บทที่ 690 : สํารวจบ้านตระกูลเฉิน
“เจ้านายที่เคารพ.. ไม่ว่าท่านจะถามอะไร ถ้าเจสเตอร์รู้ เจสเตอร์จะตอบท่านให้หมดรวมถึง รหัสบัญชีธนาคารของเจสเตอร์ด้วย..”
“แวมไพร์มีบัญชีธนาคารด้วยงั้นรึ?!” หลิงหยุนถึงกับตกใจ
“มีสิเจ้านาย! ที่อเมริกามีพวกนักล่าแวมไพร์อยู่เต็มไปหมดการจะออกไปดูดเลือดมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆส่วนใหญ่พวกเราก็ต้องใช้เงินซื้อแทน….”
“เจ้านายที่เคารพ. เงินในบัญชีของเจสเตอร์มีไม่น้อยเลยนะ. เงินในบัญชีของเจสเตอร์สามารถซื้อทีมบาสเก็ตบอลอเมริกันได้ทั้งทีมเลยทีเดียว..” เจสเตอร์รีบพูดโอ้อวดให้หลิงหยุนฟังอย่างภูมิอกภูมิใจ..
และนี่นับว่าเป็นข่าวดีของหลิงหยุนไม่น้อย เขาหันไปมองพอลพร้อมกับถามยิ้มๆ “พอลที่รัก.. แล้วเจ้าล่ะมีเงินในบัญชีอยู่เท่าไหร่?”
ในเวลาที่พอลไม่มีเขี้ยวงอกอย่างแวมไพร์นั้น เขาก็ดูเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลามากคนหนึ่งเลยทีเดียว พอลยิ้มกว้างพร้อมกับตอบไปว่า
“มิสเตอร์หลิงที่เคารพ.. ฉันรวยกว่าเจสเตอร์อีก ถ้าเจ้านายต้องการฉันสามารถยก เงินของฉันให้ท่านได้”
หลิงหยุนเพิ่งจะนึกเสียใจที่ได้ลงมือสังหารจิมไปเสียแล้วเพราะนั่นหมายถึงการสูญเงินดอลล่าร์ไปจํานวนมาก!
แต่ถึงกระนั้น นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่หลิงหยุนต้องการจะรู้ในเวลานี้เขาจึงเริ่มกลับสู่คําถามสําคัญ
“ พวกเจ้าสองคนเคยบอกข้าว่าไม่มีวิธีที่จะกําจัดเลือดแวมไพร์ในตัวและทําให้สามารถกลับไปเป็นมนุษย์ดังเดิมได้ใช่หรือไม่?”
หลิงหยุนไม่เชื่อว่าในโลกใบนี้จะมีโรคที่เขารักษาไม่ได้ เขายังเชื่อมั่นว่าตนเองจะสามารถรักษาได้ทุกโรค นอกเสียจากคนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกใบนี้ก็ยังมีต้นไม้พิษ และแมลงมีพิษอยู่มากมาย แต่ถึงกระนั้นรอบๆของต้นไม้พิษหรือแมลงมีพิษ ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถเจริญเติบโตได้
หลายคนต่างก็รู้ว่าแวมไพร์เป็นผู้ที่มีชีวิตเป็นนิรันด์ แต่เขาก็ฆ่าแวมไพร์ตายมาแล้ว และหากมันตายไปแล้ว มันจะยังสามารถควบคุมบริวารได้อีกเช่นนั้น?
“เอ็ม..”
“เรื่องนี้”
พอลกับเจสเตอร์ต่างก็ทําสีหน้าลําบากลําบนขึ้นมาพร้อมกัน ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้
หลิงหยุนมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ จึงรู้ได้ทันทีว่าต้องมีหนทาง! สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก และร้องสั่งด้วยเสียงเย็นชา
“พูด!”
เจสเตอร์รีบตอบกลับไปทันที “เจ้านายที่เคารพ. ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สามารถกําจัดเลือดแวมไพร์ในตัวได้จริงๆ”
“หยุดไร้สาระแล้วบอกวิธีกําจัดเลือดแวมไพร์มาเดี๋ยวนี้!”
