จิ้นหยวนมองเธอนิ่งราวอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ สุดท้ายได้แต่มองเธอด้วยความสุภาพแวบหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกับพ่อบ้านเฉินแทน “ดูแลท่านให้ดี ขาดเหลืออะไรก็จัดการได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตฉัน” 

 

 

“ครับ” 

 

 

จิ้นหยวนมองใบหน้าของคุณนายเฉียวที่ละม้ายคล้ายเฉียวซือมู่แล้วสูดหายใจลึกๆ จากนั้นหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไป 

 

 

นับตั้งแต่วันที่เฉียวซือมู่หนีไปจากเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังห้องที่เขาและเธอเคยใช้ชีวิตร่วมกัน เขาเอนกายนอนลงบนเตียง ถือตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลเอาไว้ในมือ มันเป็นตุ๊กตาที่เฉียวซือมู่ชอบกอดเอาไว้ในอกยามนอนหลับ เขายังเคยหึงเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้มานึกๆ ดูแล้วก็ให้ปวดใจเหลือเกิน 

 

 

เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วเอ่ยกับเจ้าตุ๊กตาหมี “ตอนนี้ก็เหลือแค่แกกับฉันแล้ว” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำดังสะท้อนอยู่ในห้อง ฟังดูว้าเหว่เหลือเกิน… 

 

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันที่เฉียวซือมู่และฉีหย่วนเหิงต้องไปจากคฤหาสน์มาร์กีซแล้ว ทั้งสองปรึกษาและตกลงกันว่าจะย้ายไปอยู่ในเขตเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากมิลานมากนัก มิลานเป็นนครแห่งแฟชั่นที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก และยังมีเขตปริมณฑลอีกถึงแปดเขต ถ้าอยู่อย่างเงียบๆ จิ้นหยวนคงคิดไม่ถึงว่าเธอแอบอยู่ใต้จมูกเขาใกล้แค่นี้เอง 

 

 

เธอวาดฝันเอาไว้อย่างสวยงาม เธอจะต้องหาที่อยู่ใหม่ จากนั้นหางานใหม่ รอให้ทุกอย่างมั่นคงแล้ว ถึงตอนนั้นจิ้นหยวนคงลืมเธอได้แล้ว เธอจะลองคุยกับจิ้นหยวนดู บางทีเขาอาจจะยอมให้เธอรับคุณแม่กลับมา ถึงเวลานั้นเธอกับคุณแม่ก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว 

 

 

เธอตัดสินใจแล้ว และปฏิเสธข้อเสนอของฉีหย่วนเหิงที่จะช่วยหางานให้เธอ เธอมาถึงห้องพักที่เธอจองเอาไว้ในอินเทอร์เน็ต ซื้อของใช้จำเป็นทุกอย่างครบครัน ถือเป็นการเริ่มต้นตั้งรกรากที่นี่อย่างเป็นทางการ 

 

 

หลังจากจมอยู่กับความเสียใจมานาน ตอนนี้เธอค่อยๆ เข้มแข็งขึ้นแล้ว และวางแผนอนาคตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ฉีหย่วนเหิงเสนอตัวช่วยเธอทุกทาง แต่ก็ถูกเธอปฏิเสธจนหมด เขาจึงได้แต่ช่วยเธอจัดการเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเธอให้เรียบร้อย หางานที่เหมาะสมให้เธอ จากนั้นกลับไปทำงานที่บริษัทของตัวเองทั้งๆ ที่ยังอาลัยอาวรณ์เธออยู่ เขาเบนเข็มธุรกิจมาที่นี่นานแล้ว ส่วนเรื่องที่จิ้นหยวนตามล่าตัวเขาอยู่นั้น เขาเองก็เตรียมแผนรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เฉียวซือมู่จึงไม่ค่อยเป็นห่วงเขาสักเท่าไหร่ 

 

 

