ตอนที่ 678 ต้นไม้แห่งโลก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

เซี่ยเหรินเซิงและคนอื่นๆ ก็ยังอยู่กลางทะเล สมาชิกคนอื่นได้กลับไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่หลี่ว์ซู่ที่รีบกลับไปในแอฟริกา

 

 

เอาจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ผิดหวังกับการมาที่แอฟริกามาก ถ้าไม่พูดถึงเรื่องการเลื่อนเป็นระดับ B แล้วเขาเข้าไปบุกตู้นิรภัยและไปเจอแค่ยาหม่องเป็นกองเท่านั้น มันอะไรกันล่ะเนี่ย!

 

 

ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าหลี่อีเสี้ยวอาจจะไม่อยากได้ยาหม่องก็ได้ แต่หลี่อีเสี้ยวก็เอายาหม่องกว่า 90 เปอร์เซ็นไปอยู่ดี เขาไม่เห็นว่าการที่ราชันฟ้าขายยาหม่องที่ตลาดมืดจะดูมีศักดิ์ศรีอะไรเลย เขาอาจจะขายยาหม่องในราคาขายส่งก็ได้ ถ้าทำอย่างนั้นก็คงได้เงินมาประมาณพันหยวนได้ล่ะมั้ง

 

 

ส่วนภารกิจของกลุ่มนี้ตอนแรกจะต้องไปที่ยุโรปเพื่อหาพันธมิตรจากองค์กรต่างๆ แต่จากข้อมูลล่าสุดตอนนี้ภารกิจพวกนั้นก็ได้ล้มเลิกไปหมดแล้ว พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเทวาเท่านั้น

 

 

แต่ปัญหาก็คือทำไมจะต้องไปปกป้องคอรัลด้วย เธออยู่ในอันตรายงั้นเหรอ

 

 

[เกิดอะไรขึ้นกับคอรัลครับ ทำไมต้องปกป้องเธอด้วย] หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย

 

 

[ก็ได้แค่เดากันเท่านั้นแหละ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าฐานพลังจิตวิญญาณของหัวหน้าบาทหลวงแห่งกลุ่มแก่นความเชื่อได้พังทลายไปเหมือนของเฉินไป่หลี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเลื่อนขึ้นเป็นระดับ A ได้อย่างไรเหมือนกัน] โยวหมิงอวี่ตอบ

 

 

[ผมคิดว่าเมื่อฐานพลังจิตวิญญาณพังทลายไปแล้วจะไม่สามารถเลื่อนขั้นได้เสียอีก] หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ

 

 

[ก่อนหน้าที่เขาจะเลื่อนขึ้นก็มีคนไปเจอว่าฟรานเชสโก้ปรากฏตัวอยู่แถวๆ สวนฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มแก่นความเชื่อเหมือนกัน แล้วก็เห็นว่ามีหลุมศพหลุ่มหนึ่งไม่ได้ถูกปิดผนึกไว้ พวกเราก็เลยคิดว่าฟรานเชสโก้นี่จะเอาอะไรออกไปจากสวนฝังศพศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยให้หัวหน้าบาทหลวงเลื่อนขั้นได้ แต่เอาอะไรไปก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน] โยวหมิงอวี่ตอบมาเพิ่ม [ฉันก็เลยรู้สึกว่าหัวหน้าบาทหลวงไม่เข้าร่วมการต่อสู้กับปรมาจารย์นักเชิดหุ่นและไปโจมตีนักบุญอ้อม ๆ ก็เพราะยังมีข้อบกพร่องในการโจมตีของเขาอยู่]

 

 

[เดี๋ยวก่อนนะครับ] หลี่ว์ซู่หยุดเขา [การวิเคราะห์ของคุณนี่สมเหตุสมผลจริงๆ ผมเข้าใจที่คุณพูดมานะ แต่มันเกี่ยวอะไรกับคอรัลด้วยล่ะครับ]

 

 