เจสเตอร์หวาดกลัวจนต้องระส่ําระลักตอบไปว่า “เจ้านายที่เคารพ.. มันมีอยู่สองวิธี!”
“วิธีแรก. รักษาด้วยเลือดของแวมไพร์ตัวที่ทําให้มนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นแวมไพร์…”
“วิธีที่สอง.. ท่านต้องฆ่าแวมไพร์ที่ทําให้มนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นแวมไพร์ และหากต้องการให้กลับเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ท่านต้องสังหารต้นตระกูลของแวมไพร์ที่ดูดเลือดแวมไพร์ตนนั้นครั้งแรกด้วย..”
หลิงหยุนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองใจ “หากง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?!”
เจสเตอร์ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “ง่ายงั้นเหรอ?! เจ้านายที่เคารพ. นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่ท่านคิดเลย…”
พอลรีบพูดเสริมขึ้นทันที “เจ้านายที่เคารพ.. วิธีแรกนั้นไม่ใช่เพียงแค่ต้องใช้เลือดของแวมไพร์เท่านั้น แต่ยังต้องมีส่วนผสมอื่นๆอีกมากมายด้วย ที่สําคัญ ส่วนผสมต่างๆนั้นก็จะมีเพียงพอบ้านของแวมไพร์แต่ละสายพันธุ์เท่านั้นที่รู้ และพวกมันไม่มีทางยอมบอกท่านอย่างแน่นอน..”
“ส่วนวิธีที่สองนั้น.. ท่านต้องสังหารต้นตระกูลของแวมไพร์ตนแรกที่ดูดเลือดของแวมไพร์ตนนั้น ซึ่งเหล่าต้นตระกูลของแวมไพร์แต่ละสายพันธุ์นั้น อย่างน้อยๆก็ต้องมีเป็นถึงองค์ชายหรืออาวุโสหรือไม่ก็ลอร์ดแบบนี้หรือที่ท่านเรียกว่าง่ายๆ?”
“นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยต่างหากเล่า! เพราะต่อให้ท่านฆ่าเฉินเจี้ยนสุ่ยได้ ท่านก็ไม่มีทางรู้ว่าต้นตระกูลของมันเป็นใคร? ไม่แน่นว่าตอนนี้ต้นตระกูลของมันอาจซ่อนตัวอยู่ในปราสาทเก่าๆที่ใหนสักแห่ง และอาจจะกําลังดื่มดํากับเลือดสดๆของหญิงสาวพรหมจรรย์อยู่ก็ได้!”
พอลยิ้มอย่างเสียใจ “เจ้านายที่เคารพ.. ท่านก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่พวกเราสองคนพู ดมานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้เราสองคนผิดตรงใหนที่บอกกับท่านว่าไม่มีหนทางรักษา…”
หลังจากที่ได้ฟังคําบอกเล่าของแวมไพร์ทั้งสองตน หลิงหยุนก็ถึงกับทิ้งตัวลงบนพนักพิงและนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากอยู่นาน
วิธีที่สองนั้นดูเหมือนจะค่อนข้างยากมาก และแทบเป็นไปไม่ได้จริงๆ ส่วนวิธีแรกนั้น หลิงหยุนเองก็ยังต้องการจะลองดู อย่างน้อยก็อยู่ในขอบข่ายความรู้เรื่องการปรุงโอสถที่หลิงหยุนมี..
วิชาเก้าเข็มปลุกชีพนั้นหากไม่มีพลังชีวิตก็ใช้ไม่ได้ผลนัก วิชาพลังลับหยินหยางก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล วิชาหยางพิสุทธิ์ก็แทบไม่ต้องพูดถึง แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับซับซ้อนเวลานี้มีเพียงต้ องใช้เลือดของเฉินเจี้ยนสุ่ยมาปรุงเป็นยารักษาเท่านั้น นอกจากวิธีนี้แล้วเขาก็ยังมองไม่เห็นวิธีอื่นอีก..
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว และก็ต้องขอบใจพวกเจ้ามาก ตอนนี้พวกเจ้าหาที่จอดรถและรอข้าอยู่ด้านนอกข้าจะเข้าไปสํารวจดูบ้านตระกูลเฉินอีกครั้ง!”
พูดจบหลิงหยุนก็เปิดประตูลงจากรถ และใช้มังกรพรางร่างในการเคลื่อนที่ เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของหลิงหยุนก็พุ่งออกไปไกลถึงร้อยเมตร และหายวับไปจากสายตาของพอลกับเจสเตอร์อย่างรวดเร็ว..
ตระกูลเฉินแห่งปักกิ่ง
คฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้นกว้างขวางใหญ่โตยิ่งนัก เรียกได้ว่าใหญ่โตกว่าคฤหาสน์ของตระกูลเฉิงในจิงเกือบห้าเท่า
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในชุดผ้าแพรไหมดําจัดการเปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสูงสุด และเริ่มทําการสํารวจบริเวณภายในรัศมีแปดสิบเมตร เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจึงกระโดดเข้าไปที่สวนด้านในทันที
พื้นส่วนหน้าของคฤหาสน์นั้น แน่นอนว่าตระกูลเฉินใช้สําหรับเป็นที่รับรองแขกเหรื่อซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอความลับ หรือสิ่งผิดปกติอะไร..
ส่วนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้น ถูกออกแบบให้ซ่อนอยู่หลังต้นไม้สีเขียวที่ปลูกเรียงรายอยู่จึงไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ภายในสวนด้านหลังนั้นยังมีบ้านอยู่อีกหลายหลังและแต่ละหลังก็อยู่ห่างกันราวห้าร้อยเมตรได้
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรรู้สํารวจหากล้องวงจรปิด เพื่อเดินหลบเสียงไปที่สวนด้านหลังของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน
ในเวลาตีสองเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างก็พากันหลับใหล และด้วยความสามารถของหลิงหยุนเวลานี้ หากไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไป ก็ยากที่จะค้นพบร่องรอยของหลิงหยุนได้
ทันทีที่เข้าไปถึงสวนด้านหลังได้ หลิงหยุนก็รีบหาที่ซ่อนตัวทันที และใช้จิตหยั่งรู้ขั้นสุดสํารวจดูการเคลื่อนไหวของผู้คนภายในบ้าน
“เจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว!” สีหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความตกใจ และได้แต่พึมพําอย่างโกรธแค้นอยู่ในใจ
เพราะเขาไม่เพียงพบแวมไพร์ชาวตะวันตกที่จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาสีฟ้าเช่นเดียวกับพอลและเจสเตอร์อยู่ภายในบ้าน แต่ยังเจอคนอื่นๆอีก!
พวกมันคือนินจาชาวญี่ปุ่น
บ้านอีกเจ็ดแปดหลังที่อยู่ในสวนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้น แต่ละหลังมีนินจาอยู่หลายสิบคน และมีทั้งที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 และขั้นเซียงเทียน-1!
หลิงหยุนนับดูจึงพบว่าภายในคฤหาสน์ตระกูลเฉินนี้ มีนินจาอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบคน และมีสิบสองคนที่เขาไม่สามารถรู้ขั้นกําลังภายในของมันได้
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย!”
ดูเหมือนเกาเทียนหลงจะพูดได้ถูกต้อง ตระกูลเฉินใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายอย่างที่คิด พวกมันอหังการเหลือเกิน!
“การทําลายล้างตระกูลเฉิน คงไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะสามารถจัดการได้” หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ และกําลังคิดหาหนทางตามหาคนชั่วเฉินเจียนปุย
ภายในสวนหลังบ้านเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดออกมาจากบ้านเลยแม้แต่คนเดียว เหล่านินจาต่างก็พากันนั่งขัดสมาธิพักผ่อนอยู่บนเตียง ส่วนเหล่าแวมไพร์ก็อยู่ที่บ้านทางฝั่งตะวันตกแต่ละคนสวมชุดทักซิโด้ใบหน้าหล่อเหลาของพวกมันต่างก็ซีดขาว และกําลังดื่มเลือดกันอย่างมีความสุข
หลิงหยุนรู้ดีว่านั่นไม่ใช้ไวน์แดง แต่มันคือเลือดสดๆ!
