กว่ามิเอลจะตื่นขึ้นมาก็หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว

เธอลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด หน้าต่างทุกบานถูกปิดเอาไว้ไม่มีแสงเล็ดลอดผ่านเข้ามาแม้แต่น้อย เธอจ้องมองความมืดอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง

‘รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นนะ…’

เธอจำอะไรไม่ได้เลยราวกับความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นได้หยุดไป เธอจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากที่เธอซื้อดอกยี่โถแล้วก็บอกให้อาเรียรู้ถึงเรื่องนั้นอย่างลับๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเธอนึกอะไรไม่ออกเลยราวกับมันถูกลบออกไป

 เธอลองรื้อความจำในอดีตอยู่สักพักและพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่แล้วก็ได้ยินเสียงโซ่ดังอยู่นอกประตู

เป็นเสียงที่ดังเหมือนกับมีใครกำลังเปิดประตูที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…!

มิเอลที่ยังจำเรื่องอะไรไม่ได้และยังไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงจ้องมองไปยังทิศทางที่เสียงดังขึ้นพร้อมกับตัวสั่นไปทั่วร่างเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

และ

“ตื่นอยู่แล้วสินะ มัดเธอซะ! ”

ผ่าง ทหารจำนวนมากเปิดประตูเข้ามาและเริ่มมัดร่างกายอันบอบบางของมิเอล

“นี่ นี่มันอะไรกันน่ะ! ”

มิเอลสับสนและตะโกนออกมาแต่ไม่มีใครตอบคำถามของเธอเลย กลับบอกว่าเอะอะเสียงดังและมีแต่จะเพิ่มแรงที่มือมากขึ้นไปเท่านั้น

“ปล่อย บอกให้ปล่อยไง! ”

มิเอลทำอะไรไม่ถูก เธอลืมว่าตัวเองถูกลดชนชั้นลงแล้วและพูดไม่สุภาพพร้อมทั้งขัดขืน นี่ทำให้ทหารขมวดคิ้วออกมาและตะคอกใส่มิเอล

“หนวกหูชะมัด! เป็นนักโทษยังกล้าดีอีกหรือ!“

ถึงจะเป็นแค่นักโทษ แต่ฉันก็ออกมาจากคุกตามขั้นตอนที่ถูกต้องนะ ทำไมถึงได้ทำตัวหยาบคายขนาดนี้กัน!

แม้ว่าความทรงจำของวันจะหายไปแต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น มิเอลจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเธอถึงต้องถูกมัดเช่นนี้

“พี่ เรียกพี่อาเรียให้ฉัน! ฉันบอกว่าให้เรียกพี่อาเรียมาไง! ”

ฉะนั้นแล้วเธอจึงอยากเรียกอาเรียให้มาหาเพื่อบอกให้รู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมต่อตัวเธอแบบนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นมีเพียงการยิ้มเย้ยหยันและสายตาเยือกเย็นเท่านั้น

“ยังมีหน้าเรียกหาคุณอาเรียอีกหรือ! ”

“…มะ หมายถึงอะไรกัน”

“ไม่สำเหนียกเลยสินะ”

“หน้าด้านหน้าทนเสียจริง”

แม้แต่ทหารที่มัดตัวมิเอลอย่างเงียบๆ ก็ยังร่วมกับดูถูกดูแคลนมิเอล ท่าทางพวกเขาจะสะสมความรู้สึกแย่ๆ ที่มีต่อมิเอลซึ่งตั้งใจจะฆ่าอาเรียที่คอยเมตตามิเอลไม่รู้ตั้งกี่หน

“ทำเรื่องแบบนั้นไว้แล้วยังจะเรียกหาคุณอาเรียอีกอย่างงั้นหรือ”

“ถึงจะเคยเห็นนักโทษมานักต่อนักแล้วก็เถอะ แต่เพิ่งจะเคยเห็นคนที่โง่เง่าได้ขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะนี่”

“ลุกขึ้นมา”

ทำเรื่องแบบนั้นงั้นหรือ

ในขณะที่ร่างกายลุกขึ้นด้วยแรงบังคับ ในหัวของมิเอลก็มีฉากหนึ่งของความทรงจำผุดขึ้นมา

เป็นตอนที่เธอจัดเตรียมเวลาน้ำชาและได้ใส่อะไรบางอย่างลงในแก้วชา หลังจากนั้นอาเรียนั่งอยู่ข้างหน้าแก้วชาที่ใส่ยาพิษ

“…อย่า อย่าบอกนะว่าพี่อาเรียตายแล้ว เป็นอย่างนั้นรึเปล่า”

หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องมาทำเช่นนี้กับตนเล่า! หลังจากที่มิเอลถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ไม่รู้ว่าพวกทหารที่เข้ามาในห้องของมิเอลตีความเช่นไร พวกเขาถึงได้อึ้งหมดคำจะพูด

“เสียใจด้วยนะ แต่คุณอาเรียยังปลอดภัยดีต่างไปจากสิ่งที่เธอหวังไว้”

มิเอลทำหน้าไม่เข้าใจในคำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ในเมื่อเขาบอกว่าพี่อาเรียปลอดภัยดีแล้วทำไมกัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึง…ทำไมถึงต้องมัดฉันด้วยล่ะ…ถ้าพี่อาเรียยังปลอดภัยดีอยู่แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ! ”

“…เหอะ”

เหล่าทหารพูดไม่ออกอีกครั้งและอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมิเอลแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา นั่นเป็นเพราะพวกเขาตีความจากคำถามของมิเอลว่าเธอกำลังสื่อว่า ‘มันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาแต่คนที่ตายไม่ใช่พี่อาเรียเสียหน่อยทำไมถึงต้องมัดฉันด้วยเล่า’ นั่นเอง

ทั้งๆ ที่พี่ชายของตัวเองคือคนที่ต้องมารับเคราะห์นั้นไปแท้ๆ

“อย่างที่คิดเลยนะ ช่างสมกับเป็นคำถามของคนที่ผลักพ่อตัวเองตกบันไดจริงๆ ”

“…หมายความว่าอย่างไรน่ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องพ่อออกมากันเล่า”

“หยุดคุยกันแล้วก็นำตัวไปได้แล้ว และอย่าสร้างความวุ่นวายขึ้นในคฤหาสน์อีก”

แม้จะถามออกไปเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือสัมผัสมืออันหยาบกระด้าง

หลังจากรัดเชือกที่มัดตัวมิเอลอย่างสุดแรงแล้ว ร่างกายอันบอบบางของมิเอลก็ถูกลากออกไปอย่างง่ายดาย

“กรี๊ด! ”

เธอเกือบจะล้มคว่ำลงเพราะแรงกระชากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดาะลิ้นไม่พอใจและช่วยจับตัวเธอขึ้นมาเพื่อไม่ให้ล้ม

“รีบเดินซะ และอย่าสร้างปัญหาให้กับคุณอาเรียอีก”

“ฉัน ฉันทำอะไรเล่า ฉันถามว่าฉันทำอะไร…! ”

ท่าทางไร้ยางอายไม่มีที่สิ้นสุดนั้นทำให้เหล่าทหารปฏิบัติต่อเธอด้วยความหยาบคายยิ่งขึ้น และนั่นทำให้มิเอลหวาดกลัวขึ้นมา จนเสียงต่อต้านของมิเอลค่อยๆ เบาลง

“ให้ฉันได้พบกับพี่อาเรียเถอะ…! ได้โปรด…ขอร้องละ…! ”

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่หยุดร้องขอให้ได้พบกับอาเรีย นั่นเป็นเพราะเธอคิดว่าหากอาเรียออกตัวช่วยเธอเหมือนกับตอนที่เธอถูกแอนนี่แกล้งแล้วละก็ จะต้องแก้ไขสถานการณ์แปลกๆ นี้ได้นั่นเอง

“ถึงเธอจะไม่ขอร้องแบบนั้น คุณอาเรียก็ออกมาพบเธออยู่ดี”

“…ช่างมีเมตตาอะไรมากมายอย่างนี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังออกมาพบกับคนแบบนี้ได้อีก”

อาเรียกำลังรอมิเอลอยู่ที่ห้องโถงตามที่ทหารกล่าว แถมยังมีคารินอยู่ด้วยโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนเลย

และข้างๆ คารินก็มีผู้ชายที่เคยเห็นหน้าอยู่สองสามครั้งอยู่ด้วย

และเขาก็คือโคลอีพ่อแท้ๆ ของอาเรียนั่นเอง

อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งจะได้ข่าวในภายหลัง คารินที่อยู่ในอ้อมแขนของโคลอีจึงถลึงตาจ้องมิเอล

“พี่ พี่อาเรีย! ท่านแม่…! ”

หลังจากที่มิเอลซึ่งถูกลากออกไปได้หันไปเรียกอาเรียและคาริน คารินก็กลั้นหายใจราวกับไม่อยากจะเชื่อและตอบออกมาว่า

“แม่งั้นหรือ! ยังมีหน้ามาเรียกฉันว่าแม่อีกรึไง! ทำไมถึงได้…!”

