บทที่ 480 ทรยศก็ต้องตาย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 480 ทรยศก็ต้องตาย
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปรอซูมู่หรง เมื่อซูมู่หรงจอดรถก็ยกยาปฏิชีวนะสองลังกับของเล่นเด็กหลายกล่องลงจากรถ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดดูก็เห็นของเล่นเด็กผู้ชายจำนวนมาก ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

เมื่อพลบค่ำ ซูมู่หรงถามว่า “กอดหน่อยได้ไหม?”

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว ทว่าซูมู่หรงก้าวเข้าไปกอดฉีเฟยอวิ๋นเรียบร้อย เมื่อหลับตาน้ำตาก็ไหลรินจากดวงตาของซูมู่หรง

“เห็นแววตาคุณที่อยากจะอำลาผม คุณรู้ไหมว่าผมเสียใจแค่ไหน ผมอยากให้คุณแวะมาหาผมบ้างเป็นบางครั้ง ขาดเหลืออะไรผมก็จะจัดหาให้คุณ ไม่อยากให้คุณหายไปเลยอย่างนี้ เหมือนโลกใบนี้ไม่เคยมีคุณมาก่อน ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยอกหัก ไม่อาจรับรู้ความรู้สึกของซูมู่หรงที่จะสูญเสีย เธอได้แต่ยืนฟังซูมู่หรงคุยกับเธออย่างงงงัน

เมื่อซูมู่หรงไม่พูดต่อ ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “หัวหน้า คุณยังจำตอนที่พวกเราฝึกซ้อมที่ชายหาดไหมคะ?”

“……” ซูมู่หรงไม่มีการตอบสนองใดๆ ผละออกจากฉีเฟยอวิ๋น ทว่าก็ยังนึกไม่ออก

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะคิกคัก “ฉันรู้ว่าหัวหน้าต้องลืมแล้วแน่ๆ แต่ฉันยังจำได้ค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองทะเลที่ไม่ค่อยไกลนัก “หัวหน้าค่ะ พวกเราไปเดินดูกันค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปทางทะเล เธอเป็นคนใจคอกว้างขวางและชอบเห็นใจคน แต่เธอไม่รู้ว่าทำอย่างนี้ถือว่าทรยศต่อหนานกงเย่หรือเปล่า หรือว่าเป็นการสวมเขาหรือไม่

ที่นี่คงไม่เป็นอะไร แต่ที่แคว้นต้าเหลียง เธอคงถูกมัดใส่กรงหมูแล้วจับไปแช่น้ำแน่

ทว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้เธอนึกเรื่องนั้นขึ้นมาล่ะ

เมื่อสายลมพัดผ่านมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหนาวเล็กน้อย เมื่อนึกถึงการฝึกซ้อมตรงชายหาดครั้งแรก ฉีเฟยอวิ๋นก็มองซูมู่หรงที่กำลังจ้องตัวเองอยู่

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แววตาที่ซูมู่หรงมองเธอราวกับว่าถูกทอดทิ้งเสียอย่างนั้น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

มิตรภาพนี้ควรจบสิ้นเสียที เธอไม่อยากให้หนานกงเย่หึงหวงอย่างบ้าคลั่ง

“หัวหน้าค่ะ ตอนพวกเรามาครั้งแรก คุณไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่เลย อยากให้ฉันออกจากทีม คุณเลยให้ฉันถอดเสื้อฝึกซ้อมตัวเปลือยเหมือนกับทุกคน แต่ฉันไม่ยอม พวกเราเลยมีปากเสียกัน คุณยังจำได้ไหมคะ?”

ซูมู่หรงจำไม่ได้จริงๆ ทว่าเมื่อหวงคิดดูดีๆก็พอจะนึกออก

“พึ่งรู้จักกัน ยังไม่มีความรู้สึกดีๆกับคุณ คุณแค้นเหรอ?” ซูมู่หรงนึกขึ้นมาได้ก็หัวเราะร่า

“คุณยังกล้าพูดเรื่องนี้อีกเหรอ ทุกคนกำลังฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขัน แต่คุณกลับกินลมชมวิวทะเล ผมไม่ไล่คุณไปแล้ว ผมต้องเก็บคุณไว้เหรอ?”

“หัวหน้าพูดถูกค่ะ แต่หลายปีที่ผ่านมาฉันประลองฝีมือกับหัวหน้าตลอด ฉันอยากให้หัวหน้าเห็นว่า ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ไม่แพ้ผู้ชาย”

ซูมู่หรงหดหน้า พูดเหมือนเด็กยโสโอหัง “ต้องตกหลุมรักเมื่อแรกพบถึงจะขอคุณแต่งงานได้เหรอ?”

“ที่นั่นมีรักแรกพบที่ไหนกันค่ะ เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพเลยค่ะ แต่ฉันกับหัวหน้าอยู่ด้วยกันก็นานอยู่นะคะ แต่ไม่ได้สร้างต้นรักอะไรขึ้นมาเลย หัวหน้าไม่รู้สึกว่ามีวาสนาแต่ไม่มีพรหมลิขิตเหรอคะ พวกเราเป็นได้แค่เพื่อนกัน?”

ซูมู่หรงหันหน้าเดินมาอยู่ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น พลางขวางทางเดินของเธอ “พูดอย่างนี้ ถ้าตอนนี้ผมปล้ำคุณ พวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกัน?”

ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้ามึนงง

“หัวหน้าอย่าล้อเล่นแบบนี้สิค่ะ ฉันมีลูกห้าคนแล้ว ยังมีสามีด้วย”

“ใครจะเชื่อ?ใครยอมรับ?”

“……หัวหน้า อย่างนี้ก็ไม่น่าสนใจแล้วค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้าอึดอัด เดินอ้อมไปริมทะเล ซูมู่หรงคว้ามือฉีเฟยอวิ๋นไว้ ดึงเธอให้หยุด

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกห่อเหี่ยวใจ หันไปมองซูมู่หรง “หัวหน้าค่ะ ฉันเห็นคุณเป็นเหมือนพี่ใหญ่ เป็นเหมือนอาจารย์ เหมือนพ่อ ฉันเลื่อมใสศรัทธาคุณ แต่ไม่เคยคิดเกินเลยเป็นคนรักกันเลยนะคะ”

“แต่ผมไม่เห็นคุณเป็นอย่างอื่น”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากพูด สมองยุ่งเหยิงไปหมด เธออยากสรรหาถ้อยคำปฏิเสธซูมู่หรง ทว่าสุดท้ายก็หาไม่เจอ

ซูมู่หรงดึงเธอเข้าใกล้ อยากจูบเธอ ฉีเฟยอวิ๋นพูดว่า “ถ้าฉันทำผิดต่อเขา กลับไปฉันก็ไม่รอด”

“……” ซูมู่หรงปล่อยตัวฉีเฟยอวิ๋น “เขาจะฆ่าคุณเหรอ?”

ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา “ยังต้องให้เขาฆ่าฉันอีกเหรอ? หัวหน้าไม่รู้จักนิสัยของฉันเหรอ? ฉันเป็นอย่างนี้เสมอมา ไม่เคยทำเรื่องผิดต่อทีม หัวหน้าเคยบอกพวกเราว่า ทีมคือคนรักของพวกเรา ทรยศต่อทีมก็เท่ากับทรยศคนรัก ทรยศชีวิตคู่ คนนั้นต้องกินกระสุนฆ่าตัวตาย

พวกเราไม่มีกระสุน แต่ใช้ดาบฆ่าตัวตายได้

เขากำลังกอดร่างกายฉันที่ใกล้จะตายด้วยสภาพจิตใจทุกข์โศก แต่ฉันดันนัวเนียอยู่กับหัวหน้า เท่ากับฉันทรยศเขา ฉันก็สมควรตายค่ะ”

ซูมู่หรงปล่อยมือเธอ พลางหัวเราะเสียงดังกังวาน หัวเราะไปด้วยเดินตามริมทะเลไปด้วย ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าซูมู่หรงจะเสียสติเหลือเกิน