เฉียวซือมู่โล่งอกที่เห็นฉีหย่วนเหิงยอมกลับไปเสียที เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้เธอไม่สามารถเปิดใจยอมรับเขา เธอเห็นเขาเป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น และไม่สามารถให้ความสนิทสนมกับเขามากไปกว่านี้ 

 

 

ความจริงเธอรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอไม่กล้าคิดไปไกลกว่านี้ ได้แต่เก็บซ่อนความคิดพวกนี้เอาไว้ส่วนลึกสุดในใจ 

 

 

เธอทำความสะอาดห้องพักจนสะอาดเอี่ยมอ่องอย่างรวดเร็ว จากนั้นจัดวางของใช้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่นานข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอได้รับโอกาสจากบริษัทสองแห่งที่เชิญให้เธอเข้าไปสัมภาษณ์งาน 

 

 

มิลานเป็นนครแห่งแฟชั่นและความทันสมัย ความเจริญรุ่งเรืองเปิดโอกาสให้เกิดอาชีพการงานต่างๆ มากมายไปในตัวด้วย งานถนัดของเธอคืองานที่เกี่ยวกับข่าวสาร ที่นี่นอกจากธุรกิจด้านแฟชั่นแล้ว อาชีพนักข่าวยังเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมรองลงมาอีกด้วย มีนักข่าวสายแฟชั่นมาทำข่าวที่นี่ไม่เว้นแต่ละวัน และเธอกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น 

 

 

เธอรีบตอบกลับทันที และตอบตกลงเข้าไปสัมภาษณ์งานช่วงเช้าและช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ เธอหนีออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ตอนนี้เธอใช้บัตรเครดิตไม่ได้ ส่วนเงินสดก็เหลือน้อยเต็มที หากไม่ได้ฉีหย่วนเหิงช่วยเหลือ ป่านนี้เธอคงไม่มีแม้แต่เงินเช่าบ้านพัก ในเมื่อเธอไม่อยากพึ่งพาเขาตลอดเวลา เธอจึงจำเป็นต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองให้ได้ 

 

 

หลังจากเธอจัดแจงทุกอย่างในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงพบว่าในห้องครัวไม่มีของกินอะไรเลย และซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ต้องใช้เวลาขับรถถึงครึ่งชั่วโมง สุดท้ายเธอก็ต้องลงไปกินสปาเก็ตตี้รสชาติแย่แต่ราคาแพงหูฉี่ในร้านอาหารที่อยู่ข้างล่างอย่างไม่มีทางเลือก 

 

 

เธอรู้สึกเสียดายเงินค่าสปาเก็ตตี้มาก พรุ่งนี้เธอจะต้องไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาตุนเอาไว้และทำอาหารกินเอง มิเช่นนั้น กว่าเธอจะได้รับเงินเดือนงวดแรก เธอคงได้อดตายเสียก่อน 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตัดสินใจซื้อขนมปังกินระหว่างทาง เธอเสียเวลาไปไม่น้อยกับการงมหาเส้นทาง โชคดีที่คนส่วนใหญ่ของที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ มิเช่นนั้น ป่านนี้เธอคงยังหาทางไปไม่เจอ 

 

 

แต่ความโชคดีของเธอมลายหายไปทันทีที่เข้าไปสัมภาษณ์งาน หลังจากผู้สัมภาษณ์รับรู้ว่าเธอพูดภาษาอิตาลีไม่ได้ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตามตรง แต่เธอก็เห็นคำว่าไม่พอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้สัมภาษณ์ 

 

 

หัวใจเธอเย็นวาบ เพราะผู้สัมภาษณ์ถามคำถามเธอเพียงไม่กี่คำถาม จากนั้นเอ่ยกับเธอว่า “เราจะแจ้งผลการสัมภาษณ์ให้คุณทราบในภายหลัง” 

 

 

