แดนนิรมิตเทพ บทที่ 669
เฉินโม่เข้าใจทันที ตอนที่พวกเขาคุยกันทางโทรศัพท์ เขาก็รู้สึกว่ามู่หรงยานเอ๋อร์ไม่เพียงแค่อยากจะพบเขาเท่านั้น จะต้องมีเรื่องอื่น ๆ แน่นอน เขาเดาถูกจริง ๆ
“โอเค ผมจะไปพบเขา!”
ในห้องรับแขกที่กว้างขวางของตระกูลมู่หรง มู่หรงเค่อนั่งเงียบ ๆ อยู่ตำแหน่งแรก ลุงสุ่ยยืนอยู่ข้างหลังของเขาด้วยความนอบน้อม โดยมีชายชราสองคน ที่คนหนึ่งสวมชุดสีดำและอีกคนหนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ด้านข้าง
ชายชราสวมชุดดำกลอกตา สีหน้าเย่อหยิ่งเล็กน้อย แล้วถามว่า “คุณมู่หรง มีอินทรีคู่ขาวดำอยู่ คุณไม่จำเป็นต้องหาคนอื่นมาช่วยชกมวยแล้ว! ถึงแม้อีกฝ่ายจะเชิญปรมาจารย์มา พวกเราสองคนร่วมมือกัน ก็สามารถลองได้!”
“การที่คุณหาคนอื่นมา จะเสียเงินเปล่า ๆ เท่านั้น!”
เมื่อชายชราชุดขาวได้ยิน แล้วเหลือบมองมู่หรงเค่อ และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
มู่หรงเค่อมองชายชราชุดดำ ยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า “พี่อินทรีอย่าเพิ่งโมโห ผมแค่เตรียมความพร้อมและป้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะต้องชกสามคู่ ดังนั้นถ้ารวบรวมคนได้สามคน มันก็พอดี!”
“ฮึ่ม ในเมื่อคุณมู่หรงมีเงินมาก งั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน!” อินทรีใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งด้วยความโมโห
ไม่นาน มู่หรงยานเอ๋อร์ก็พาเฉินโม่มาถึงห้องรับแขก
ตอนแรกมู่หรงยานเอ๋อร์อยากจะรู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไร แต่มู่หรงเค่ออ้างว่าเป็นการสนทนาระหว่างผู้ชาย ผู้หญิงไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ทำให้มู่หรงยานเอ๋อร์เบ้ปากด้วยความโมโห
“เฉินไต้ซือ เชิญนั่ง!” มู่หรงเค่อยืนขึ้น และกล่าวด้วยความนอบน้อม
เมื่อเห็นว่ามู่หรงเค่อปฏิบัติต่อเฉินโม่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน อินทรีคู่ขาวดำที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อินทรีใหญ่ยืนขึ้นทันทีและถามด้วยความประหลาดใจ “คุณมู่หรง ผู้ช่วยที่คุณจะเชิญ คือเขาเหรอ?”
มู่หรงเค่อพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถูกต้อง!”
อินทรีใหญ่หัวเราะและกล่าวว่า “เขาเป็นแค่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไร? คุณพูดเล่นใช่ไหม?”
เฉินโม่เหลือบมองอินทรีคู่ขาวดำ มีความไม่พอใจอยู่ในสายตาเล็กน้อย
สีหน้าของมู่หรงเค่อเปลี่ยนไป แต่เมื่อเขาเห็นว่าเฉินโม่ไม่โกรธ เขาถึงรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย และรีบอธิบายว่า “ท่านทั้งสอง เขาคือเฉินไต้ซือ พวกคุณอย่าดูถูกเฉินไต้ซือเพียงเพราะว่าเขายังอายุน้อย เฉินไต้ซือเป็นถึงปรมาจารย์แดนแปรภาพ!”
“ปรมาจารย์แดนแปรภาพ?”
สองคนตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นอินทรีใหญ่ก็หัวเราะและกล่าวว่า “คุณมู่หรง คุณพูดเล่นใช่ไหม? ผมโลดแล่นอยู่ในโลกฝึกบู๊มาหลายปีแล้ว และยังไม่เคยได้ยินว่ามีปรมาจารย์แดนแปรภาพที่อายุไม่เกินยี่สิบ!”
หลังจากกล่าวจบ อินทรีใหญ่ก็หันไปมองเฉินโม่ และกล่าวด้วยความเหยียดหยามว่า “ปรมาจารย์คนนั้น คุณเป็นปรมาจารย์ไม่ใช่เหรอ? ลองเหาะเหินเดินอากาศให้ผมดูหน่อยสิ”
มู่หรงเค่อรู้จักนิสัยของเฉินโม่ กลัวว่าเขาโมโหแล้วฆ่าพวกเขา ดังนั้นเขาจึงรีบไปยืนขวางระหว่างทั้งสองฝ่ายและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท “คุณอินทรี พวกคุณล้วนเป็นคนที่ผมเชิญมาร่วมงานพันธมิตรสี่ฝ่าย ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มงาน พวกเราอย่าต่อสู้กันเองเด็ดขาด!”
อินทรีใหญ่เหลือบมองท่าทางที่จริงจังของมู่หรงเค่อ แล้วพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็กลับไปนั่งที่ของตนเอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปรมาจารย์แดนแปรภาพ! ฮึ่ม ๆ เมื่อถึงเวลาแล้ว อย่าให้คนอื่นชกตายด้วยหมัดเดียวล่ะ!”
เฉินโม่ไม่สนใจเขา เพราะตอนนี้นักบู๊แดนในชั้นสูงสุดสองคนนี้ ไม่สามารถทำให้เขาสนใจได้
มู่หรงเค่อหันไปมองเฉินโม่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฉินไต้ซือ ขออภัยแล้ว เชิญนั่ง!”
เฉินโม่ไม่เกรงใจเช่นกัน เขาไม่มองอินทรีคู่ขาวดำด้วยซ้ำ เขาหาที่นั่งแล้วนั่งลง จากนั้นเขาก็มองมู่หรงเค่ออย่างเงียบ ๆ ดวงตาที่ลึกลับคู่นั้น ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของคนอื่นได้
มู่หรงเค่อรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ เขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลของเจียงหนาน เคยเห็นเรื่องใหญ่มามากมาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขากลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย