บทที่ 341.2 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 341.2 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย ProjectZyphon

ที่แท้เผยเฉียนกับจงขุยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน จงขุยจิบเหล้าคำเล็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอน เผยเฉียนก็รับฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนคนถูกเปิดสติปัญญาให้โล่งกว้าง

จงขุยถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ?”

เผยเฉียนตอบ “ก็บัณฑิตต่อยตีกับคนอื่นไม่เป็นอย่างไรล่ะ”

จงขุยกดเสียงลงต่ำ พูดด้วยท่าทางลึกลับ “ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็คือ ขอแค่วิญญูชนขยับปาก อีกฝ่ายก็ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”

เผยเฉียนสงสัย “วิญญูชนทะเลาะกับคนเก่งขนาดนี้เชียว ถึงขั้นด่าคนให้ตายได้เลยหรือ?”

จงขุยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขาเลิกคิ้วสูงบอกเป็นนัยให้เด็กหญิงรินเหล้าให้ตนก่อน ตนถึงจะบอกคำตอบ

เผยเฉียนเหลือกตาใส่อย่างรังเกียจ ชำเลืองตามองจงขุย บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมของนางเขียนคำว่า ‘เจ้าคือหอมต้นไหน’ ไว้อย่างชัดเจน

จงขุยเองก็ไม่ขุ่นเคือง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้านี่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”

เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง นางลุกขึ้นยืน เอื้อมตัวมาตีนิ้วข้างนั้นของจงขุย

จงขุยขยับตัวหลบเลี่ยง ยังคงชี้นิ้วใส่เผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ปัดตบฝ่ามือข้างนั้นอยู่ตลอดเวลา

จิ่วเหนียงที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมองจงขุย ไม่ได้รู้สึกว่าการที่บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งมีจิตใจเป็นเด็กจะมีค่าพอให้สตรีหันมามองข้อดีของเขา

แต่ในเมื่อจงขุยเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายสักเท่าไหร่

เผยเฉียนไม่เคยเจอบัณฑิตคนไหนไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน นางเหนื่อยจนหอบดังฮักๆ กลับไปนั่งที่เดิม พูดเหน็บแนมว่า “ในเมื่อวิญญูชนร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยังพูดว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่ไม่คิดล่วงเกินคนถ่อยเล่า?!”

จงขุยยิ้มบางๆ ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะไม่ได้เจอกับข้า”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “เจ้าแต่งเรื่องโกหกแล้วกระมัง หนังสือที่เจ้าอ่านจะมากกว่าท่านพ่อข้าได้หรือ?”

จงขุยตบหน้าตัวเอง ไร้คำพูดให้ตอบโต้ ท่าทางราวกับว่าไม่มีหน้าไปเจอเหล่าอาจารย์อริยะปราชญ์ที่รูปปั้นถูกตั้งบูชาบนแท่นบูชาอีกแล้ว “ถือว่าข้าแพ้แล้ว”

เฉินผิงอันเดินไปหาจิ่วเหนียง หยิบเงินที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา คราวนี้จิ่วเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเล็กน้อยแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ในเมื่อผู้มีพระคุณของสกุลเหยาตรงหน้าผู้นี้ยินดีมอบให้ นางก็ได้แต่รับเอาไว้ นางยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เข้าเมืองหลวงคราวนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลหลิ่งจือสักหน่อย นางมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเท่าใดนัก ขอคุณชายช่วยโอนอ่อนผ่อนตาม ถือซะว่าข้าได้คืบจะเอาศอกแล้วกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมา

จิ่วเหนียงไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่าตอบแทนในการดูแลแม่นางเหยา หากไม่ถึงยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงพูดยากแล้ว”

จิ่วเหนียงไม่เคยอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้ว นางตบเงินลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างขำขันสุดขีด “โอ้โห คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะเป็นคนทำการค้าที่ชาญฉลาดด้วย!”

เฉินผิงอันเก็บเงินไปจริงๆ เขาเอ่ยสัพยอกนางว่า “ออกเดินทางอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องรู้จักคิดวิธีหาเงิน”

จงขุยหันหน้าไปมองจิ่วเหนียงกับเฉินผิงอันที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แล้วตะโกนใส่ทางห้องครัวเสียงดัง “เดี๋ยวพอยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ อย่าลืมเอาน้ำส้มสายชูมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!” (น้ำส้มสายชูในภาษาจีนมีความหมายอีกอย่างคือความหึงหวง ในภาษาจีนคำว่าหึงจะพูดว่าชือชู่ที่แปลว่ากินน้ำส้ม)

ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นบนทางหลวงนอกโรงเตี๊ยม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน

การจากลากำลังจะมาถึง

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงจงขุย “ช่วยเขียนโคลงคู่ให้ข้าสักแผ่นได้ไหม?”