[คอรัลมีต้นไม้แห่งโลกไว้ครอบครองอยู่] โยวหมิงอวี่พูดอย่างมั่นใจ [ซึ่งก็คือหอกกุงเนียร์ของเธอนั่นแหละ ตั้งแต่คอรัลปะทุพลังในสายเลือดของโอดินแล้วชักเอากุงเนียร์ออกมาจากไขสันหลังของเธอ พวกสมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อก็ไปเฝ้าอยู่ใกล้ๆ รัศมีอิทธิพลของกลุ่มเทวาเลยล่ะ มันไม่น่าจะบังเอิญแน่ๆ เราคิดว่าพวกกลุ่มแก่นความเชื่ออยากจะได้กุงเนียร์ไปน่ะสิ]

 

 

[แล้วพวกเขาจะเอากุงเนียร์ไปทำไมล่ะครับ] หลี่ว์ซู่ถามอย่างโกรธๆ [ทำไมจะต้องขโมยอาวุธของคนอื่นด้วย]

 

 

[เรื่องลึกลับเกี่ยวกับต้นไม้แห่งโลกถูกจารึกไว้ในบันทึกเก่าแก่หลายฉบับน่ะสิ มันไม่ใช่แค่อาวุธอย่างเดียว] โยวหมิงอวี่อธิบาย [ราชันฟ้าสือวิเคราะห์มาว่าต้นไม้แห่งโลกนั้นน่าจะมีความสามารถบางอย่างในการช่วยให้หัวหน้าบาทหลวงฟื้นฟูฐานพลังจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ไม่มีใครเคยเห็นต้นไม้แห่งโลกมาก่อน ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจกันนัก]

 

 

[งั้นแก่นความเชื่อก็อยากได้ต้นไม้แห่งโลกไป] หลี่ว์ซู่ทำท่าทีสบายๆ แล้วถามต่อ [แล้วถ้าคอรัลเสียกุงเนียร์ไปจะเกิดอะไรขึ้นล่ะครับ พวกมันแค่เอากุงเนียร์ไปแบบนั้นน่ะเหรอ]

 

 

[เธอจะตายน่ะสิ]

 

 

พอหลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เงียบไป [เข้าใจแล้วครับ]

 

 

กดดันอะไรอย่างนี้เนี่ย หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ กลุ่มแก่นความเชื่อมีคนระดับ A แล้ว ถึงจะไม่ได้แข็งแกร่งแต่ก็ถือว่าเป็นระดับ A ล่ะนะ

 

 

ไม่มีใครกล้ามาต่อกรกับเครือข่ายฟ้าดินซึ่งๆ หน้าเพราะเครือข่ายฟ้าดินมีระดับ A หลายคนนี่แหละ

 

 

ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็คงไม่กล้าที่จะเข้าไปช่วย แต่พอเป็นคอรัลแล้วเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ

 

 

เพราะอะไรน่ะเหรอ หลี่ว์ซู่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 

 

ชีวิตก็เหมือนข้อสอบที่มีหลายตัวเลือก แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ดูเหมือนจะเลือกอะไรไม่ได้

 

 

[เราก็ได้แค่เดากันไปล่ะนะ] โยวหมิงอวี่ส่งมาอีกหนึ่งข้อความ [ราชันฟ้าสือพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้นายกับคอรัลปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น]

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย นี่จะบ้ากันไปแล้วเหรอ ทำไมมาหักมุมจบแบบนี้ล่ะ เครือข่ายฟ้าดินเป็นองค์กรใหญ่ พวกเขาจะให้สมาชิกไปหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นแบบนี้ได้เหรอ หลี่ว์ซู่รู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ได้ข้อมูลมาด้วยการหว่านเสน่ห์หรอกนะ

 

 

ไม่ยอมให้ผู้หญิงไปหว่านเสน่ห์ แต่คิดจะปล่อยให้ผู้ชายหวานเสน่ห์ดูเนี่ยนะ นี่มันเป็นการเลือกปฏิบัติหรือเปล่าเนี่ย

 

 

[งั้นที่พูดมาทั้งหมดก็เป็นเรื่องไร้สาระสินะครับ] หลี่ว์ซู่ส่งข้อความกลับไปด้วยสีหน้าน่ากลัว

 

 

