ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำไม่มีกระดูกของผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้น แต่นี่ไม่ได้แปลว่าในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำคือความว่างเปล่า
ในโลงศพหินปูเต็มไปด้วยใบไม้ที่สลักจากหินผลึก หญ้าสีเขียวที่สลักจากมรกต หินกรวดหยาบที่แข็งตัวมากจากหินหลอมเหลวภาคพื้นทวีปวางกระจัดกระจายอย่างตามใจ
ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำมีขุมทรัพย์อัญมณีจำนวนมาก
สวีโหย่วหรงตั้งแต่เด็กก็เข้านอกออกในพระราชวังและวังถงได้อย่างอิสระ หลังจากนั้นได้ไปร่ำเรียนที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้เคยเห็นทรัพย์สมบัติไปเท่าไรแล้ว แม้เฉินฉางเซิงจะใช้ชีวิตยากลำบากในตอนเด็ก แต่ก็เคยไปวังต้าหมิงและวังถง ยิ่งกว่านั้นเคยเห็นท้องฟ้าดวงดาวที่ประดับด้วยไม้ปะการังมหาสมุทรทองคำและไข่มุกราตรีที่ใต้บ่อน้ำมังกรดำ ฉะนั้นขุมทรัพย์เหล่านั้นในห้องหินเก้าห้องที่เห็นในก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้มีสีหน้าใดๆ
แต่ช่วงเวลานี้ พวกเขามีความตกตะลึงจริงๆ
เนื่องจากจำนวนขุมทรัพย์ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำมีมากเกินไป อีกทั้งสิ้นเปลืองเกินไป หินผลึกที่สลักเป็นใบไม้ เหลือประสิทธิภาพได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในสิบของเดิม ทั้งที่นำมาทำเป็นชิ้นงานมรกตล้ำค่าที่งดงามจำนวนมากได้ แต่ทั้งหมดถูกสลักเป็นใบไม้และต้นหญ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิลาสีเลือดที่แข็งตัวมาจากหินหลอมเหลวภาคพื้นทวีป…นี่ไม่ใช่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแล้วคืออะไร?
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นตะลึงมากที่สุดคือ ใบไม้และหญ้าเขียวยังมีก้อนหินเหล่านั้น เรียกความรู้สึกที่งดงามสักครึ่งหนึ่งได้ที่ไหน?
ขุมทรัพย์ที่เต็มโลงศพหินภูเขาไฟสีดำส่องแสงสว่างในโถงสุสานที่อึมครึม แต่ก็ทำให้คนรู้สึกแค่ว่าเฉิ่มเชย
ขุมทรัพย์อัญมณีที่ฝังไว้เหล่านั้น หากนำมาเทียบเทียมกับตระกูลสูงส่งที่ไม่ว่าอำนาจฐานะสูงเพียงใดบนโลก หรือผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงส่งแข็งแกร่งเพียงใด ก็ล้วนเพียงพออย่างแน่นอน
แต่เทียบเทียมกับเจ้าของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้ได้เสียที่ไหน?
ในจินตนาการของผู้คนบนโลก โจวตู๋ฟูน่าจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะด้านอากัปกิริยา แน่นอนว่าหยามภูเขาแม่น้ำ ดูหมิ่นท้องฟ้าดวงดาว
ไม่ว่าสวนโจว ที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล รวมถึงสุสานที่โอ่อ่าแห่งนี้ ล้วนเป็นหลักฐาน
คนเช่นนี้ ทำไมถึงให้อัญมณีล้ำค่าอย่างยิ่งที่กลับกลายเป็นของอเนจอนาถเหล่านี้เติมเต็มโลงศพหินของตัวเอง? ยืนอยู่ข้างโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ มองใบไม้ทองหญ้ามรกตศิลาป่นสีเลือดที่อยู่ข้างใน เฉินฉางเซิงทนไม่ไหวส่ายศีรษะไปมา ดวงตาถูกแสงวาวโรจน์ของอัญมณีที่เปล่งออกมาจากในโลงศพฉายจนต้องหรี่ตา พูดว่า “ทำไมรู้สึกถึงความโออ่าลำพองยิ่งนัก?”
โออ่าลำพองเป็นคำพื้นๆ ของเวิ่นสุ่ย ถังซานสือลิ่วเอาสองคำนี้มาพรรณนาถึงเหล่าผู้ใหญ่ของตระกูลเทียนไห่และในราชสำนักบ่อยครั้งที่สำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงได้ยินบ่อย แน่นอนว่าจำได้
จุดสำคัญที่สวีโหย่วหรงสนใจ ชัดเจนมากว่าไม่ใช่วิธีที่อวดความหรูหราของในโลงศพ นางมองโลงศพดำที่ว่างเปล่าไร้คน เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดเข้าสวนโจว สิ่งที่อยากจะเจอมากที่สุดก็คือสุสานโจว ข้าก็ไม่ต่าง แต่ข้าเคยคิดไว้หลายครั้ง ถ้าเข้าสุสานโจว สิ่งที่ข้าอยากทำมากที่สุด ก็คือยืนยันว่าจริงๆ แล้วเขาตายหรือยัง”
เนื่องจากประโยคนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ได้รับมอบหมายของเหล่าผู้อาวุโสก่อนเข้าสวนโจว หัวไหล่กลับมาหนักหน่วงอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้อยู่บนแท่นหิน เพราะว่าดวงตาที่สว่างไสวของเฉินฉางเซิง ทำให้นางลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นชั่วคราว และเป็นเพราะโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้ทำให้กลับมาที่ตัวนางอีกครั้ง
การสืบทอดของนิกายหลวง รวบรวมเหนือใต้ ต่อสู้เผ่ามาร แม้จะไม่ได้ผูกอยู่บนตัวนางคนเดียว แต่ตอนนี้เนื่องจากการค้นพบใหม่นี้ ทำให้นางต้องทำอะไรบางอย่าง
“ถ้า…เจ้าสามารถรอดออกไปจากสวนโจวได้”
นางมองไปยังเฉินฉางเซิง พูดขอร้องด้วยความตั้งใจอย่างยิ่งว่า “ขอร้องเจ้าต้องบอกข่าวให้กับคนบนโลก เขาอาจยังมีชีวิตอยู่”
ในตอนที่พูด สีหน้าของนางขาวซีดมาก นี่ไม่เกี่ยวกับสภาพบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่เป็นเพราะสติได้รับการกระทบกระเทือน
ก่อนเปิดโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ เฉินฉางเซิงมีความหวาดกลัวที่แปลกประหลาดและไม่รู้ที่มาที่ไปชนิดหนึ่งต่อโจวตู๋ฟู ในตอนนี้ได้ยินคำร้องขอที่จริงจังของนาง เห็นสีหน้าที่ขาวซีดของนาง ความไม่เข้าใจชนิดนั้นยิ่งล้ำลึกเข้าไปอีก ใจคิดโจวตู๋ฟูเป็นวีรบุรุษ ทำไมไม่ว่าจะเป็นนางหรือตัวเอง ล้วนไม่มีความยำเกรงเคารพต่อผู้อาวุโสชนิดนั้น กลับเป็นความระมัดระวังอย่างมาก?
“เขาเป็นวีรบุรุษ แต่ก็เป็นมารร้าย”
สวีโหย่วหรงมองเขาพลางพูดว่า “ตอนนั้นมุ่งทางไกลไปทิศเหนือ หนึ่งดาบโจมตีราชามารบาดเจ็บ เขาในตอนนั้นเป็นวีรบุรุษ เพียงแต่เพื่อการก้าวหน้าของการบำเพ็ญเพียร ก็ฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์จำนวนมหาศาล เลือดเย็นไร้น้ำใจ โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง เขาในตอนนั้น เป็นมารร้าย เรียกเขาว่าเป็นคนโฉดชั่วจริงๆ แล้วเหมาะสมกว่า ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ปรากฏตัวในโลกอีกครั้ง กลัวว่าต้าลู่จะเข้าสู่ความวุ่นวาย”
แม้เฉินฉางเซิงอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างถ่องแท้ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ในตอนนั้นมากสักเท่าไร สำหรับนิสัยใจคอของโจวตู๋ฟูคนนี้ยิ่งไม่ได้เข้าใจอะไร เห็นสีหน้ากังวลเต็มใบหน้าของนาง จึงพูดแก้ต่าง “ไม่พบกระดูกคนตาย ไม่ได้แปลว่าเขายังมีชีวิตอยู่ บุคคลที่เสมือนตำนานเช่นนี้ คืนสู่ทะเลดวงดาว ไม่เหลือสังขาร ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้เช่นกัน”
“แต่ดาบของเขาก็ไม่อยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำเช่นกัน” สวีโหย่วหรงพูด
เฉินฉางเซิงได้ยินก็เงียบขรึม ใช่ ดาบเล่มนั้นก็ไม่อยู่
โจวตู๋ฟูสู้รบไร้คู่แข่งในยุทธภพ สิ่งที่พึ่งพานั้นก็คือดาบเล่มนั้น
ดาบนามสองท่อน
หนึ่งดาบส่องท่อน
หน้าแหลมคนของดาบ ไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแค่ไหน ศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งแค่ไหน กระทั่งแผ่นดินใหญ่ไร้ขอบเขต ล้วนขาดเป็นสองท่อน
ก็เหมือนกับโลงศพหินภูเขาไฟสีดำดั่งภูเขาเล็กที่ค่อยๆ เปิดออกต่อหน้าพวกเขาในก่อนหน้านี้
ดาบสองท่อนเป็นลำดับสองในการจัดลำดับร้อยศาสตรา แค่รองจากทวนเกล็ดหิมาลัยเทวาที่อยู่อันดับหนึ่ง
แต่ความจริงแล้ว อาจจะพูดได้ว่าผู้คนทั้งต้าลู่ล้วนคิดว่า ถ้าทวนเกล็ดหิมาลัยเทวาไม่ใช่ศาสตราคู่กายของจักรพรรดิไท่จง ถ้าไม่ใช่ว่าหลงเหลือภาพที่มหัศจรรย์จำนวนมากในสนามต่อสู้ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร ฉะนั้นในลำดับของการจัดลำดับร้อยศาสตรา แน่นอนว่าไม่สามารถกดทับดาบสองท่อนได้ เปลี่ยนอีกคำพูดหนึ่งมาพูด ในใจของผู้คนบนโลก ดาบสองท่อนถึงเป็นอันดับหนึ่งที่แท้จริงของการจัดลำดับร้อยศาสตรา
เนื่องจากที่นอกเมืองลั่วหยาง ทวนเกล็ดหิมาลัยเทวาในมือของจักรพรรดิไท่จง พ่ายแพ้แก่ดาบสองท่อนในมือของโจวตู๋ฟู
ถ้าโจวตู๋ฟูตายไปแล้วจริงๆ ไม่ได้หลงเหลือกระดูก สลายกลายเป็นควันสีเขียวคืนสู่ทะเลดวงดาว ฉะนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร ดาบของเขาน่าจะต้องหลงเหลืออยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำโลงนี้ถึงจะถูก
ดาบเล่มนั้นไม่ได้อยู่ในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ ก็น่าจะยังอยู่ที่ข้างกายเขา นี่ก็คือหลักฐานที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ของเขา
สวีโหย่วหรงไม่ขบคิดเรื่องนี้อีก เริ่มเผชิญหน้ากับคลื่นอสูรที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเตรียมพร้อมเรื่องภายหลังไว้แล้ว มองเขาพลางกล่าว “หนานเค่อเป็นลูกศิษย์ของชุดดำ และกุญแจของสวนโจว ไม้จิตวิญญาณท่อนนั้นอยู่ในมือของนาง ชุดดำและโจวตู๋ฟูเป็นคนในช่วงเวลาเดียวกัน ฉะนั้นเขาเป็นไปไม่ได้ที่เป็นโจวตู๋ฟู แต่ชัดเจนมากว่าระหว่างชุดดำและโจวตู๋ฟูน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่านางพูดพวกนี้กับเขาทำไม
สวีโหย่วหรงมองตาของเขา พูดว่า “ถ้าเจ้าสามารถมีชีวิตออกจากสวนโจว จำไว้ว่าต้องนำข้อสังเกตนี้บอกกับคนทั้งโลก นี่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยเหลือในการหาตัวตนที่แท้จริงของชุดดำ มีความหมายต่อการสู้รบของเผ่ามนุษย์และเผ่ามาร กระทั่งมีโอกาสในการตัดสินใจ”
นี่เป็นการขอร้องต่อเขาครั้งที่สอง
ขอร้องเขาถ้ามีชีวิตอยู่ ต้องทำอะไรบ้าง
ฉะนั้นก่อนอื่น นางกำลังขอให้เขามีชีวิตอยู่ ไม่ต้องสนใจตัวเอง ต้องมีชีวิตอยู่ พาข้อมูลเหล่านี้ออกจากสวนโจว
เมื่อหงส์สวรรค์ใกล้ตาย เสียงร้องของมันชัดเจน
ถ้าเป็นเวลาปกติ เฉินฉางเซิงคงจะซาบซึ้งในความสงบและแน่วแน่ของนาง อาจจะตอบตกลงคำขอของนางอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็พยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อมีชีวิตรอดออกไปจากสวนโจว แต่เวลานี้ หลังผ่านการหนีหัวซุกหัวซุนร่วมเป็นร่วมตายเป็นเวลานานขนาดนี้ หลังบทสนทนาชุดหนึ่งใต้ต้นอู๋ถงสีเขียวบนแท่นหิน เขาไม่สามารถตกลงคำขอร้องของนางได้
“แม้จะทิ้งเจ้าไว้ในสุสาน อยากจะทะลุคลื่นอสูร มีชีวิตออกจากสวนโจว แทบจะมีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่น” มองตาของสวีโหย่วหรง เขาพูดว่า “และหนึ่งในหมื่นนั้น กลับต้องฝืนใจ ข้าไม่ยอม เพราะว่าสิ่งที่ข้าบำเพ็ญเพียรนั้นคือตามใจชอบ”
คลื่นอสูรนำพาเงาสะท้อนแห่งความตาย ในเวลานี้วินาทีนี้ อย่างไรถึงจะตามใจชอบได้? ใจชอบของเขาก็คืออยู่เคียงข้างนาง ไม่ว่าจะหนีออกไป หรือว่า ก็ตายอยู่ตรงนี้
สีหน้าของสวีโหย่วหรงขาวซีด รับไม่ได้กับการตัดสินใจเช่นนี้ของเขา แต่สายตากลับอบอุ่นอย่างมาก ดีใจต่อการตัดสินใจของเขา
เฉินฉางเซิงไม่ให้โอกาสนางในการโน้มน้าวตัวเอง เก็บกระบี่สั้นกลับไปในปลอก เริ่มจัดการเหล่าใบไม้ทองหญ้ามรกตศิลาป่นสีเลือดในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ
ทรัพย์สินอัญมณีเหล่านี้คร่ำครึจนทนดูไม่ได้จริง งานแกะสลักใช้ได้ ในการตัดสินความสวยงามนั้นกลับอยู่ในระดับล่างมาก ทว่าล้วนใช้วัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ล้ำค่าหายากอย่างยิ่ง อีกทั้งในเมื่อโจวตู๋ฟูยังไม่ตาย ฉะนั้นนี่ไม่ถือว่าเป็นการขโมยสุสาน…ไม้บรรทัดเหล็กในคัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรค ก็ถูกเขาก้าวข้ามไปเช่นนี้
แน่นอนว่าตามนิสัยของเขาแล้ว ที่ยอมอ้อมเช่นนี้ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าในทะเลสาบที่นอกแดนลี้ลับ มีสัญญาณการตื่นขึ้นมาของมังกรดำ เขาไม่อยากให้หลังจากนี้ถูกใต้เท้ามังกรที่อารมณ์ไม่ดีด่าทอชุดใหญ่ ความรู้สึกที่เลือดสุนัขรดศีรษะ*นั้นเป็นไปไม่ได้ว่าดี ความรู้สึกที่น้ำลายมังกรเต็มตัวก็ย่ำแย่มากเช่นกัน
กระบี่สั้นเข้าปลอกเก็บความแหลมคม ยังคงไร้เทียมทาน บริเวณที่ปลอกกระบี่ชี้ ใบไม้ทองหญ้ามรกตศิลาป่นสีเลือดต่างพากันหายไป พลันถูกเก็บไป
หลังทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาพยุงสวีโหย่วหรงเตรียมลงจากโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าสวีโหย่วหรงมองเห็นอะไร เปล่งเสียงที่ตกตะลึงออกมา
เขาหันหัวกลับไปมองไปตามสายตาของนาง เห็นเพียงโลงศพหินภูเขาไฟสีดำที่ขุมทรัพย์ข้างในถูกเก็บกวาดจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรทั้งนั้น
บริเวณหนึ่งของผนังด้านในโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ เหมือนจะมีลายเส้นบางส่วนสลักเอาไว้
เส้นเหล่านั้นไม่ใช่ลวดลาย เหมือนเป็นตัวอักษร
เส้นบางเส้น ก็เหมือนเป็นรูปภาพ
*เลือดสุนัขรดศีรษะ ถูกด่าทอจนเละเทะ