เฉินผิงอันคิดว่าจะดีจะชั่วบัณฑิตตรงหน้าก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา คิดดูแล้วลายมือของอีกฝ่ายน่าจะงดงามมาก ให้อีกฝ่ายเขียนกลอนคู่ถือว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นอันดีสำหรับเขา

ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “จ่ายเงินไหม?”

จิ่วเหนียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?!”

จงขุยจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางโต๊ะคิดเงิน ถูมือกล่าวอย่างขลาดๆ “จิ่วเหนียง พู่กันกับหมึกอยู่ไหนหรือ?”

จิ่วเหนียงตวัดค้อนใส่ “เจ้าเป็นคนคิดบัญชี หาเองไม่เจอรึไง?”

โรงเตี๊ยมมีพู่กันกับหมึกและกระดาษสีแดงว่างเปล่าที่ตัดเป็นแถบสำหรับใช้เขียนโคลงคู่อยู่แล้ว เพราะในอดีตเวลาถึงช่วงปีใหม่ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ลงมือเขียนตัวเอง อีกทั้งยังเขียนสวยมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องสามของเหยาเจิ้น แม้ว่าสกุลเหยาจะเป็นทหารชายแดนตระกูลใหญ่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งกลอนเขียนบทความ สกุลเหยาก็ไม่เคยละเลย การเคลื่อนทัพจัดขบวนรบ การวางกลยุทธ์ทำสงคราม หากลูกหลานสกุลเหยาทุกคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ ก็ไม่อาจรับหน้าที่เหล่านี้ได้

เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้องเตรียมพู่กันกับหมึก เขามี

ก่อนจะพูดประโยคนี้เขาแอบพลิกข้อมือเบาๆ หยิบเอาเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่นแล้ว

เผยเฉียนไปรับกระดาษแดงที่ใช้เขียนคำกลอนคู่มาอย่างประจบประแจง แล้วนำมาปูวางลงบนโต๊ะ

นางยังไม่ลืมเอ่ยกำชับจงขุยที่ยืนม้วนชายแขนเสื้ออยู่หน้าโต๊ะว่า “เจ้าต้องตั้งใจให้มากนะ เขียนให้ดีหน่อย วันหน้ายังต้องเอาไปแปะไว้บนผนังบ้านของข้า!”

พวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็ขยับเข้ามาดู เพราะอยากรู้อย่างยิ่งว่าวิญญูชนท่านนี้จะเขียนอะไร

ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันไปเอาพู่กันมาจากไหน แล้วทำไมไม่ต้องใช้หมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ จิ่วเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

หลังจากรับพู่กันมาแล้ว ลมปราณของจงขุยก็ลดตัวลงไปที่จุดตันเถียน สีหน้าเคร่งเครียด ตวาดเบาๆ หนึ่งที พู่กันที่จรดลงไปก็เหมือนมังกรว่ายวน เขียนตัวอักษรลงไปห้าตัว

ตัวอักษรที่เขาเขียนแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องท่วงทำนองหรือความมีชีวิตชีวาอะไรเทือกนั้น แทบไม่มีอยู่เลย

ตัวอักษรทั้งห้ามีเนื้อความว่า ‘จรดพู่กันสะเทือนลมฝน’

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ควรมีในโคลงคู่ กลับเหมือนว่าพอจงขุยคว้าโอกาสที่หาได้ยากเอาไว้ได้ก็เลยพยายามจะโอ้อวดตัวตนบัณฑิตของตนมากกว่า

จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอพินิจตัวอักษรทั้งห้านั้นอย่างละเอียดพลางยิ้มตาหยี

สุยโย่วเปียนหันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม อีกไม่นานคนตระกูลเหยาก็ใกล้จะถึงแล้ว

จิ่วเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาดมา มีคนคันผิวอยากโดนฟาด”

จงขุยทำหน้าไร้เดียงสา “อย่านะ ข้าตั้งใจเขียนมากแล้วนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียนอีกแผ่นแล้วกัน เงินค่ากระดาษกลอนคู่สองแผ่นนี้ เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว เอาแผ่นนี้นี่แหละ เขียนอีกแค่ห้าตัวอักษรก็ใช้ได้แล้ว”

จิ่วเหนียงจ้องจงขุยเขม็ง ฝ่ายหลังรีบผลักเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นออกไป “ไปหยิบกระดาษในห้องอาจารย์เจ้ามาอีกแผ่นหนึ่ง ช่างเถอะ เอามาสองแผ่นเลยแล้วกัน หากจิ่วเหนียงไม่พอใจ ข้าจะได้แก้ใหม่”

จงขุยเขียนตัวอักษรท่อนหลังของกลอนคู่แผ่นแรกให้เสร็จก่อน คือประโยคว่า ‘กลอนเขียนสำเร็จ ผีและเทพร่ำไห้’