เสียงที่พรั่งพรูออกมาทำให้มิเอลสะดุ้งจนห่อไหล่เล็กลง

แม้ว่าตอนนี้คารินจะไม่มีศักดิ์เป็นแม่แล้วก็ตาม แต่จำเป็นต้องแสดงท่าทางหยาบคายขนาดนั้นเชียวหรือ และโคลอีที่โอบไหล่คารินอยู่ก็ถลึงตาขาวแสดงความเกลียดชังมาที่มิเอล

และข้างๆ พวกเขามีเพียงอาเรียคนเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าสงสารมิเอลอยู่ มิเอลจึงเรียกชื่ออาเรียขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่ พี่คะ! พี่อาเรีย! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลยค่ะ! ช่วยน้องด้วยนะคะ! ”

เมื่อเห็นมิเอลแสดงท่าทีที่ไม่คาดคิดออกมา อาเรียก็ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

สีหน้าของอาเรียกำลังสับสน เพราะแทนที่มิเอลจะดิ้นพล่านและอาละวาดออกมาว่ากล้าดียังไงมาหลอกฉันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตัวเธอกัน

“ผิดพลาดงั้นเหรอ”

“มะ ไม่รู้ค่ะ! น้องจำได้รางๆ เท่านั้นค่ะ แต่อย่างไรก็ตามคนที่นั่งอยู่หน้าน้ำชานั่นก็คือพี่อาเรีย แต่พี่อาเรียก็ปกติดีนี่คะ! “

“น้องบอกว่าจำได้รางๆ เท่านั้นหรือ”

“ฮึก…ค่ะ…! ใช่ค่ะ! “

“น้องหมายถึงน้องจำเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้เลยสักเรื่องหรือ”

มิเอลพยักหน้าอย่างแรงพร้อมน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นเช่นนั้นอาเรียก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองพร้อมกับเบิกตาโพลง ดูเหมือนมิเอลจะไม่ได้โกหกจริงๆ

…ทำไมถึงรู้สึกสนุกที่จะได้แก้แค้นจนถึงวินาทีสุดท้ายได้ขนาดนี้กันนะ

หากถูกสอบสวนในสภาพนั้น จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขนาดไหนกันนะ และหากว่าความทรงจำกลับคืนมาในระหว่างนั้นละก็ เธออาจจะช็อกจนเป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะทุกอย่างถูกยืนยันแล้วว่าเป็นฝีมือของมิเอลที่ตั้งใจจะฆ่าอาเรีย

โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันคือผู้สมรู้ร่วมคิด

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สนุกเอาเสียเลยเมื่อเห็นมิเอลทำหน้าไม่สลดแบบนั้น อาเรียคิดว่ามิเอลควรจะรู้เรื่องการตายของเคน เธอตีหน้าเศร้าและค่อยๆ พูดออกมาอย่างระมัดระวัง

“ถ้าอย่างนั้น…น้องก็ไม่รู้เรื่องที่พี่เคนเสียแล้วอย่างนั้นหรือ…”

และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินเรื่องนั้นเข้ามิเอลก็ตกใจตัวแข็งทื่อจนลืมหายใจ ท่าทางของเธอกำลังถามว่านั่นหมายความว่าอย่างไรกันแน่

จากนั้นอาเรียก็อธิบายว่าเคนตายได้อย่างไรด้วยตัวเธอเอง

“…ก็พี่เคนน่ะ…ดื่มชาที่น้องวางยาพิษเข้าไป…! จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือด…แล้วก็…! ”

แล้วอาเรียก็เอาหน้าซุกมือราวกับว่าไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก ส่วนมิเอลก็พูดตะกุกตะกักออกราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“นั่น นั่นมันหมายความว่ายังไงกันคะ…ทำไมถึงบอกว่าพี่เคนดื่มชานั่นกันล่ะคะ…! ก็พี่เคนน่ะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องมาที่นี่ตั้งแต่แรกนี่คะ!”

เสียงตะโกนของมิเอลทำให้เหล่าทหารทำหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เธอไม่ปฏิเสธเรื่องวางยาพิษในน้ำชา แต่กลับค่อยๆ สารภาพออกมาเองเรื่อยๆ แบบนี้เลยงั้นหรือ ไม่จำเป็นที่จะต้องสืบสวนต่อไปอีกแล้ว

“เพราะว่านั่นมันเป็นเวลาพักดื่มน้ำชาที่น้องเป็นคนเตรียมครั้งแรกยังไงล่ะ…! เพราะอย่างนั้นพี่ได้เรียกพี่เคนมาร่วมด้วย แต่เพราะพี่เคนดื่มชาที่เคยวางในที่ของพี่มาก่อน…! ”

หลังจากที่พูดมาถึงตรงนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนึกถึงภาพเคนอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วตายไปหรืออย่างไร สีหน้าของมิเอลถึงได้ดูเหมือนคนใจสลายลงในชั่วพริบตา

แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าการที่เธอสูญเสียความทรงจำไปนั้นเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางร่างกายหรือเป็นเพราะสลบไปเลยจำอะไรไม่ได้ชั่วคราวกันแน่ แต่ทุกครั้งที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นความทรงจำของมิเอลจะกลับมาเป็นบางส่วน

“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้…! ”

ถึงจะไม่ยอมรับแต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อเคนจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

ทหารเดาว่าการพูดคุยได้จบลงแล้ว จึงผลักมิเอลไปข้างหน้า และมิเอลก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวในสภาพจิตใจล่องลอย

“พี่ขอโทษที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลยมิเอล…”

อาเรียเช็ดน้ำตาและพูดออกมา และนั่นยิ่งทำให้ความโกรธแค้นของทุกคนที่มีต่อมิเอลเพิ่มมากขึ้น

เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

มีเพียงมิเอลที่คิดว่าเหตุการณ์นี้มันแปลกมากๆ

“มิเอล ฉันอุตส่าห์เชื่อใจเธอ…ทั้งที่ตอนนี้ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีกแล้วแท้ๆ…! แต่ทำไมเธอถึงได้…”

เมื่อมิเอลถูกทหารผลักให้ออกมาที่ประตูทางเข้า ก็ได้ยินน้ำเสียงแห่งความแค้นใจของเจสซี่ดังขึ้นมา ดูเหมือนเจสซี่จะเชื่ออย่างสนิทใจว่ามิเอลจะสามารถกลับตัวกลับใจได้

เหมือนกับที่เคยหวังในตัวอาเรียเอาไว้ในอดีต

“…! ”

มิเอลใจสลายเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอถูกลากออกไปจากประตูทางเข้าอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้าส่งตัวนักโทษก่อนจะออกไปจากคฤหาสน์

และเนื่องจากมิเอลเอาแต่ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้ทำลงไปที่ประตูทางเข้าแล้วและนั่นก็ไม่ต่างไปจากการสารภาพเลย จึงไม่จำเป็นต้องสืบสวนหรือไต่สวนเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอีก

อีกทั้งพยานและหลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจนยิ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพียงแค่ตะคอกใส่มิเอลที่เอาแต่ปฏิเสธอย่างงุนงงก็เป็นอันจบแล้ว

และในระหว่างนั้นเมื่อมิเอลจำทุกอย่างได้ ไม่ว่าเธอจะยืนกรานว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจฆ่าอาเรียและบอกว่าอาเรียเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างไรก็ตาม ก็จะไม่มีใครเชื่อเธอเลยสักคน

ตรงกันข้ามเธออาจจะถูกด่าว่าพูดจาไร้สาระเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ และอาจจะถูกทุบตีอย่างรุนแรงก็เป็นได้

และหลังจากนั้นก็คงจะถูกตัดสินโทษประหารในทันที ไม่สิ บางทีอาจจะได้รับโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโทษประหารก็เป็นได้

อาเรียทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้เห็นฉากสอบสวนด้วยตาตัวเอง และเรียกเจสซี่ที่ยืนหันหลังให้กับเหล่าสาวใช้ซึ่งกระจายตัวกันออกไปและพากันด่าทอมิเอล

“เจสซี่”

“…คะ เอ่อ ค่ะ เลดี้…”

“มันดึกมากแล้ว แต่ดื่มชาด้วยกันสักแป๊บดีไหม”

“…ชาหรือคะ”

เจสซี่ถามกลับพร้อมด้วยสีหน้าที่มีความรู้สึกผิดแฝงอยู่  ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเป็นเพราะเธอช่วยเหลือและปกป้องมิเอล จึงทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกอาเรียหลอกใช้

“อืม คงเพราะว้าวุ่นใจน่ะ เลยรู้สึกเหมือนจะนอนไม่หลับยังไงไม่รู้สิ เธอเองก็คงเหมือนกัน”

“…เอ่อ ค่ะ…ดิฉันจะไปเตรียมมาให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินอาเรียพูดว่าคงจะนอนไม่หลับ สีหน้าของเจสซี่ก็ดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก

และคงเป็นเพราะแบบนั้นเจสซี่จึงเตรียมของว่างด้วยความเงอะงะไม่สมกับเป็นเธอก่อนจะเข้าไปที่ห้องของอาเรีย

“…เลดี้”

เสียงของเจสซี่ที่เรียกอาเรียฟังดูระมัดระวังเป็นอย่างมาก แล้วอาเรียก็บอกให้เจสซี่นั่งลงฝั่งตรงข้ามและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“นั่งสิเจสซี่ ดื่มคนเดียวมันเหงาน่ะ นั่งดื่มด้วยกันเถอะ”

“…”

คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์อะไรไปนั่งตรงนั้นกันเล่า เพราะความเห็นใจที่ไม่เหมาะสมของเธอ ทำให้เจ้านายตัวเองเกือบตกอยู่ในวิกฤตแห่งความตายเสียแล้ว

“เร็วสิ เดี๋ยวชาก็เย็นหมดหรอก”

ทว่าอาเรียก็ยังไม่ยอมแพ้และเร่งขึ้นมา จนในที่สุดเจสซี่ก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามอาเรีย ทั้งคู่ดื่มชาโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอยู่พักหนึ่ง

“ฉันน่ะไม่คิดว่าการที่เจสซี่เอาใจใส่มิเอลเป็นเรื่องแย่หรอกนะ”

จากนั้นจู่ๆ อาเรียก็เปิดประเด็นขึ้นมา

เจสซี่สะดุ้งตกใจขึ้นมา เธอเบิกตาโตและจ้องไปที่อาเรีย ส่วนอาเรียก็ยังยิ้มอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม

“ในโลกนี้น่ะมีผู้คนตั้งมากมายที่เสียใจและสำนึกผิดกับความผิดที่ตัวเองได้ทำลงไปนี่นา”

และแน่นอนว่าคนที่ไม่คิดเช่นนั้นก็มีอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น มิเอลและอาเรียที่เคยทำให้เจสซี่เกิดความวุ่นวายและไล่เธอออกไปเมื่อครั้งอดีต

“เพราะอย่างนั้นแหละฉันถึงไม่คิดว่าเธอทำอะไรผิดไป เพียงแต่…”

อาเรียหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฉิบชาและพูดต่อ

“เพียงแต่เธอควรจะพูดและทำอะไรอย่างรอบคอบกว่านี้อีกหน่อย อย่าเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจให้คนอื่นเห็นจนหมดเปลือก”

“…นั่นหมายความว่าอย่างไรหรือคะ”

“ฉันหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่สามารถเชื่อใจได้อย่างแท้จริงแล้วละก็ จงอย่าเปิดเผยความในใจของเราให้ใครรู้ เช่นนั้นแล้วฝ่ายที่จะต้องเจ็บปวดก็คือตัวเราเองนี่แหละ”

สีหน้าของอาเรียตอนที่พูดเช่นนั้นออกมาดูสงบนิ่งต่างไปจากสีหน้าที่เธอแสดงให้มิเอลเห็นก่อนหน้านี้

ราวกับสีหน้าไหนสีหน้าหนึ่งเป็นเพียงการแสร้งทำ

“ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ต้องเจ็บปวดแบบตอนนี้ หรือไม่ก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้ใครสักคนต้องเดือดร้อน หากเธอยังคิดจะคงความสัมพันธ์กับฮานส์ต่อไปก็จำเป็นต้องรู้จักวิธีวางตัวแบบนั้นเอาไว้นะ”

ฮานส์กำลังได้ดีในหน้าที่การงาน และหากว่ายังคงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วละก็ วันที่เจสซี่หญิงผู้เป็นคนรักต้องก้าวเข้าสู่ชนชั้นสังคมก็จะมาถึงในวันหนึ่ง

อาเรียไม่ต้องการให้เจสซี่ต้องเสียสละหรือเจ็บปวดเพื่อคนอื่นอีกต่อไป แม้คนอื่นอาจจะร้ายได้ไม่เท่านางมารแบบอาเรียก็ตาม แต่อย่างน้อยอาเรียก็ไม่อยากให้เจสซี่คิดหรือเชื่ออย่างสุดใจว่าคนอื่นจะสามารถปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้

และดูเหมือนเจสซี่เองก็ตระหนักได้จากเรื่องที่เกิดในครั้งนี้ จึงได้แต่ทอดสายตาลงต่ำและกัดริมฝีปาก พยักหน้าอยู่เงียบๆ

…………………………………………..