“โอ้.. เลือดของเหล่ามนุษย์ช่างหอมหวานจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ใช่เลือดของสาวบริสุทธิ์”
“ถ้ามาประเทศจีนกับมิสเตอร์เฉินแล้วมีเลือดสดๆให้ดื่มมากมายแบบนี้ ฉันก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว!”
แวมไพร์สองตนดื่มเลือดไปพร้อมกับพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“ฉันเกลียดพวกคนญี่ปุ่นนั่นจริงๆ”
“ฉันด้วย…”
“นี่จอยซ์. นายรู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนก่อนนั้น มิสเตอร์เฉินสามารถพัฒนาเข้าสู่ระดับไวส์เคานต์ได้แล้ว และเขาก็แข็งแกร่งขึ้นได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ…”
“ท่านไวส์เคานต์หลงใหลกับการฝึกฝนอย่างมาก เขาดื่มเลือดหญิงสาวบริสุทธิ์อายุ 15-16 ปีทุกวัน ก็ต้องก้าวหน้าได้รวดเร็วอยู่แล้ว”
หลิงหยุนตั้งใจฟังอย่างเหล่าแวมไพร์คุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่กลับไม่ได้ยินข้อมูลอะไรที่จะเป็นประโยชน์ได้เลย
ทั่วทั้งสวนด้านหลัง หลิงหยุนยังไม่พบคนตระกูลเฉินเลยแม้แต่คนเดียว ไม่พบแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยซ้ําไป แต่เขากลับพบยอดฝีมือมากมายซ่อนตัวอยู่ภายในบ้าน
“ตระกูลเฉินช่างเหิมเกริมนัก! พวกมันกล้าสมคบคิดกับกองกําลังต่างชาติ และยอมให้พวกมันอาศัยอยู่ภายในบ้านโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีผู้คนมาพบเห็นเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจ และแอบเดินออกไปจากสวนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเฉินอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของสวนด้านหน้าแทน..
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะก้าวเข้าไปถึงที่สวนด้านหน้าดีเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังออกมาจากบ้านหลังหนึ่งจึงรีบใช้จิตหยั่งรู้สารวจดูด้านในทันที หลิงหยุนเห็นชายหนุ่มร่างผอมที่มีใบหน้าชั่วร้ายคนหนึ่ง ริมฝีปากแสยะออกเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วช้าและดุร้ายกําลังนอนอยู่บนเรือนร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง
เด็กสาวอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีที่อยู่ด้านล่างดิ้นรนพร้อมกับกรีดร้องออกมาจนใบหน้าแดง … หน้าอกของเด็กสาวนั้นยังไม่โตเต็มที่ด้วยซ้ําเสื้อผ้าของเธอดูเหมือนจะถูกชายหนุ่มฉีกขาดและตามเนื้อตัวก็มีรอยช้ําไปหมดจนไม่รู้ว่าเสียงที่กรีดร้องออกมานั้นเป็นเสียงร้องจากการมีความสุขหรือเจ็บปวดกันแน่
หลิงหยุนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น.. เขาแทบอยากชัดตะปูใส่ชายหนุ่มชั่วช้าผู้นั้นแต่เพราะเขาไม่ต้องการที่จะทําให้ศัตรูไหวตัวจึงได้แต่ถอนจิตหยั่งรู้ออกมา
“เชอะ! ฉัน-เฉินเงินไม่เก่งตรงใหน? ทําไมเฉินเจี้ยนสุ่ยถึงไม่ยอมทําให้ฉันเป็นแวมไพร์”
เฉินเซินลุกขึ้นจากเตียงอย่างหงุดหงิด และเดินไปหยิบบุหรี่จากโต๊ะขึ้นมาสูบพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