[ก็ไม่ได้ไร้สาระไปทั้งหมดหรอก สมมติฐานบางอย่างก็มาจากความจริงทั้งนั้น แต่ถ้าจากที่เราดูแล้วพวกแก่นความเชื่อคงไม่บุ่มบ่ามเข้ามาหรอก] โยวหมิงอวี่ตอบ

 

 

[โอเคครับ เข้าใจแล้ว] หลี่ว์ซู่ถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างใจลอย

 

 

เขาก็คงต้องไปอยู่ดีนั่นแหละ ถ้าเขาไม่ไปก็คงทำใจสบายๆ ไม่ได้ ถึงเขาจะไม่สามารถเอาชนะระดับ A ได้แต่ก็ต้องลองพยายามให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามคอรัลก็รวยอยู่ดี…

 

 

รถวิ่งทางไกลกำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือ และทหารสองคนก็นั่งตัวตรงเพราะมีหอกสามง่ามจ่อคอพวกเขาไว้อยู่ พวกเขาไม่กล้าขยับกันเลย

 

 

ไม่กล้าแม้แต่จะไปหยิบโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมตอนมันดังด้วยซ้ำ หลี่ว์ซู่เลยหยิบเอาไปใส่ไว้ในตราแผ่นดิน

 

 

หลังจากรถขับไปได้แปดชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงทะเลกันแล้ว ทหารทั้งสองคนดูเชื่อฟังมาตลอดทาง และสุดท้ายคนขับก็หยุดที่ทะเลให้ “เรามาถึงกันแล้วครับ”

 

 

“อ้าวเหรอ ขอบคุณนะ เท่าไหร่ล่ะ” หลี่ว์ซู่ที่นั่งจมไปกับความคิดรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพูดออกไป

 

 

“เราไม่ได้มีมิเตอร์หรอกนะครับ” คนขับได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป

 

 

บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที หลี่ว์ซู่เลยรู้ตัวว่าตัวเองได้ถามออกไปผิดเสียแล้ว ทหารทั้งสองคนเกือบกระอักเลือด ใครจะขับรถแท็กซี่ตอนโดนเอาหอกสามง่ามจ่อคอคนขับแบบนี้ล่ะ!

 

 

นี่มันมากเกินไปแล้วนะ เขาไม่ใช่คนขับรถแท็กซี่นะ! ถึงเขาจะใช่จริงๆ แล้วใครมันจะกล้าเปิดมิเตอร์ล่ะ บ้าเอ๊ย!

 

 

[ได้รับแต้มจากเอิร์ค สมิธ +666]

 

 

[ได้แต้มจากจากอัลวา +…]

 

 

ทหารรับจ้างทั้งสองคนรู้สึกกังวลมาก พวกเขาเชื่อฟังมาตลอดทางเพราะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ก็เลยกลัวว่าจะโดนฆ่าตายตอนถึงที่หมายแล้ว

 

 

“ไปได้แล้วทั้งสองคน” หลี่ว์ซู่รอจนพวกเขากลับไปแล้วจากนั้นค่อยกระโดดลงไปในทะเล

 

 

แต่ทั้งสองคนนั้นก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน หลี่ว์ซู่เงียบไป แล้วเขาก็พูดขึ้นมา “ถ้าไม่เปิดมิเตอร์ก็ไม่จ่ายเงินหรอกนะ…”

 

 

ทหารรับจ้างทั้งสองคนรีบหันหลังกลับ พวกเขาเจอคนบ้าเข้าให้แล้ว!

 

 

[ได้รับแต้มจากเอิร์ค สมิธ +666]

 

 

[ได้แต้มจากจากอัลวา +…]

 

 

พอทหารสองคนกลับไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็กระโดดจากหน้าผาลงไปในทะเล เขาดำดิ่งลงไปให้น้ำทะเลสีครามและว่ายไปทางซาร์ดิเนียเหมือนกับปลา

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกถึงความอิสระที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในใต้น้ำนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาว่ายน้ำด้วยความเร็วแบบนี้หลังจากที่เขาได้เลื่อนระดับเป็นระดับ B

 

 

เขาเคยเห็นความเร็วที่เฉินไป่หลี่และเนี่ยถิงบิน และหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขาช้ากว่าสองคนนั้นแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง