ตอนที่ 609

The Divine Nine Dragon Cauldron

“ท่านใต้เท้าเป็นใครกัน? นั่นเป็นแค่เสี้ยววิญญาณข้าที่ทำให้ศิษย์ของท่านขุ่นเคือง และเขาก็ทำลายเสี้ยววิญญาณนั้นได้ด้วย เช่นนั้นก็นับว่าเสมอกัน ศิษย์ของท่านควรจะบอกเรื่องนี้แล้ว”

 

ฮงหลวนค่อนข้างระวังตัว

 

หยุนย่าสีพูดอย่างใจเย็น

 

“ศิษย์ข้ามิเคยบอกข้าว่าต้องผ่านความยากลำบากเช่นใดมาแม้สักครั้ง”

 

“เช่นนั้น ท่านได้ยินมาจากคนอื่นรึ?”

 

ฮงหลวนงุนงง

 

หยุนย่าสีส่ายหน้า

 

“ข้ามิได้ได้ยินจากผู้ใด ข้าเห็นทุกอย่างกับตา”

 

“แล้วตอนนั้นท่านอยู่ไหนกัน?”

 

ฮงหลวนค่อนข้างตกตะลึง นางสงสัยว่าทำไมนางถึงสัมผัสตัวตนของเขาไม่ได้

 

“ถ้าเช่นนั้น ทำไมท่านไม่ปรากฏตัวออกมาเล่า?”

 

หยุนย่าสีไม่ตอบ แต่ฮงหลวนก็เข้าใจความตั้งใจของเขาแล้ว เขาพยายามจะฝึกจิตใจศิษย์ของตัวเองสินะ?

 

แม้นางจะรู้สึกทึ่งในวิธีดูแลศิษย์ของหยุนย่าสี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนั้น

 

“แล้วถ้าท่านไม่เข้ามายุ่งแม้ในตอนนั้น แล้วท่านจะมาหาข้าตอนนี้ทำไมเลบ่า?”

 

หยุนย่าสีลดมือลง แสงอันเยือกเย็นฉาบดวงตา

 

“จะมีอาจารย์คนไหนทนดูศิษย์ตัวเองถูกรังแกได้เล่า? ข้าไม่เข้าไปยุ่งก็เพราะเพื่อความแข็งแกร่งของศิษย์ข้า แต่ตอนนี้ข้าจะยื่นมือเข้ามากำจัดปัญหาที่ไม่จำเป็น เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

 

ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่ เขาคงจะตกใจมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ความโกรธปรากฏบนใบหน้าของหยุนย่าสี เขาจำใบหน้าอ้อนวอนของซือหยูได้อย่างแจ่มชัด

 

ความสำนึกผิดและสภาพความตกต่ำครั้งนั้น และความสิ้นหวังกับสีหน้าอันทุกข์ทรมานยังคงทรมานหยุนย่าสีมาจนถึงตอนนี้ มันทำให้เขาใจสลายเมื่อได้เห็นซือหยูผู้ที่ไม่เคยขอร้องสิ่งใดต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

 

ฮงหลวนเริ่มหนักใจและตึงเครียดเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของหยุนย่าสี

 

“ท่านคิดจะสู้ที่นี่รึ? ที่นี่อยู่ที่กลางดินแดนพรสวรรค์ และถ้าท่านสร้างความวุ่นวายที่นี่ อสูรเนรมิตรอีกสองคนก็จะเข้ามาแน่!”

 

หยุนย่าสีส่ายหน้า

 

“ต่อให้พวกมันมา พวกมันจะทำอะไรได้? ถ้ามันกล้าขวางทาง ข้าก็จะฆ่ามันให้หมด!”

 

หยุนย่าสีปัดมือไปที่นางในลักษณะเหมือนกับการตบหน้า ในตอนนั้น ฮงหลวนรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่อัดแน่นเข้ามา พลังนั้นทำให้นางตัวสั่นด้วยความกลัว

 

นางตะโกนด้วยความกลัวเมื่อทนรับพลังไม่ไหวอีกต่อไป

 

“พลังเทวะ…ท่านเป็นเทพ!”

 

ปั้ง!

 

เสียงระเบิดดังพร้อมกับเสียงฮงหลวนที่หายไป ร่างของนางยังคงอยู่ที่เดิม แต่ดวงตานั้นไร้ซึ่งแวว มันกลายเป็นดวงตาสีเทาหม่น พลังชีวิตทั้งหมดหายไป อสูรเนรมิตรถูกฆ่าเพียงเพราะฝ่ามือเดียว!

