขารู้ชัดถึงความชำนาญของคางคกทองสามขา มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านการแยกแยะสรรพสมบัติล้ำค่าทั่วฟ้าดิน ความสามารถพิเศษโดดเด่นเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า!

“แหะๆ”

เจ้าคางคกกระหยิ่มยิ้มย่อง สายตาเหล่มองหลินสวินคล้ายกำลังบอกว่า ดูสิ ท่านนี้สิจึงจะเป็นผู้มีสายตาเฉียบคมอย่างแท้จริง ไหนเลยจะเหมือนเจ้าหนูอย่างเจ้าที่มีตาหามีแววไม่!

หลินสวินลอบกัดฟันกรอด เจ้าคางคกเรื้อนนี่นับวันยิ่งกวนบาทาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…

หลังผ่านไปหลายชั่วยาม

ห่างออกไป เกาะแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนผืนน้ำที่อยู่ไกลห่าง ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ เป็นดินแดนซึ่งทอดยาวติดต่อกันกว่าพันลี้

บนเกาะนั้นแสงสมบัติงามแปลกตาพุ่งทะยานสว่างไสว สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

นามเกาะ ‘โจมเมฆา’

ตลาดนัดโจมเมฆาตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้

จากคำพูดของชิงเลี่ย ตลาดนัดโจมเมฆาดำรงอยู่ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จุดประสงค์เพื่อให้สรรพชีวิตแต่ละเผ่าทำการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นี่ เป็นการเสริมสิ่งที่ขาดของกันและกัน

กระทั่งจวบจนปัจจุบัน เมื่อเผ่าใหญ่แต่ละเผ่าในทะเลกลืนวิญญาณจะทำกิจการค้า มักจะเลือกเปิดกิจการที่ตลาดนัดโจมเมฆาอยู่บ่อยครั้ง

พูดได้ว่าตลาดนัดโจมเมฆานี้เป็นเสมือนศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งของส่วนลึกในทะเลกลืนวิญญาณ ไหลเวียนหมุนวนสิ่งล้ำค่าอัศจรรย์ในใต้หล้า แต่ละวันไม่รู้มีสมบัติและสิ่งล้ำค่าเท่าไหร่ทำการค้าขาย ณ ที่นี้ เจริญรุ่งเรืองคึกคักถึงขีดสุด

ยามมาถึงน่านน้ำผืนนี้ ระหว่างทางเริ่มปรากฏเงาร่างต่างๆ มากมาย

มีทั้งขบวนใหญ่โต และมีผู้ฝึกปราณแต่ละเผ่าที่เกาะกลุ่มเล็กๆ มากมายแน่นขนัด เสียงกึกก้องดังจากทั่วทุกสารทิศ โอ่อ่ายิ่งใหญ่นัก

เป้าหมายของพวกเขาเหมือนกับกองกำลังเผ่าตะพาบเขียวขบวนนี้ ล้วนรีบเร่งมุ่งไปยังตลาดนัดโจมเมฆา คึกคักเป็นอย่างยิ่ง

“อวิ๋นหยาง เมื่อถึงตลาดนัดโจมเมฆา ให้เจ้ารับผิดชอบดูแลน้องชายข้าคนนี้ รอข้าเสร็จธุระค่อยมาหาพวกเจ้า หากกล้าละเลย ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่!”

ชิงเลี่ยเรียกชิงอวิ๋นหยางมาและกำชับ

ชิงอวิ๋นหยางสีหน้าแข็งทื่อ แต่ยังตกปากรับคำอย่างนอบน้อม ในใจยังคงอึดอัดอยู่บ้าง

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขา กลับกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานของผู้อาวุโส นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนจู่โจมหนัก ไม่อาจก้มหน้ายอมรับ

“ทำไม เจ้าไม่พอใจรึ”

ชิงเลี่ยสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที ราวกับมองความคิดของชิงอวิ๋นหยางออก

“ไม่กล้าขอรับ”

ชิงอวิ๋นหยางรีบร้อนส่ายศีรษะ

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนด้วย”

หลินสวินยิ้มประสานมือคารวะ

ชิงอวิ๋นหยางมุมปากกระตุกเล็กน้อย พยักหน้ารับอย่างยากลำบาก ในใจอัดอั้นถึงขีดสุด

เขาบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียวผู้องอาจผ่าเผย กลับกลายเป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง อีกทั้งคนที่ต้องดูแลยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นี่จะไม่ให้เขาอัดอั้นได้อย่างไร

แต่ก็อับจนหนทาง กลุ้มใจไปเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับ ใครใช้ให้เจ้าหมอนี่เป็นน้องร่วมสาบานของผู้อาวุโสพวกเขาล่ะ

หากคำนวณตามลำดับความอาวุโส อีกฝ่ายรุ่นราวคราวปู่เขาเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาก็เป็นแค่ ‘หลานชาย’ ไม่ใช่รึ

นึกถึงตรงนี้ชิงอวิ๋นหยางนอกจากหดหู่แล้ว ในใจรู้สึกหนาวสะท้านอย่างอดไม่อยู่ อึดอัดไปทั้งตัว

‘วางใจเถอะ พวกเราต่างฝ่ายต่างทำตามหน้าที่ ขอแค่เจ้าร่วมมือเป็นอย่างดี ข้าเองก็ไม่คิดสร้างความลำบากให้เจ้า’

ริมหูได้ยินเสียงสื่อจิตของหลินสวิน นี่ทำเอาชิงอวิ๋นหยางชะงัก ถัดจากนั้นก็แอบเป่าปากโล่งอก เช่นนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

แต่ชิงเลี่ยกลับดูไม่วางใจอยู่บ้าง หลังกองกำลังมาถึงเกาะโจมเมฆา ยังเรียกชิงอวิ๋นหยางไปอีกด้านเพื่อพูดคุยตามลำพัง

ไม่รู้สนทนาอะไรกัน สรุปคือเมื่อชิงอวิ๋นหยางเผชิญหน้าหลินสวินอีกครั้ง หลินสวินก็สังเกตเห็นในทันทีว่าหมอนี่เปลี่ยนไป!

สายตาที่มองมายังตนเคลือบความซับซ้อนยากอธิบาย มีหวาดกลัว แคลงใจ และความตระหนกที่บอกไม่ถูก

หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย พอจะเดาอะไรบางอย่างออกอยู่เลือนราง

………………