เธอคอตกเล็กน้อย คนที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้สัมภาษณ์งานอย่างเธอย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนั้นเป็นอย่างดี เธอดูเวลาแล้วยังพอมีเวลาเหลือจึงออกไปเดินเล่นก่อน จากนั้นเข้าไปรับประทานอาหารเที่ยงในร้านอาหารเล็กๆ เสร็จแล้วค่อยไปสัมภาษณ์งานอีกที่ สถานการณ์ครั้งนี้ดีกว่าครั้งแรกเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ยินคำว่าสัมภาษณ์งานผ่าน พวกเขายังคงแจ้งให้เธอกลับไปรอข่าวเหมือนเดิม 

 

 

เธอรู้สึกผิดหวังมาก ยามแรกเธอคิดว่าใบปริญญาและประสบการณ์การทำงานมากมายจะช่วยให้เธอหางานได้ไม่ยากนัก แต่ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมาตกม้าตายเรื่องภาษา  

 

 

แต่เธอไม่เคยเรียนภาษาอิตาลีมาก่อน ให้เรียนตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว 

 

 

เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นกังวลอยู่ทั้งคืน 

 

 

แต่เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดี จู่ๆ เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัทที่สองอย่างกะทันหัน ทางบริษัทแจ้งว่าเธอผ่านการสัมภาษณ์งานแล้ว และเธอสามารถเริ่มงานได้ตลอดเวลาตามที่เธอสะดวก 

 

 

เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองคงหมดหวังแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นเรื่องดี มันทำให้เธอรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ และเมื่อได้ยินคำว่า “สามารถเริ่มงานได้ตลอดเวลา” เธอยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เธอวางสายแล้ววิ่งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ในห้องพักหลายตลบ เธอนั่งรถออกไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นลงมือทำอาหารรับประทานเอง 

 

 

ทันใดนั้น เสียงกริ่งประตูดังขึ้น เธอชะงักเล็กน้อยแล้วเดินไปส่องตาแมวตรงประตู เมื่อเห็นว่า       ฉีหย่วนเหิงกำลังยืนรออยู่ตรงหน้าประตู ในมือยังถือของพะรุงพะรัง จึงรีบเปิดประตูต้อนรับเขา “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญข้างในก่อนสิคะ” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังอารมณ์ดีมาก เขาคลี่ยิ้มพลางเดินเข้าไปข้างใน จากนั้นชูของในมือขึ้น “ดูซิว่านี่อะไร?” 

 

 

เธอมองตามจึงเห็นว่าเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารที่ใกล้เคียงกับที่เธอเพิ่งซื้อกลับมา แต่จำนวนที่เขาซื้อมานั้นเยอะกว่าที่เธอซื้อเยอะมาก 

 

 

ดูเหมือนว่าเขาและเธอจะมีความคิดตรงกัน เธอจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันกำลังทำอาหารอยู่? จมูกไวจังเลยนะคะ” 

 

 

ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบ พลันได้กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยออกมาจากทางห้องครัว “ดูเหมือนโชคของผมไม่เลวเลยนะ มีลาภปากพอดีเลย” 

 

 

เขามาอยู่ต่างประเทศนานมาก อาหารต่างชาติแสนอร่อยทั้งหลายเขากินจนเบื่อแล้ว พอได้กลิ่นอาหารจีนแสนคุ้นเคยจึงน้ำลายสอขึ้นมาทันที 

 

 

 เฉียวซือมู่ไม่เคยเห็นท่าทางตะกละของเขามาก่อน จึงแอบยิ้มในใจ เธอกลับเข้าครัวเพื่อทำอาหารเพิ่ม ตอนแรกเธอทำเพียงแค่ซี่โครงหมูอบมันฝรั่งกับผัดผักสำหรับตัวเองเท่านั้น แต่ตอนนี้มีฉีหย่วนเหิงเพิ่มขึ้นมาอีกคน เธอคิดๆ แล้วจึงตัดสินใจทำหมูผัดพริกหยวกและซุปไข่น้ำมะเขือเทศเพิ่ม ในที่สุด อาหารสามอย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะพร้อมกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