 

หยุนย่าสีดึงมือกลับไพล่หลังไว้ตามเดิม เขาก้าวเดินก้าวเดียวและหายตัวไปกับความว่างเปล่า หลังจากที่เขาจากไปนาทีเดียว ความปั่นป่วนก็ได้แพร่กระจายไปยังสถานที่ลึกลับสองแห่งของดินแดนพรสวรรค์

 

ผ่านไปครึ่งวัน แสงร่างเงาของคนสองคนปรากฏขึ้น ณ ที่เกิดเหตุ หนึ่งแสงมีสีดำ ส่วนอีกแสงมีสีขาว ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของฮงหลวน

 

“ฝีมือใครกัน? ราชาจิวโจวงั้นรึ?”

 

เสียงแก่เฒ่าดังมาจากภาพฉายสีขาว น้ำเสียงแสดงความตกใจ

 

จากนั้นเสียงแหลมสดใสได้ดังมาจากภาพฉายสีดำ

 

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่าราชาเป็นตัวตนชั้นสูงที่อสูรเนรมิตรมิอาจกุมชะตาได้”

 

“เราอาจจะเจอเรื่องใหญ่แล้ว ถ้าหากผู้ดูแลตายในดินแดนของเรา ราชาก็อาจจะมีเหตุให้ก่อเรื่อง เราจะต้องรีบกลับไปเตรียมการเรื่องนี้”

 

ภายฉายสีดำบินขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะร้อนรนและกังวงใจ

 

ภาพฉายสีขาวยืนอยู่ครู่หนึ่งและจากไปเช่นกัน ใบหน้านางไม่ต่างจากชายแก่นัก เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดปัญหาใดตามมาถ้าหากอสูรเนรมิตรได้ตายในดินแดนพรสวรรค์

 

กลับมาที่กระโจมเทพสวรรค์

 

เซี่ยจิงหยูตามหาซือหยูในทิศทางที่เขาหายตัวไปอย่างเป็นห่วง นางกำลังตามหาเขาเพราะพลังปีศาจที่เพิ่งจะแผ่ออกมาเมื่อครู่ทำให้นางอึดอัดใจ

 

สัญชาตญาณบอกนางว่าคนคนนั้นมิใช่ซือหยูแต่เป็นคนที่มาสิงร่าง ดูเหมือนว่าจะมีคนอื่นพยายามยึดร่างของซือหยู!

 

เซี่ยจิงหยูบินเหนือนภาที่ยังคละคลุ้งไปด้วยพลังปีศาจขณะที่กระโจมเทพสวรรค์เริ่มสั่นสะเทือน! พลังมิติไร้ลักษณ์เริ่มที่จะปกคลุมคนแต่ละคนเพื่อพาออกไปจากที่นี่!

 

“ไม่นะ! เดี๋ยวก่อน!”

 

นางไม่อยากจะไปจากที่นี่ถ้าไม่รู้เสียก่อนว่าชะตาของซือหยูเป็นอย่างไร แต่นางก็ไม่รู้วิธีต้านทานพลังของสมบัติภูติ!

 

เซี่ยจิงหยูถูกพาตัวออกไป แต่นางไม่รู้ตัวเลยว่ามีเศษแก้วใสชิ้นหนึ่งที่ติดตัวนางก่อนที่นางจะถูกย้ายออกไป

 

เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นทั้งกระโจมเทพสวรรค์ ในลานประลองลับสวรรค์ของทวีปเฉินหลง เสียงยอดฝีมือหลายคนปรากฏตัวจากความว่างเปล่ารวมถึงเซี่ยจิงหยู กังต้าเหล่ย ฉินจิวหยาง ยอดฝีมือจากตระกูลโบราณสามตระกูล และบรรดาจ้าวแห่งความมืด

 

แต่คนอื่นๆไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลย เหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลัง เช่นซือหยูที่เป็นลำดับหนึ่ง หลงหวูชิง ราชาปีศาจ และไป่ลั่ว

 

สองคนที่หายไปคือสตรียอดฝีมือจากตระกูลโบราณและฉินเซี่ยนเอ๋อจากพันธิมิตรผู้คุมสวรรค์ ทั้งคู่ไม่ได้ถูกย้ายกลับมา คงจะบอกได้ว่าทั้งสองได้ตายไปแล้ว

 

เมื่อเท้าของเซี่ยจิงหยูแตะพื้น นางมองไปรอบๆเพื่อหาซือหยู แต่นางก็ไม่เชื่อเขาเลย

 

นางเริ่มหนักใจและเหม่อลอย นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันหมายความว่าอะไร…ซือหยูจะต้องตายไปแล้ว

 

นางมิอาจรับความจริงได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ เมื่อทั้งสองได้วางใจต่อกัน และหลังจากที่ผ่านมานาน ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าซือหยูรักนางตอบ! นี่จะไม่ใช่จุดจบของทั้งคู่!

