บทที่ 1357 ควบคุมฝ่ายธรรมะ

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

ร่างกายของปาเต๋อสั่นเทาเมื่อเขาฟื้นคืนสติ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอาย

 

ก่อนที่จื่อกุ้ยจะหมดสติ เขาให้ฟางหยวนยืมวิญญาณทั้งหมดของค่ายกลวิญญาณนี้ ดังนั้นตอนนี้ฟางหยวนจึงกลายเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด

 

‘ดีมาก ตอนนี้ค่ายกลวิญาณนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ข้ามีอำนาจเหนือทุกคนในสนามรบแห่งนี้!’

 

การเสียสละวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดไม่ได้ไร้ประโยชน์

 

ด้วยวิธีนี้เขาจะมีพลังอำนาจเพียงพอและสามารถรอคอยโอกาส

 

เขากล่าวกับผู้อมตะฝ่ายธรรมะอย่างเคร่งขรึม “ออกไปให้ห่างจากข้า หากผู้ใดเข้าใกล้ข้าจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนทรยศและจะถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม”

 

“หมายความว่าอย่างไร?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะมองฟางหยวนด้วยความระมัดระวัง

 

ปาเต๋อเร่งอธิบาย “ข้าเห็นด้วยกับวูอี้ไห่ ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เขา จื่อกุ้ยได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปแล้ว มันเกิดการจากลอบโจมตีโดยคนทรยศปาฉวนฟง!”

 

เขาส่งภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผ่านวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งหมด

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะตกตะลึง พวกเขารู้แล้วว่าหากฟางหยวนไม่กอบกู้ค่ายกลวิญญาณนี้ พวกเขาจะตายกันหมด

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกยินดีกับเรื่องนี้แต่พวกเขาก็เริ่มระวังตัวมากขึ้นเช่นกัน

 

ปาเต๋อมองฟางหยวนก่อนจะกลับไปจัดการสถานการณ์

 

แม้ปาเต๋อจะไม่สามารถรักษาจื่อกุ้ย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะไม่สามารถทำได้

 

ปาฉวนฟงถูกสาปแช่งอย่างหนัก

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะบางส่วนพักผ่อนและรักษาอาการบาดเจ็บของตนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่รออยู่

 

ในเวลาเดียวกัน ไกลออกไปจากค่ายกลวิญญาณ

 

ร่างสีดำขนาดมหึมาราวกับภูเขาเริ่มขยับเขยื้อน

 

มันอ้าปากและสูดหายใจลึก

 

กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาก่อนที่มันจะยิงลำแสงสีเทาออกมาอีกครั้ง

 

ปราศจากเสียง ปราศจากการระเบิด

 

มันเงียบมาก

 

แต่แนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณกลับส่องประกายสว่างไสว

 

เสียงดังขึ้นทำให้กลุ่มผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกประหม่า

 

หากค่ายกลวิญญาณไม่สามารถป้องกันสิ่งนี้ พวกเขาจะกลายเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง

 

คนฉลาดหลายคนเริ่มสังเกตการแสดงออกของฟางหยวน

 

ฟางหยวนเป็นผู้ควบคุมค่ายกลวิญญาณทั้งหมด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของทุกคน

 

อย่างไรก็ตามการแสดงออกของฟางหยวนยังสงบนิ่งมาตลอด ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาความคิดของเขา

 

แต่ความสงบของฟางหยวนก็หมายถึงความมั่นใจและความปลอดภัย นี่ทำให้ผู้อมตะฝ่ายธรรมะรู้สึกผ่อนคลายลง

 

ไม่นานหลังจากนั้นลำแสงสีเทาก็หยุดลงขณะที่แสงหลากหลายสีสันของแนวป้องกันที่สามก็เลือนหายไป

 

“พวกเราป้องกันมันได้!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

“ทำได้ดีมากท่านวูอี้ไห่!”

 

ขวัญกำลังใจของผู้อมตะฝ่ายธรรมะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งขณะที่พวกเขาต้องมองฟางหยวนในมุมมองใหม่

 

“ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ วูอี้ไห่ เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้” จื่อกุ้ยตื่นขึ้นแล้วและพึมพำด้วยความยินดี

 

ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เขายังต้องการให้ฟางหยวนควบคุมค่ายกลวิญญาณนี้ต่อไป

 

เฉียวซื่อหลิวมองไปที่ฟางหยวนเช่นกัน

 

ฟางหยวนช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ เขากลายเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เฉียวซื่อหลิวไม่มีความรู้สึกใดๆต่อฟางหยวน แต่ตอนนี้เมื่อนางมองเขา หัวใจของนางกลับเต้นแรงขณะที่นางเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด

 

ท่าไม้ตายอมตะค่ำคืนสีเทากับค่ายกลวิญญาณ มันคือการต่อสู้ระหว่างหอกและโล่

 

แต่ในที่สุดฝ่ายหลังก็ได้รับชัยชนะ โล่ที่แข็งแกร่งสามารถป้องกันหอกที่น่าสะพรึงกลัว

 

เมื่อฝุ่นควันจางหาย จ้าวเย่ฮุ้ยก็มองค่ายกลวิญญาณด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

อาณาจักรแห่งความฝันไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย

 

มันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

 

ในแนวป้องกันที่สามของค่ายกลวิญญาณ ฟางหยวน ปาเต๋อ เฉียวซื่อหลิว และผู้อมตะฝ่ายธรรมะคนอื่นๆได้รับการคุ้มครองแต่มันสามารถป้องกันอาณาจักรแห่งความฝันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

 

“เราจะบุกเข้าไปหรือไม่?” อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน ไป่หนิงปิง และคนอื่นๆรู้สึกประหลาดใจมาก นี่ไม่เหมือนสิ่งที่ราชันภูเขาม่วงบอกพวกเขา

 

ไม่นานมานี้พวกเขาได้รับการถ่ายทอดเสียงจากราชันภูเขาม่วง ชายชราบอกว่าค่ายกลวิญญาณจะถูกทำลาย พวกเขาต้องบุกโจมตีในช่วงเวลานั้นเพื่อคว้าชัยชนะ

 

“จื่อกุ้ยหมดสติไปแล้ว มันเกิดสิ่งใดขึ้น?” ไกลออกไป ราชันภูเขาม่วงถอนหายใจ

 

มันกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

 

พวกเขาสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโจมตีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด

 

ราชันภูเขาม่วงปกปิดกลิ่นอายของตนมาตลอด คนอื่นๆไม่ตระหนักถึงการคงอยู่ของเขา หลังจากมาถึงที่นี่ เขาได้เตรียมความพร้อมสำหรับแผนการใหญ่ของเขาไว้แล้ว

 

ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงต้องใช้วิธีการดังกล่าว!

 

ทันใดนั้นโลกพลันเปลี่ยนสี

 

แสงสีรุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ราวกับคลื่นยักษ์ทำให้กลุ่มผู้อมตะตกตะลึง

 

“เกิดสิ่งใดขึ้น?” สมาชิกนิกายเงาปิดเปลือกตาลง

 

ค่ายกลวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะต่างตื่นตระหนก “เกิดสิ่งใดขึ้น? นี่คือท่าไม้ตายอมตะงั้นหรือ?”

 

ใบหน้าของฟางหยวนปรากฏให้เห็นถึงความประหม่า เขาประกาศ “ท่าไม้ตายอมตะนี้ไม่ได้เล็งเป้ามาที่พวกเราหรือค่ายกลวิญญาณ แต่มันเป็นการโจมตีอาณาจักรแห่งความฝันโดยตรง!”

 

หลังจากการระเบิดที่รุนแรง แสงสีรุ้งก็จางหายไปและเผยให้เห็นรังไหมแสง

 

“อาณาจักรแห่งความฝันหายไป พวกมันเปลี่ยนเป็นรังไหมแสงจำนวนนับไม่ถ้วน!”

 

“โอ้ มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

“วิธีการทั่วไม่สามารถทำเช่นนี้ เว้นเพียงมันจะเป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งความฝัน!”

 

“หมายความว่าเป้าหมายของปีศาจอมตะเหล่านี้ก็คืออาณาจักรแห่งความฝัน”

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะกรีดร้อง

 

ท่ามกลางพวกเขา บางคนมองฟางหยวนด้วยสายตาดุร้าย “ข้าบอกแล้วว่าธุรกิจซื้อขายโอกาสเป็นความคิดที่ไม่ดี! มันจะกระตุ้นความทะเยอทะยานของฝ่ายปีศาจ สิ่งนี้มีประโยชน์มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย มิฉะนั้นผู้อตะมากมายจะไม่สนใจผลที่ตามมาและโจมตีพวกเราได้อย่างไร?”

 

คำกล่าวเหล่านี้ทำให้การแสดงออกของผู้อมตะส่วนใหญ่เปลี่ยนไป

 

แต่ฟางหยวนไม่ตอบสนอง

 

ปาเต๋อมองผู้อมตะตระกูลเซี่ยด้วยความโกรธธและตะโกน “หุบปาก!”

 

ในเวลาเช่นนี้ตระกูลเซี่ยยังหว่านความไม่ลงรอยโดยเฉพาะเมื่อคนผู้นี้กำลังยั่วยุตัวตนที่สำคัญเช่นฟางหยวน นี่เป็นเรื่องที่โง่เขลาเกินไป ปาเต๋อโกรธมาก

 

แต่ในเวลาต่อมาผู้อมตะตระกูลเซี่ยผู้นั้นกลับหายไปจากจุดเกิดเหตุและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนอกค่ายกลวิญญาณ

 

“เหตุใดเขาถึงออกไป?” ผู้อมตะฝ่ายธรรมะตกตะลึง

 

ฟางหยวนหัวเราะ “คนผู้นี้มีเจตนาร้าย เขาพยายามหว่านความไม่ลงรอย ดังนั้นข้าจึงส่งเขาออกไปข้างนอก ขยะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ตอนนี้เราควรใช้เขาตรวจสอบความสามารถของศัตรู”

 

“บัดซบ! ผู้ใดให้อำนาจเจ้าทำเรื่องนี้ เจ้ากำลังเพิกเฉยต่อสิทธิ์ของเรา!”

 

“เร็ว ให้ผู้อมตะของตระกูลเรากลับมา!”

 

“เร็ว!”

 

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นชาขณะที่กลุ่มผู้อมตะตระกูลเซี่ยที่กรีดร้องหายตัวไปทันที

 

ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นนอกค่ายกลวิญญาณ เมื่อเห็นค่ายกลวิญญาณอยู่ในระยะไกล พวกเขาต่างตกตะลึง

 

“วูอี้ไห่!” ปาเต่อรู้สึกกระวนกระวายใจ “เจ้าทำเกินไปแล้ว!”

 

ฟางหยวนมองเขาและกล่าว “ท่านต้องการออกไปอีกคนงั้นหรือ?”

 

ปาเต๋อตะลึง

 

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะทั้งหมด “…”

 

หน้าอกของปาเต๋อขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แต่เขายังกล่าว “อย่าลืมว่าวิญญาณอมตะที่ใช้สร้างค่ายกลวิญญาณนี้เป็นของพวกเราทั้งหมด”

 

เขากำลังขู่

 

แต่ฟางหยวนกลับหัวเราะ “ท่านคิดว่าตอนนี้วิญญาณเหล่านั้นยังจดจำท่านได้หรือไม่?”

 

การแสดงออกของกลุ่มผู้อมตะเปลี่ยนแปลงไป

 

จื่อกุ้ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เห้อ…ทุกคน นี่คือค่ายกลวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยท่านจื่อชิวหยู ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันคนทรยศและป้องกันไม่ให้ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายจากภายใน ดังนั้นแนวป้องกันที่สามและสี่จึงมีเพียงผู้เดียวที่สามารถควบคุม คนอื่นไม่สามารถยุ่งเกี่ยว กระทั่งข้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใด เว้นเพียงวูอี้ไห่จะโอนกรรมสิทธิ์คืนให้ข้าอีกครั้งเท่านั้น”

 

จื่อกุ้ยมองฟางหยวนอย่างจริงใจและจริงจัง

 

“ท่านจื่อกุ้ย ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านช่วยพวกเรามามากเกินไปแล้ว ท่านควรพักรักษาตัว” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเย็นชาและบดขยี้ความหวังของจื่อกุ้ยลงทันที

 

ปาเต๋อเต็มไปด้วยความโกรธ

 

ผู้อมตะคนอื่นๆกระสับกระส่าย

 

มันหมายความว่าตอนนี้ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับฟางหยวน

 

เฉียวซื่อหลิวและคนอื่นๆที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลวูรู้สึกยินดี แต่การแสดงออกของผู้อมตะตระกูลปา ตระกูลเหยา และตระกูลอื่นที่มีความขัดแย้งกับตระกูลวูกลับดูน่าเกลียดมาก

 

‘จื่อชิวหยู เจ้าแก่โง่!’ บางคนสบถสาปแช่งอยู่ในใจ

 

จื่อชิวหยูลอบจัดการค่ายกลวิญญาณนี้ภายใต้เหตุผลเรื่องการรักษาความปลอดภัย แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตระกูลจื่อกลับสูญเสียการควบคุมและถูกแทนที่ด้วยคนนอก

 

“อย่ากังวล ข้า วูอี้ไห่ ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในสถานการณ์นี้พวกเราฝ่ายธรรมะต้องร่วมมือกันฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อก้าวข้ามวิกฤต”

 

“ตระกูลวูของข้ายังเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ ในสถานการณ์เช่นนี้เราต้องออกหน้ารับผิดชอบอย่างแน่นอน”