“มีปัญหาอะไรรึ ? นั่นมันมีผลกระทบอะไรกับเจ้าหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“เดิมทีข้านั้นไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ตนเองมั่นคงได้ ข้าถูกเจ้าเจดีย์เทพบัดซบนั่นนำออกมาจากมิติแห่งความว่างเปล่า ทันทีที่ข้าใช้พลังช่วยเหลือเจ้า ร่างกายของข้าจะเข้าสู่ความว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ทุกคนจะไม่รอด รวมทั้งเจ้าด้วย”

“ความเสี่ยงนั้นมากขนาดไหนล่ะ ?”

“ร้อยส่วนมีความเป็นไปได้เก้าสิบเก้าส่วนที่จะเกิดเช่นนั้นขึ้น มีความเป็นไปได้เพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้นที่ข้าจะสามารถเอาอยู่”

นางลงมือก็ตาย หากไม่ลงมือก็ถูกพวกเขาจับ แต่ก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ “อืม เช่นนั้นเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่ด้านข้างแล้วกัน”

มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “ข้าไม่สู้แล้ว ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า”

“นายท่าน!” อู๋ตี้และเสี่ยวหงรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา

ต่อมา ชิวหลิงและหลินเอ๋อร์ก็ได้ถูกพวกเขาพาตัวไป  ขณะเดียวกัน ผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบที่เป็นผู้ชนะก็เดินมาที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี

“มู่เฉียนซี ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา เช่นนั้นแล้วหม้อเทพนิรันดร์ก็ถือเป็นของพวกเราหุบเขาหมอเทวดา มีเพียงพวกเราหุบเขาหมอเทวดาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะมีหม้อเทพนิรันดร์ไว้ในครอบครอง”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเหยียดหยามทันที “พวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดาก็ไม่มีคนที่ดูดีสักหน่อย พูดเองเออเองชัด ๆ ว่าพวกเจ้าหุบเขาหมอเทวดาเท่านั้นที่มีคุณสบัติ พวกเจ้าไม่กลัวว่าหม้อเทพนิรันดร์จะรังเกียจพวกเจ้าจนตรอมใจตายไปรึ ?!”

ผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างชั่วร้าย “เจ้ามันช่างมากเล่ห์มากกลนัก เห็นทีคงต้องปิดผนึกพลังวิญญาณของเจ้าและตัดขาดเส้นลมปราณของเจ้าแล้ว”

ที่เขากล่าวมานั้นโหดร้ายยิ่งนัก ทว่ามู่เฉียนซีก็ยังนิ่งเฉย ด้วยเพราะวิธีการเช่นนี้มันล้าสมัยไปแล้ว  ขอแค่เพียงปล่อยนางให้เป็นอิสระ ความพิกลพิการเพียงเท่านั้น นางสามารถรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าตนเองข่มขู่เด็กสาวผู้นี้ไม่ได้ผล สีหน้าของผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบผู้ก็ยิ่งมืดครึ้มมากขึ้นไปกว่าเดิม “เจ้าแสร้งทำเป็นสงบนิ่งต่อไปเถอะ!” เมื่อตอนที่มือของผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบกำลังจะบิดเส้นลมปราณที่มือของมู่เฉียนซีให้ขาดนั้น บรรยากาศโดยรอบพลันหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งพลันสงบเงียบ

อาถิงตื่นขึ้นมาแล้ว!

“สตรีบ้า เจ้ายังนิ่งเฉยอยู่ทำไมเล่า ? รีบลงมือเข้า! อย่าได้สิ้นเปลืองเวลา” เสียงอาถิงดังขึ้นในหัวของมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีจึงยกมือขึ้น พลันปรากฏเข็มยาเข็มหนึ่งขึ้นมา และมันก็ได้ทิ่มเข้าไปตรงส่วนระหว่างคอกับไหล่ของผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบอย่างจัง ในตอนนี้ เวลากลับมาเดินเป็นปกติแล้ว คนเหล่านั้นของหุบเขาหมอเทวดา เดิมทีได้เห็นมู่เฉียนซีที่เหมือนกับแกะรอโดนพวกเขาเชือด บัดนี้กลับเป็นนางที่เอาเข็มยาแทงคอหอยของผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบเสียแล้ว!

— ปัง! —

เมื่อพิษเริ่มออกฤทธิ์ มู่เฉียนซีก็ใช้เท้าถีบร่างของผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบออกไป

สายตาของเขามองมู่เฉียนซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ สรุปแล้วเขาโดนกระบวนท่าอะไรเข้าไปกันแน่ ?  เหตุใดเขาถึงจำไม่ได้เลย เห็น ๆ กันอยู่ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นลูกธนูสิ้นแรงแล้ว นางไม่สามารถที่จะต่อกรกับเขาผู้เป็นระดับมหาจักรพรรดิได้ แต่ทว่า…

เหตุใดผู้ที่ตายถึงเป็นเขาไปเสียได้ ?! ผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบตายตาไม่หลับ ศิษย์น้องเหล่านั้นก็คิดว่าเขาตายไปอย่างน่าประหลาด

ในตัวเด็กสาวผู้นี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเหลือเกิน พวกเขานั้นหวาดกลัวอย่างที่สุด

“แย่แล้ว เราจะต้องจับตัวนางให้ได้!”

มู่เฉียนซีรีบหลบหลีก ปากก็กล่าวขึ้น “อาถิง เจ้ายังไม่ออกมาอีก เจ้าจะให้พวกนั้นฆ่าข้าหรืออย่างไร ?”

อาถิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “หญิงอัปลักษณ์ เจ้าช่างน่ารำคาญใจจริงเชียว! ข้าเพิ่งจะฟื้นฟูพลังมาได้เพียงเล็กน้อย ข้าเหนื่อยมากเจ้าไม่เข้าใจรึ ?”

เงาร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านไป พวกเขาได้เห็นเด็กหนุ่มที่ดูสง่า สะอาด เสมือนวิญญาณผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพวกเขา …เด็กหนุ่มผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ ?

“ไสหัวไปซะ! ข้าไม่อยากที่จะมาเปลืองเวลากับพวกเจ้า” อาถิงกล่าวพลางเหลือบมองไปยังพวกเขา

“เจ้าหนู คนที่ควรไสหัวไปคือเจ้า!” หนึ่งในนั้นกระโจนออกมาแล้วลงมือกับอาถิงอย่างกล้าหาญ

อาถิงยกมือขึ้นเบา ๆ พลันปรากฏแสงสีเขียวอ่อนมาห่อหุ้มร่างคนผู้นั้นเอาไว้ เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา คนผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้กลายเป็นเด็กทารกที่ร้องไห้อยู่บนพื้น

ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกตาของเหล่าศิษย์แห่งหุบเขาหมอเทวดาแทบจะถลนออกจากเบ้า

เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ทำให้คนผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กทารก นี่มันวิชามารอะไร ?

เหมือนกับว่าพวกเขาจะนึกถึงคำกล่าวของเจ้าสำนักอวิ๋นเยียนประโยคนั้นขึ้นมาที่ว่า ‘ชายชุดดำทำให้คนกลายเป็นกระดูกขาว ส่วนเด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวทำให้คนกลายเป็นทารกได้ในพริบตา’

เดิมทีพวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เจ้าสำนักไร้ค่าผู้นั้นแต่งขึ้นมา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง!

เกรงว่าความน่ากลัวของเด็กหนุ่มผู้นี้ จะไม่ได้น้อยไปกว่าชายชุดดำผู้นั้นเลย

ผู้นำที่สามของฝ่ายสู้รบตายไปแล้ว พวกเขาก็ยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ของนางเข้าไปอีก “พวกเรารีบหนีเร็ว!”

คนเหล่านี้ของหุบเขาหมอเทวดาถูกทำให้กลัวจนปอดแหกอีกครั้ง พวกเขารีบวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “อาถิง รีบตามไปเร็วเข้า จะปล่อยให้เหลือผู้รอดชีวิตไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วเรื่องที่ว่าหม้อเทพนิรันดร์อยู่กับข้าจะถูกกระจายออกไป”

“ข้าไม่ว่าง ข้าจะไปข้างบน ไม่อยากที่จะเสียเวลา” เสียงของอาถิงนั้นเย็นชาอย่างมาก

มู่เฉียนซีหันไปมองใบหน้าที่ประณีตเป็นอย่างมากของอาถิง แต่ในเวลานี้ ดวงตาของอาถิงแฝงแววอันน่ากลัวเอาไว้ด้วย  นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอาถิงแสดงออกเช่นนี้

อาถิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง มู่เฉียนซีก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีกต่อไป นางกล่าว “ได้ เช่นนั้นก็ไปที่ด้านบนนั่น”

— ปัง! —

ในตอนนี้เอง ตาเฒ่าประหลาดที่แกล้งตายมาโดยตลอดพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน พลันจับตัวหลินเอ๋อร์ไว้

“ไม่มีใครที่สามารถหยุดข้าได้แล้วแม่สาวน้อย เจ้าช่วยข้าอย่างใหญ่หลวงนัก”

เขาจับตัวหลินเอ๋อร์เดินไปตรงที่มีรอยร้าวเกิดขึ้นบนพื้น จากนั้นก็มีแสงสีขาวปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้ “อาถิง หยุดเขาเร็วเข้า!”

“นั่นเป็นพลังแห่งมิติที่แข็งแกร่ง พลังของข้านั้นไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ พวกเราเองก็รีบไปกันดีกว่า”

เขานั้นไม่ได้สนใจชีวิตของคนอื่นเลย  ของที่อยู่บนเจดีย์เทพที่ทรุดโทรมนั่นเป็นของใครเขาก็ไม่สน  เขาเพียงแค่อยากรีบขึ้นไปด้านบน และได้พบกับเขาผู้นั้นเร็ว ๆ อาถิงพุ่งเข้าไปสู่มิติส่งตัวระยะไกล มู่เฉียนซีเองก็ไม่ได้รั้งเขาเอาไว้

ชิวหลิงที่บาดเจ็บหนักก็ไล่ตามไปเช่นกัน  ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมแพ้ ทว่าเมื่อถึงชั้นบน หลินเอ๋อร์ก็ยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้น

ทันทีที่ตาเฒ่าผู้นั้นหากุญแจเจดีย์เทพเจอ หลินเอ๋อร์จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

พื้นที่ที่ชั้นที่สามนั้นเป็นทะเลผืนหนึ่ง แต่พวกเขากลับสามารถเดินบนน้ำได้เหมือนดั่งเดินอยู่บนพื้นธรรมดา ที่ใต้เท้าของพวกเขานั้นเป็นผิวสมุทรสีน้ำเงินเข้มมีแสงระยิบระยับ ช่างสวยงามจับจิต เวลานี้ไม่รู้ว่าตาเฒ่าประหลาดพาตัวหลินเอ๋อร์ไปถึงไหนแล้ว มู่เฉียนซีเองก็ตามอาถิงไปเหมือนดั่งม้าที่ไม่เคยหยุดฝีเท้า อย่างไรก็ตาม ความเร็วของอาถิงจัดได้ว่ารวดเร็วมาก นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีถึงจะฝืนไล่ตามเขาไปได้ทัน

“อาถิง เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

ด้วยเพราะทั้งสองเป็นผู้ที่ทำพันธสัญญาต่อกัน นางจึงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันสับสนของอาถิง ราวกับว่าเขากำลังสูญเสียการควบคุม

อาถิงหันกลับมา เส้นใยสีเขียวเทาปลิวว่อนไปตามสายลม ดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นฉายแววกังวลขณะกล่าวออกมาว่า “ข้ากับเจ้านั่นไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ ข้าจะฆ่าเขา!”

อาถิงกำหมัดแน่น บนมือของเขาปรากฏเส้นเอ็นที่ขยับตัว

มู่เฉียนซีรู้สึกตะลึงในใจ คนผู้นั้นคือจิ่วเยี่ยอย่างแน่นอน

“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“เขากล้าโกหกข้า!” มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนว่าอาถิงได้มาถึงจุดแตกหักแล้ว เขาไม่ยอมบอกอะไรนางทั้งนั้น …สรุปแล้วเขายังถือว่านางเป็นผู้ทำพันธสัญญากันอยู่หรือไม่

มู่เฉียนซีรีบวิ่งตามไป

— เพี๊ยะ! —

เสียงตบเสียงหนึ่งดังขึ้น มือบางตบเข้าไปที่หัวของอาถิงโดยตรง!