เจอคนที่ทะลุมิติไปมาได้ เดิมทีก็เป็นเรื่องปวดหัวอยู่แล้ว หากไม่ระวังอาจจะเป็นบ้าจริงๆ

ซูมู่หรงหัวเราะไปมาก็หยุด เขาไม่ได้ร้องไห้อย่างเจ็บปวด

เขาเดินลงในน้ำทะเล เขาลืมไปแล้วว่าน้ำทะเลตอนนี้เย็นเฉียบแค่ไหน

ลมพัดโชยมา ซูมู่หรงเอามือไพล่หลัง จับข้อมือไว้แล้วยืนมองโลกตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาอยู่ข้างกายเขา

ซูมู่หรงมองเธอที่ยืนข้างกาย “ท่าทางคุณตรงนั้นเป็นยังไง?”

ฉีเฟยอวิ๋นลังเลชั่วครู่ “ท่าทางประมาณว่าสูงศักดิ์ ตอนเดินก็ไม่เหมือนตอนนี้ค่ะ”

“ให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”

ฉีเฟยอวิ๋นมองซูมู่หรงพลันพยักหน้า “พรุ่งนี้จะลองหาชุดมาใส่แล้วทำท่าให้คุณดู แต่ฉันไม่กล้ารับรองว่า……ฉันใช้คอมแต่งให้หัวหน้าดูก็ได้ค่ะ”

“ผมอยากดูคุณใส่ชุดพวกนั้น ให้ผมดูนะ”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีวิธีอื่น “พรุ่งนี้หัวหน้าไปหาชุดมาสิค่ะ ถ้าหาได้ฉันก็จะใส่ให้ดูค่ะ”

คืนนี้ฉีเฟยอวิ๋นกับซูมู่หรงไม่ได้กลับไป ทั้งสองยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยหมุนกายกลับไป ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้นและไม่มีใครตั้งความหวังรอคอยอะไรด้วย

นอนพักผ่อนครึ่งวัน ตอนบ่ายฉีเฟยอวิ๋นกำลังตรวจดูของที่ตัวเองต้องการอยู่ ซูมู่หรงก็ถือชุดที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดถึงเข้ามา ทว่าแม้แต่ในความฝันฉีเฟยอวิ๋นก็นึกไม่ถึง มันเป็นชุดแต่งงานของสตรียุคโบราณ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหัวเสีย ถ้าเขารู้จะทำยังไงดี?

ทว่าเธอตกปากรับคำไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กลับคำไม่สะดวก

จึงได้แต่แต่งองค์ทรงเครื่อง เธอมองตัวเองในกระจกสักพัก รู้สึกว่าแต่งพอสมควรแล้ว ถึงแม้ยังขาดอะไรเล็กน้อย แต่ก็ประมาณนี้แหละ

“หัวหน้า คุณเข้ามาค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนชุดเสร็จก็เรียกซูมู่หรงเข้ามา เมื่อเปิดประตูซูมู่หรงก็ยืนจ้องฉีเฟยอวิ๋นอย่างใจลอย

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ที่นั่นฉันก็จะประมาณนี้ค่ะ”

ซูมู่หรงจ้องอย่างเหม่อลอย “สวยจริงๆ มิน่าล่ะเขาถึงได้หลงใหลคุณจัง ถ้าคุณใส่อย่างนี้ให้ผมดู ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมคงไม่พลาดโอกาสดีๆไป”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากพูดอะไร หากพูดคงไม่จบไม่สิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นไปเปลี่ยนเสื้อ ซูมู่หรงตามมาถามด้านนอกห้อง “ใส่แบบนี้ไม่ดีเหรอ ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว”

“ฉันจะทำเค้กให้หัวหน้าค่ะ ใส่แล้วไม่สะดวก” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายเสร็จก็เปลี่ยนเสร็จพอดี

ซูมู่หรงรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก รออยู่ด้านนอกทำไมถึงรู้สึกหดหู่อย่างแปลกประหลาด