บางทีอาจรู้สึกว่าตัวเองเขียน ‘ใหญ่’ ไป จงขุยจึงหัวเราะแห้งๆ รอบหนึ่งแล้วหาทางลงให้กับตัวเองโดยการพูดว่า “ไม่ได้เขียนมานาน เลยเขียนได้ไม่ค่อยดี เขียนได้ไม่ค่อยดี ไม่ถึงครึ่งของฝีมือเวลาปกติเลย”

กลอนคู่อีกสองบทหลัง จงขุยเขียนอย่างมีกฎมีเกณฑ์ เหมาะแก่การนำไปใช้ในการเฉลิมฉลองอย่างมาก คือโคลงคู่ที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างกลอนแผ่นแรก

“ปีใหม่สุขสำราญ ฤดูใบไม้ผลิยาวนานตลอดไป”

หลังจากเขียนกลอนบทที่สองเสร็จ ตัวจงขุยเองก็พึงพอใจอย่างยิ่งยวด บอกว่าเนื้อหาในกลอนบทนี้คือบรรพบุรุษของกลอนคู่ทุกแผ่นทั่วหล้า

ส่วนกลอนบทที่สามนั้นจิ่วเหนียงพอใจมากที่สุด เพราะว่าเข้ากับสถานการณ์อย่างมาก คือคำว่าชาติรุ่งเรือง บ้านรุ่งเรือง บ้านเมืองรุ่งเรือง คนแก่ปลอดภัย คนเด็กสงบสุข ปวงประชาปลอดภัยสงบสุข

ต่อให้เป็นเผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในที่สุดก็ยอมทำสีหน้าดีๆ ให้จงขุย

เฉินผิงอันเก็บกลอนคู่ทั้งสามแผ่นลงไปอย่างระมัดระวัง กุมหมัดขอบคุณจงขุย

จงขุยรับการคารวะจากเขาอย่างตรงไปตรงมา

คนทั้งสองสบตากัน

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอย่างจนใจ “พู่กัน”

จงขุยถาม “ข้าอุตส่าห์มอบกลอนคู่ที่งดงามเปี่ยมไปด้วยความมงคลให้เจ้าตั้งสามแผ่น เจ้าจะมอบพู่กันให้ข้าสักด้ามไม่ได้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”

จงขุยยังคิดจะต่อรอง แต่สังเกตเห็นสีหน้ามืดทะมึนของจิ่วเหนียงเสียก่อน สีหน้านั้นเกรงว่าไม่ต้องให้เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาด นางอาจจะลงมือกวาดตนออกจากประตูไปด้วยตัวเองก็เป็นไป เขาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ส่งเหล็กหมาดหิมะให้กับเฉินผิงอันอย่างอาลัยอาวรณ์ พูดพึมพำว่า “คำว่าตวัดพู่กันดุจเทพช่วยที่สลักไว้บนด้ามมีวาสนากับข้ามากเลย เหมาะสมกันมากขนาดนี้ เจ้าเฉินผิงอันกลับเอาไม้ตียวนยางให้แยกจาก ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก”

เฉินผิงอันเก็บเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้โดยไม่ได้จงใจจะปิดบัง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มอบให้เจ้าไม่ได้จริงๆ”

เห็นสีหน้าน่าสงสารของจงขุย จิ่วเหนียงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากระดาษโคลงคู่แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เห็นแก่โคลงคู่สามแผ่น วันนี้เจ้าเอาเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปได้หนึ่งไห”

จงขุยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที

ทางหลวงนอกโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ตลบคละคลุ้ง

เด็กสาวห้อยดาบเหยาหลิ่งจือและเด็กหนุ่มเหยาเซียนจือลงจากม้าพร้อมกัน เดินมาหยุดอยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเพื่อรอรับกลุ่มของเฉินผิงอัน

จิ่วเหนียงพูดประโยคหนึ่งกับเหยาหลิ่งจือว่าเดินทางระมัดระวัง แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ

เด็กสาวเองก็ตาแดง ก้มหน้าลงหมุนตัวกลับ ไม่ต้องการเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ของมารดาตัวเองอีก

เหยาเจิ้นที่สวมชุดลำลองยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง ครั้งนี้ในขบวนของตระกูลเหยาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง นอกจากเขาจะตั้งใจหารถม้าที่ว่างเปล่ามาสามคันแล้ว ยังเตรียมม้าสูงใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันอีกห้าตัว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าศึกระดับหนึ่งในกองทัพของต้าเฉวียน ต่อให้เป็นลูกหลานคนร่ำรวยในเมืองหลวงก็ยังไม่อาจได้ครอบครอง

เหยาเจิ้นคิดไม่ถึงว่านอกจากเด็กหญิงผอมแห้งและหญิงสาวสะพายกระบี่ที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดแล้ว คนอื่นๆ อีกสี่คนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันด้วยต่างก็เลือกขี่ม้าเดินทางขึ้นเหนือ

สำหรับเรื่องนี้เหยาเจิ้นไม่มีความเห็นต่าง หลังจากทักทายเฉินผิงอันแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่าก็กลับเข้าไปนั่งในห้องโดยสารรถม้าของตัวเอง ด้านในมีตำราพิชัยยุทธสิบกว่าเล่ม ล้วนเป็นตำราที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเหยา หนังสือทุกเล่มเขียนคำอธิบายและข้อสรุปตามความเข้าใจของบรรพบุรุษตระกูลเหยาหลายท่านยามที่อ่านตำราเหล่านี้เอาไว้ และเป็นอย่างนี้แทบทุกหน้า

บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบของตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ควันธูปสืบเนื่องได้อย่างยาวนาน

คราวนี้เหยาเจิ้นพาลูกหลานสกุลเหยาไปด้วยแค่สามคน คนทั้งสามต่างก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน เหยาจิ้นจือที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งเพียงลำพัง เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือที่ขี่ม้าเคียงคู่กันอยู่ท้ายสุดของขบวน

ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเจ็ดแปดคนกระจายตัวอยู่รอบๆ ขบวน

เหยาเจิ้นบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านี้มีสองคนที่เป็นข้ารับใช้ลับๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน หากไม่เป็นเพราะครั้งนี้ได้รับคำสั่งให้เข้าวัง แม้แต่แม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนที่ระดับขั้นสูงสุดอย่างเขาก็ยังไม่มีอำนาจโยกย้ายผู้ฝึกตนสองคนนี้

ทหารม้าที่เหลืออีกหกสิบนายล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูเป็นอย่างดี และยังมีคนในครอบครัวของทหารเก่าแก่เหล่านี้อีกเล็กน้อย คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกพ่อบ้านหรือไม่ก็สาวใช้ในจวนตระกูลเหยา

เฉินผิงอันปะปนอยู่ในกลุ่มคน ขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

จูเหลี่ยนที่ต่อให้จะนั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังคงอยู่ในท่าห่อไหล่หลังค่อม เมื่อหลังม้ากระเด้งกระดอนแกว่งซ้ายเอียงขวา เขาจึงมองดูเหมือนคนที่น่าเข้าใกล้และเรียบง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ติดตามของเฉินผิงอัน

หลูป๋ายเซี่ยงกำลังหลับตาทำสมาธิ

เว่ยเซี่ยนที่อยู่ในกลุ่มทหารม้าเหมือนปลาที่ได้น้ำ เป็นธรรมชาติกลมกลืนมากที่สุด

ที่โรงเตี๊ยม จิ่วเหนียงจ้องมองขบวนเดินทางอยู่นานไม่ยอมดึงสายตากลับ

ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งยองสูบยาอยู่ตรงหน้าประตู ควันที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของเขาเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่เต็มร่องลึกระหว่างเทือกเขา

เด็กหนุ่มขาเป๋ปีนขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปไกล เพิ่งจะจากลาก็ทำให้เขาเริ่มคาดหวังที่จะได้พบกับพี่สาวสะพายกระบี่คนนั้นอีกครั้งในคราวหน้าแล้ว

จงขุยมาหยุดอยู่หน้าหลุมศพขนาดเล็ก ป้ายหินหน้าหลุมศพล้มคว่ำลงไปแล้ว แถมยังมีคนขุดดินเอาสิ่งของที่อยู่ในหลุมอีกวนออกไป

ก็เด็กนี่นะ ถึงอย่างไรก็ชอบเล่นสนุก

จงขุยลูบคลำศีรษะ หันหน้าไปมองขบวนเดินทางขนาดใหญ่แวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเตร็ดเตร่กลับไปที่โรงเตี๊ยมพลางพึมพำกับตัวเอง “ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ น่าเสียดายที่ไม่คล้องจอง ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นบทกวีที่เลื่องลือไปทั่วหล้าแน่ๆ”

จงขุยครุ่นคิด ลังเลว่าจะไปที่เมืองหูเอ๋อร์สักรอบดีหรือไม่

อาจารย์ก็ขี้ขลาดไปหน่อย จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากจวนของอริยะบางท่านในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

แม้ว่าชื่อของจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นจะอยู่บนสุดของหน้าสองในตำรา ‘บทชื่อที่แท้จริง’ ที่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเขียนไว้ แต่ในเมื่อตนรู้ชื่อจริงของนางแล้ว คิดจะให้นางตายก็แค่เอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ?

จงขุยสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า

ราวกับว่ายังมีลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาเป็นระลอกแล้วหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ในชายแขนเสื้อสองข้างที่ชูขึ้นสูงของเขา

จงขุยที่เป็นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไม่เคยเห็นมาก่อน

—–