 

“ราชาปีศาจหิมะทมิฬไม่ได้กลับมาหรอกรึ?”

 

กังต้าเหล่ยมองรอบๆและถอนหายใจ

 

ฉินจิวหยางเองก็เห็นว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ ใบหน้าของเขาหม่นหมองลง

 

“ข้าไม่คิดเลยว่าน้องหิมะทมิฬจะตาย เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้! ข้ากลับมาได้…แต่เขากลับ…”

 

จ้าวแห่งความมืดหลายคนถอนหายใจ เพราะซือหยูก็ช่วยชีวิตพวกเขาเช่นกัน และแท้จริงแล้ว ซือหยูได้ช่วยทุกคนที่นี่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเราทุกคนกลับมาได้ ขณะที่ซือหยูจะอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล

 

“นี่อาจจะเป็นชะตาของเขา”

 

กังต้าเหล่ยถอนหายใจ

 

“ลิขิตฟ้ามิเคยเกรงใจพลังผู้ใด แม้เราจะอ่อนแอเสียยิ่งกว่า เราก็มีชะตาให้อยู่ต่อ”

 

“เรากลับทวีปเฉินหลงได้อย่างปลอดภัยหลังจากผ่านความยากลำบากเช่นนี้ เราควรจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด”

 

กังต้าเหล่ยพยายามจะพูดให้ทุกคนรวมถึงตัวเขาเองรู้สึกดีขึ้น ทุกคนพยักหน้า แต่ละคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างกับคำพูดของเขา

 

พวกเขาทุกคนรู้สึกว่าสองเดือนในกระโจมเทพสวรรค์นั้นยาวนานแรมปี พวกเขาไม่เคยได้พบเจอกับความยากลำบากเช่นนี้มาก่อนเลยแม้จะใช้ชีวิตหลายปีในทวีปเฉินหลง!

 

“แล้วอาจารย์ข้าล่ะ? พวกผู้อาวุโสคนอื่นอยู่ที่ใดกัน?”

 

กังต้าเหล่ยพบว่าไม่มีใครเลยที่อยู่ที่นี่ ที่นี่ว่างเปล่า!

 

มีเพียงฝุ่นหนาที่ปกคลุมพื้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาเหยียบที่นี่ตลอดสองปี!

 

“เกิดอะไรขึ้น? พวกเราจากไปแค่สองปี แต่ทำไมที่นี่ดูเหมือนไม่มีใครมาก่อนสองปีเล่า? แล้วทำไมพวกผู้อาวุโสไม่มารอเราที่นี่ล่ะ?”

 

เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลโบราณพบว่ามันแปลกไป

 

กังต้าเหล่ยกอดอกก่อนจะพูดออกมา

 

“การไหลของเวลาในกระโจมเทพสวรรค์ช้ากว่าเฉินหลง แม้เฉินหลงจะผ่านไปสองปี แต่สำหรับพวกเรา มันคือสองเดือนเท่านั้น”

 

“เรื่องนั้นไม่สำหรับหรอก แต่ที่แปลกก็คือ…พวกผู้เฒ่าไปอยู่ที่ไหน? พวกนั้นดูเหมือนว่าจะจากไปหลังจากที่พวกเรามาที่นี่ พวกผู้อาวุโสไม่ได้บอกอะไรไว้เลยรึ?”

 

กังต้าเหล่ยมองคนที่เหลือขณะที่ถาม

 

แม้ว่าหากพวกผู้เฒ่าจะออกไป พวกเขาก็ควรจะกลับมาหลังจากเวลาสองเดือนของพวกเขาจบลง มันแปลกมากที่ไม่มีใครเลยมารอต้อนรับพวกเขากลับ

 

หนึ่งในสามยอดฝีมือตระกูลโบราณส่ายหน้า

 

“พวกเขาพูดว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่รอพวกข้ากลับมา”

 

กังหน้าเหล่ยสีหน้าแปลกไป ผู้เฒ่าจิวก็พูดแบบเดียวกันว่าจะใช้เวลาสองปีที่นี่ แต่เขาก็ไม่พบผู้ใด นี่อาจจะสื่อถึงเรื่องใหญ่บางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นในทวีปเฉินหลงจนแม้แต่ผู้เฒ่าจิวยังต้องออกไปจากที่นี่

 

“ทุกคน ออกจากที่นี่กันเถอะ”

 

กังต้าเหล่ยรู้สึกถึงลางร้ายจากเรื่องทั้งหมด เขาจะกลับไปคนแรก

 

ฉินจิวหยางกับฉินยู่ชางประสานหมัดให้กับคนรอบๆและรีบจากไป สมาชิกตระกูลโบราณทั้งสามเองก็รีบไปเช่นกัน

 

“จ้าวยี่หยู เราก็ควรจะไปรายงานกับท่านราชามิใช่รึ?”

 

จ้าวฉิงจูถาม

 

เพราะเขาไม่คิดถึงเรื่องเซี่ยจิงหยูอีกแล้ว เซี่ยจิงหยูในตอนนี้มีพลังชีวิตออกมาอ่อนๆ นั่นแสดงว่านางไปถึงระดับกึ่งภูติแล้ว เขาที่เป็นกึ่งเทพจำเป็นต้องเจียมตัวเมื่อพูดคุยกับนาง

 

“พวกเจ้ากลับไปโดยไม่ต้องมีข้า เอาสร้อยหยกที่มีเสียงข้าไปกับเจ้า ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ตอนนี้ข้ายังกลับไปกับพวกเจ้าไม่ได้”

 

เซี่ยจิงหยูโยนสร้อยหยกไปให้เขากับสมบัติวิเศษที่เป็นของอาณาจักรทมิฬ

 

จ้าวฉิงจูไม่รู้เลยว่านางคิดจะรอคอยซือหยู แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่นางจะอยู่ต่อ เขาก็ไม่ได้ห้ามนาง เขาออกจากลานประลองลับสวรรค์พร้อมกับจ้าวแห่งความมืดคนอื่นๆ

 

และตอนนี้ มีเพียงแค่เซี่ยจิงหยูที่อยู่ในลานประลองอันกว้างใหญ่…

 

ในกระโจมเทพสวรรค์

 

ซือหยูพลิกตัว ความเจ็บปวดยังคงแล่นทั่วร่าง

 

“เจ้าตื่นแล้วรึ?”

 

เสียงอันอบอุ่นดังมาจากด้านหลัง

 

ซือหยูหันไปมองและพบกับหยุนย่าสี เขารีบทักอาจารย์ในทันที

 

“ท่านอาจารย์…ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”

 

เขารีบขอบคุณอาจารย์ เขาจำได้ว่าร่างกายอยู่ในสภาพไหนก่อนจะสลบ…ตอนนั้นเขากำลังจะระเบิดตาย! และตอนนี้เขาปลอดภัยดี เขาจึงรีบขอบคุณ

 

“เจ้าเหนือกว่าที่ข้าคาดคิด”

 

หยุนย่าสีหันกลับมามองเขา ใบหน้านั้นแสดงความชื่นชม

 

“คุณสมบัติของเจ้าก้าวข้ามความคาดหมายของข้าไปจริงๆ”

 

ความยิ่งใหญ่ของซือหยูนั้นเห็นได้จากทุกครั้งที่เขาเอาชีวิตรอดมาจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ซือหยูพูดอย่างอ่อนน้อม

 

“ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น ข้าได้สมบัติที่ช่วยให้ข้าอยู่รอดเท่านั้น”

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก! เจ้ามองดูร่างกายเจ้าเสียก่อนดีกว่า”

 

หยุนย่าสีหัวเราะ

 

ซือหยูรีบมองดูร่างกายตัวเอง เขาพบว่าแก้วพลังชีวิตดวงที่สองได้ก่อตัวแล้วในจุดกำเนิดพลังโดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาได้เป็นกึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสองดวงแล้ว!

 

พลังมหาศาลที่ปะทุออกมาจากจุดกำเนิดพลังทำให้เขาสร้างแก้วพลังชีวิตดวงที่สองได้! นั่นหมายความว่าซือหยูจะมีพลังเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

 

มิเพียงพลังของสมบัติวิเศษจะแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ตัวเขาเองยังต่อสู้ได้ยาวนานขึ้น นั่นเป็นเพราะเขาจะไม่ใช้พลังจนหมดไปเหมือนเคยอีกแล้ว!

 

“เจ้าดูให้ดีสิ มีอะไรอีกไหม?”

 

หยุนย่าสียิ้มแย้มเมื่อพูด

 

มีอีกเรอะ? ซือหยูตรวจสอบร่างกายตัวเองต่อไป เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

 

“วิญญาณข้า! มันแข็งแกร่งกว่าเดิม…อีกเท่าตัว!”