ตอนที่ 379 พบเทาเที่ยอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือค่อยๆมุ่งหน้าตรงเข้าไปในวังวนทมิฬและแรงดึงดูดอันทรงพลังก็ดึงทั้งสองเข้าไปใกล้จนเริ่มทรงตัวลำบาก

หานโม่ฉือขมวดคิ้วเล็กน้อยและกระชับมือของฉินอวี้โม่ไว้แน่น ม่านน้ำแข็งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเพื่อต้านทานแรงดึงดูดจากวังวนทมิฬ

เมื่อเข้าใกล้วังวนลึกลับ ฉินอวี้โม่กลับรู้สึกราวกับมันอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง

ทั้งสองก้าวเดินต่อไปอย่างช้าๆเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนปรากฏกายตรงหน้าวังวนทมิฬ

ขณะหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้ามัน จอมยุทธ์ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและประหลาดของวังวนนี้

พลังแห่งความมืดอันทรงพลังที่แผ่ออกมาจากวังวนทมิฬและพลังกัดกร่อนที่สามารถกร่อนทำลายทุกอย่างของมันทำให้ทุกคนต้องสั่นสะท้าน

“โม่เอ๋อร์ ลองดูก่อนเถอะ”

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่รู้ใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามก็เข้าใจได้ว่าฉินอวี้โม่กำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาเพียงยิ้มบางๆและเอ่ยกระตุ้นให้นางลองทำอย่างที่คิด

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นางไม่รอช้าและค่อยๆยื่นมือตรงไปยังวังวนทมิฬ

ในขณะเดียวกัน หานโม่ฉือก็แผ่พลังวิญญาณออกไปจนถึงขีดสุด หากเกิดสิ่งใดที่ไม่คาดคิดขึ้นมา เขาจะพาฉินอวี้โม่หนีออกไปโดยเร็ว

เวลานี้ ฉินอวี้โม่เองก็ระแวดระวังไม่น้อย มือบางที่เอื้อมไปยังวังวนทมิฬของนางเปี่ยมไปด้วยพลังของเทพมายาและในขณะเดียวกันนางก็ปกคลุมมันด้วยเพลิงจักรพรรดิของซิวเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะสามารถปกป้องตนเองได้

เมื่อมือของนางค่อยๆเข้าไปในวังวนทมิฬ ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สิ่งที่นางคิดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ กายเทพมายาช่างน่าอัศจรรย์อย่างที่สุด แม้แต่วังวนทมิฬที่ทรงพลังตรงหน้าก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับนางได้

หานโม่ฉือเองก็ถอนหายใจเบาๆเช่นกันพร้อมพยักศีรษะและปล่อยมือของนาง

ฉินอวี้โม่หายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนเดินตรงเข้าไปในวังวนทมิฬอย่างช้าๆ

แรงดึงดูดในวังวนลึกลับนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก เพียงแค่เข้ามาภายในนี้ ฉินอวี้โม่ก็แทบทรงตัวยืนนิ่งไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ภายในชั่วพริบตา นางก็ปกคลุมทั่วร่างด้วยพลังที่มหาศาลและสามารถทรงตัวอยู่ได้โดยไม่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านเพราะวังวนชั่วร้ายนี้

หลังจากสังเกตการณ์โดยรอบ ร่างของหานโม่ฉือและคนอื่นๆก็เริ่มพร่าเลือน เมื่อไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติใดรอบตัว นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็เดินต่อไปยังจุดศูนย์กลางของวังวน

ทันทีที่เข้าไปลึกมากขึ้น นางสัมผัสได้ว่าจู่ๆสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันขณะร่างของตนเองปรากฏใต้ท้องฟ้ามืดมิดในยามค่ำคืน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิได้แปลกใจมากนักและนางคิดว่าผลึกทมิฬที่ตามหาจะต้องซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในท้องฟ้าที่มืดมิดเป็นแน่ ตราบใดที่ทำลายมันได้ วังวนทมิฬก็จะสลายไปอย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าฉินอวี้โม่นั่นจะไม่กลัวตายและกล้าเข้าไปในวังวนทมิฬ ต่อให้นางเป็นเทพมายาคนใหม่แล้วอย่างไรกัน? เมื่อเข้าไปยังศูนย์กลางของวังวนก็ย่อมหมายถึงความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!”

ผู้นำกลุ่มฝ่ายมารมองดูการกระทำของฉินอวี้โม่และหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

เดิมทีเขาประหลาดใจเล็กน้อยที่นางสามารถเข้าไปข้างในวังวนโดยไม่ได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความประหลาดใจเล็กๆที่เขาสลัดไปอย่างรวดเร็ว

ตรงจุดศูนย์กลางคือจุดที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในวังวนทมิฬ ไม่ว่าฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่คิดว่านางจะเอาตัวรอดออกมาได้

“หุบปากซะ เจ้าควรคิดมากกว่าว่าวันนี้เจ้าจะรอดชีวิตไปได้รึไม่”

หยินหึนตะโกนเสียงดังและสภาวะพลังจากร่างของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกคราก่อนเริ่มโจมตีคู่ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง

“หยินหึน คิดว่าข้าจะกลัวเจ้ารึไง!”

ตู้ม!

พลังของบุรุษผู้นั้นก็แกร่งกล้ากว่าก่อนเช่นกันและเขาตอบโต้หยินหึนอย่างดุเดือด ทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่น

ฉินเทียนมองบุตรสาวและหานโม่ฉือด้วยความเป็นห่วงทว่าไม่เอ่ยพูดสิ่งใด

เขารู้จักบุตรสาวของตนเองเป็นอย่างดี บางครั้งบางครา ต่อให้เขาเป็นห่วงเพียงใด เขาก็จะกังวลมากเกินไปไม่ได้

ฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่หนักแน่นและแน่วแน่ในความคิดของตนเอง ในฐานะบิดา สิ่งที่ฉินเทียนจะทำได้ก็คือการคอยปกป้องนางจากภยันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น หานโม่ฉือยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ห่างจากนางและเขาเชื่อมั่นว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

บัดนี้หานโม่ฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเขาไม่เห็นร่างของฉินอวี้โม่ในวังวนทมิฬอย่างชัดเจน เขาก็คงพรวดเข้าไปอย่างไม่ลังเล

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ปรากฏกายในพื้นที่มืดโดยไม่เป็นอันตราย เขาจึงไม่ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เพียงแต่หานโม่ฉือได้เตรียมความพร้อมอย่างเงียบๆ หากเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ เขาจะรีบปรี่เข้าไปโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน

ภายในพื้นที่มืด ฉินอวี้โม่ก็กำลังก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

ต้องกล่าวเลยว่าเมื่อเทียบกับพลังมหาศาลจากวังวนทมิฬก่อนหน้านี้ จุดที่นางอยู่ในตอนนี้เงียบเชียบและแปลกประหลาดพอสมควร

ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงแพรวพราวแห่งนี้ มันไร้ซึ่งความผันผวนหรือพลังวิญญาณใดๆ รวมถึงไร้ซึ่งกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต

ฉินอวี้โม่พยายามแผ่พลังวิญญาณของตนเองออกไปเพื่อสำรวจสิ่งผิดปกติรอบตัว ทว่าพลังของนางไม่อาจตรวจพบสิ่งใดได้เลย

จุดใดก็ตามที่พลังวิญญาณของนางแผ่ไปถึง ทุกอย่างที่ค้นพบก็มีเพียงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเดินต่อไปในพื้นที่มืดนานสองก้านธูป นางก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งใดและสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นางขมวดคิ้วมุ่นกับตัวเองพลางคิดว่าพื้นที่นี้แปลกประหลาดอย่างแท้จริง เดิมทีนางก็ต้องการถามหานอวี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่านางก็พบว่าตนเองไม่สามารถสื่อสารกับมันได้

เมื่อนั่งลงอยู่ในจุดหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง วิธีการหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ลุกขึ้นทันทีและไม่ปิดบังสิ่งใดอีกต่อไปขณะพลังของเทพมายาถูกปลดปล่อยออกไปโดยสมบูรณ์

ในเมื่อพลังแห่งความมืดมีปฏิกิริยาบางอย่างกับพลังของเทพมายา ฉินอวี้โม่เชื่อว่ามันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการล่อบางสิ่งบางอย่างเข้ามาได้

และก็เป็นเช่นนั้นจริง ทันทีที่สภาวะพลังของนางแผ่ออกไป ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่เลือนรางในพื้นที่มืดแห่งนี้

จากนั้นวัตถุทรงกลมสีดำขนาดใหญ่ที่มีสองตาก็ปรากฏกายตรงหน้าฉินอวี้โม่และดวงตาของมันจับจ้องตรงมาที่นาง

สิ่งมีชีวิตประหลาดที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมืดที่ทรงพลังจากตัวมัน นางก็มั่นใจทันทีว่านี่คือผลึกทมิฬ

ผลึกทมิฬนี้ดูดซับพลังแห่งความมืดและพลังกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนเป็นเวลานานจนก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ วัตถุทรงกลมสีดำสนิทนี้คือรูปร่างที่เกิดขึ้นของมัน

“วี๊ดดดดด!”

น้ำเสียงประหลาดแสบแก้วหูดังมาจากร่างของผลึกทมิฬซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

ฟิ้วววว!

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่มีปฏิกิริยาใด ผลึกทมิฬก็พุ่งออกไปกระแทกร่างของนางอย่างรวดเร็ว

นางกำลังคิดหาวิธีทำลายผลึกทมิฬทว่าจู่ๆก็มองเห็นวัตถุสีดำพุ่งตรงเข้าหาตนเองอย่างรวดเร็ว นางไม่รอช้าและพุ่งตัวหลบหลีกไปอย่างฉิวเฉียด

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้ถอดหายใจด้วยความโล่งอก เสียงพุ่งผ่านลมก็ดังขึ้นอีกครั้งและผลึกทมิฬก็กระแทกเข้ากับร่างของฉินอวี้โม่จนกระเด็นออกไป

หลังจากหมุนตัวกลางอากาศหลายตลบและถอยหลังออกไปไกลขณะพยายามทรงตัว ฉินอวี้โม่ก็หยุดยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

ฉินอวี้โม่ถูช่วงอกที่รู้สึกปวดตุบๆจากการกระแทกของผลึกทมิฬพร้อมขมวดคิ้วมุ่น

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลึกทมิฬจะไม่ยอดลดละและยังคงพุ่งตรงเข้ามาโจมตีนางอย่างต่อเนื่อง

ทว่าครานี้ฉินอวี้โม่เตรียมตัวตั้งรับไว้แล้ว ลูกไฟขนาดเท่ากับมันปรากฏขึ้นในมือของนางก่อนโยนตรงไปข้างหน้า

ฟึ่บ!

ลูกไฟพุ่งตรงเข้าใกล้ผลึกทมิฬ ทว่าด้วยแสงสว่างขึ้นเพียงแวบเดียว จู่ๆผลึกทมิฬก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่

จากนั้นลูกไฟของนางก็พุ่งตรงไปยังความมืดมิดในระยะไกลๆก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อผลึกทมิฬหายวับไป ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงเรื่องปวดหัวที่จะมาถึง ผลึกทมิฬนี้รับมือได้ยากเกินไป มันไม่เพียงแต่ทรงพลังเท่านั้นทว่ายังแปลกประหลาดอย่างมาก สิ่งสำคัญคือนางไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของมันได้เลย

ตลอดเวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ผลึกทมิฬราวกับหายสาบสูญไปและไม่ปรากฏให้เห็นอีก

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่กล้าวางใจและยังยืนนิ่งโดยไม่ระงับพลังของตนเอง นางเชื่อว่าผลึกทมิฬจะต้องปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างแน่นอน

และก็เป็นเช่นนั้นจริง จู่ๆสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เกิดความผันผวนเล็กน้อยก่อนผลึกทมิฬจะปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่อีกครั้ง

“วี๊ดดดดด!”

มันส่งเสียงประหลาดตรงมาที่ฉินอวี้โม่อีกคราราวกับกำลังสื่อสารพูดคุยกับนาง อย่างไรก็ตาม นางไม่เข้าใจเลยสักนิดและย่อมไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร

ขณะนางกำลังจะโจมตีผลึกทมิฬ นักฆ่าสาวผู้เก่งกาจก็สัมผัสถึงพลังแห่งความมืดอันทรงพลังที่กดทับลงมาที่ร่างของตนเองอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก

แรกเริ่มเดิมที เมื่อหานโม่ฉือที่อยู่ข้างนอกเห็นว่าลูกบอลสีดำประหลาดนั่นทำอะไรฉินอวี้โม่ไม่ได้ เขาจึงรู้สึกโล่งใจเบาๆ

อย่างไรก็ตาม จู่ๆเมื่อเห็นอสูรขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้านาง สีหน้าแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

หานโม่ฉือไม่รอช้าอีกต่อไปและพุ่งตรงเข้าไปในวังวนทมิฬอย่างรวดเร็ว

“เทาเที่ย!”

เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเหมือนเนินเขาเล็กๆปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหัน ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็วและจับตาดูมันอย่างระแวดระวัง

เทาเที่ยตัวนี้เป็นเพียงจิตวิญญาณเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้และมันแผ่พลังแห่งความมืดอันทรงพลังออกมา ดวงตาของมันส่องแสงสีแดงแปลกประหลาด ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เคยพบกับเทาเที่ยที่อวิ๋นขวงเรียกออกมาในมิติพิเศษซึ่งมีลักษณะเหมือนอสูรตรงหน้าในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เทาเที่ยตรงหน้านางดูแข็งแกร่งกว่าตัวที่เคยพบก่อนหน้านี้เล็กน้อย

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เทาเที่ยก็ไม่รอช้าและเหวี่ยงกรงเล็บขนาดใหญ่ตะปบตรงมาที่นางทันที

ตู้ม!

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะรวดเร็วอย่างยิ่ง นางก็หลบไม่พ้นจากระยะการโจมตีของเทาเที่ยและถูกกรงเล็บของมันฟาดจนกระเด็นออกไป

หลังจากพลังพลุ่งพล่านออกมา ฉินอวี้โม่ก็ทรงตัวได้ หากนางไม่ได้จดจ่อพลังทั้งหมดกับการป้องกัน เกรงว่ากรงเล็บของเทาเที่ยนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้

“สามพันเพลิงคำราม!”

ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาทอีกต่อไปและตัดสินใจใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดที่มีในตอนนี้

เพลิงกระหน่ำราวฝนพายุตกลงมาจากท้องฟ้าและพุ่งตรงไปที่เทาเที่ย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจคือเมื่อสามพันเพลิงคำรามของนางตกลงสู่ร่างเทาเที่ย อสูรดังกล่าวก็หายวับไป

พรึ่บ!

หลังจากเสียงบางอย่างดังขึ้นมา ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าเทาเที่ยปรากฏกายอีกครั้งข้างหลังตนเอง จากนั้นก็ตะปบกรงเล็บตรงเข้ามาหานาง

ทว่าเป็นในเวลานี้เองที่ร่างของหานโม่ฉือปรากฏขึ้นข้างหน้าฉินอวี้โม่และป้องกันกรงเล็บของเทาเที่ยไว้

.